*อาจเผลอหลุดสปอย*
Kill Me Three Time (2014)
Directed by Kriv Stenders
Cast: Alice Brage, Teresa Palmer, Luke Hemsworth and Simon Pegg
นักฆ่ารับจ้างอาชีพ Charlie Wolfe กลายเป็นพยานการฆาตกรรมถึง 3หน ...หนแรกคือเป้าหมายที่เขาต้องจัดการ แต่มีคนชิงตัดหน้าและเขาก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ส่วนหนต่อๆมาเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความแค้นและการแบล็กเมล
ถ้าจะละเอียดกว่านี้ก็ทั้งเรื่องแล้วแหละนะ
ถือเป็นหนังตลกร้ายสัญชาติออสเตรเลียที่แนวใช่ได้ ถ้าจะให้เปรียบตอนนี้ก็นึกได้แต่แนวแบบ Quentin Tarantino สมัย Pulp Fiction หรือ Reservoir Dogs แต่ของเฮียTarantinoแกเด็ดดวงกว่าหลายขุม
แต่ Kill Me Three Time อันนี้เหมือนพยายามจะเล่นความเก๋ไก๋ในเรื่องลำดับเวลา เหตุการณ์ ความซับซ้อน และการฆ่าแบบเห็นเลือดเห็นเนื้อสะใจคอหนังโหด แต่ไร้ซึ่งศิลปะและออกแนวสะใจอย่างเดียวจริงๆ
ก็เห็นรีวิวหลายเว็บนะ ที่บอกผิดหวัง แย่มาก ไรงี้
น่าจะเพราะดาราที่มาใหญ่ก็เยอะ และตัวอย่างหนังที่ดูน่าจะดีกว่านี้ แต่พอมาดูเต็มๆเรื่องความเนือยมันยังมีอยู่เยอะเกินจะเป็นหนังตลกร้ายที่น่าดึงดู ...จริงๆน่าจะเรียกได้ว่าที่เห็นในตัวอย่างคือทั้งหมดของหนังแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ
เรียกง่ายๆว่าเสียดายของนั่นเอง ดาราดี ภาพสวย แต่ดันไม่สุด สนุกพอรับได้
ที่สำคัญ ถ้าไม่มี Simon Pegg คือจบเห่มาก เฮียเป็นตัวชูโรงของเรื่องเลยนะ คีย์สำคัญเลย แถมยังแสดงได้กวนประสาทแบบสุดๆ(ก็ไม่สุดเท่าหนังของเฮียแกเองแต่ก็ถือว่าโอเคที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้วแหละ)
บทนักฆ่าแกเหมือนเจมส์บอนด์เลยนะ มาอย่างเท่ ฆ่าไม่รอ ทักษะนักฆ่าแบบเหนือชั้น แต่ดันเสียท่าเพราะความโลภและประมาทแบบง่ายๆ
พูดถึงตัวละคร เป็นหนังที่หาความดีในตัวมนุษย์ไม่เจอจริงๆ คนทำมาหากินสุจริต ยังเปลี่ยนเพราะเงินเลยแก๊
เห็นได้ชัดจากตอนที่ Dylan (แสดงโดย Luke Hemsworth ...อ่านไม่ผิดหรอก พี่ชายคนโตของหนุ่มออสซี่ตาฟ้าตระกูล Hemsworth นั่นแหละ) ฆ่าคนแล้วไม่รู้สึกสำนึกผิดเลย ครั้งแรกอาจจะเพราะโกรธแค้น แต่ครั้งที่สองเพราะเงินล้วนๆ
ไหนจะ Nathan(แสดงโดย Sullivan Stapleton พระเอก 300: Rise of an Empire นั่นเอง) หมอฟันเห่ยๆ ที่ดูจะทำอะไรไม่เป็น สุดท้ายก็โลภพอกัน
แบบนี้คงไม่ต้องถามถึงคาแรกเตอร์ตัวอื่นนะ นิสัยไม่ต่างกันเท่าไหร่
เม้าม้อย: ดาราสองคนที่กล่าวมาแสดงได้แข็งพอควร ไม่เด็ดเหมือนคนอื่นซึ่งยศใหญ่กว่าแน่นอน
ประเด็นคือมันไม่มีที่มาที่ไปในความโลภ หรือความแค้นอะไรเลย
คนที่ดูมีเหตุผลที่สุดในการกระทำทุกสิ่งก็คือ Alice เมียเจ้าพ่อที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่อง พาลให้คนนั้นคนนี้ฆ่ากันให้ทั่วไปหมด รายนี้รับบทโดย Alice Brage จาก I Am Legend และ Elysium ที่ก็ถือว่าแจ่มนะ แสดงดีทีเดียว
มาถึงสาวๆแล้ว จะไม่พูดถึงคนนี้คงไม่ได้ Teresa Palmer สาวสวยหัวทองตาฟ้าาา
นางเอก Warm Bodies กับ The Sorcerer's Apprentice
คนนี้ชอบโดยส่วนตัว นางเล่นได้ร้ายดี ตายโหดมาก (สปอยยยยย!!!!) << คือจริงๆคนตายเกือบหมดเรื่องเลยเฮ้ย ดูชื่อเรื่องด้วย =..=
หลักๆเลย ชอบนะ สนุกดี ตลกร้ายโหดๆ
ภาพสวย จัดโทนสีได้แจ่ม พรีเซ็นคาแรกเตอร์ของ Simon Pegg เท่ดี
บทก็...งั้นๆนะ ซับซ้อนดี ล้ำลึกดี แต่ตื้นไปหน่อยสำหรับหนังแนวนี้
เพราะงั้นเอาไป
7/10 นะคะยู
โทษฐานที่ปล่อยความเนือยมาเยอะมาก สำหรับหนังแบบนี้
ก็บ่นพึมพำ-งึมงำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็ดูหนังแล้วอยากบ่น ไปเที่ยวบ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ =/\=
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558
ดูแล้วบ่น: Cake (2014)
*สปอย สป๊อย สปอย*
Cake (2014)
Directed by Daniel Barnz
Cast: Jennifer Aniston, Adriana Barraza, Sam Worthington and Anna Kendrick
เรื่องราวของ Claire Bennett เธอประสบอุบัติเหตุรถชนและสูญเสียลูกชายตัวน้อยในเหตุการณ์นั้น ความเจ็บปวดกัดกินเธอทั้งภายในและภายนอก ร่างกายที่ไม่ฟื้นจากอุบัติเหตุทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากและต้องมีคนคอยดูแล คนนั่นคือ Silvana ผู้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทั้งยังเข้าใจเธอแม้ว่านายจ้างของตนจะมีนิสัยไม่น่าคบเอาเสียเลย
ตลอดเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากโชว์ให้เราเห็นว่าคนที่เจ็บปวดแสนสาหัสขนาดนี้จะข้ามอุปสรรคไปได้อย่างไร
...ปัญหาก็คือ อุปสรรคคืออะไร? ลืมเหตุการณ์ไม่ได้? ความสูญเสีย? ตามหาสิ่งที่ขาด? ความรัก? การต่อสู้กับความรู้สึกอย่างฆ่าตัวตาย? หรือความจริงที่ว่าเธอไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง...
Claire ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าคนรอบข้างเธอจะเป็นยังไง เธอมีหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ หรือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยตอนนางไปรับเด็กใจแตกกลับมาบ้าน โดยไม่สนใจเลยว่านางจะขโมยของหรือเปล่า สิ่งที่นางต้องการคือให้สาวน้อยคนนี้ทำเค้กให้สักปอนด์ (เพื่อเอาไปให้ลูกชายของอีกบ้านเนื่องในวันเกิดเสียด้วย)
รวมถึงการไปตามราวี Roy(แสดงโดยSam Worthington) สามีของ Nina(แสดงโดย Anna Kendrick) ไม่ใช่เพื่อจะสวมรอยแทนภรรยาที่ฆ่าตัวตาย(ตอนแรกคิดแบบนั้น) แต่ดูนางจะต้องการเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจทำนองนั้น เรียกง่ายๆก็ เพื่อนตาย ก็ไปหาสามีของเพื่อนแหละว่ะ ...แม้หนังไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าNinaเป็นเพื่อนนางขนาดนั้น คือเปิดเรื่องมานางก็ตายแล้ว แต่ดูก็รู้ว่านางเป็นคนคนเดียวที่ Claire รู้สึกแคร์หลังจากการสูญเสียในชีวิต
ทั้งที่จริงๆแล้วเพื่อนใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น Silvana แม่บ้านของนาง
Silvana ดูจะเข้าใจความเจ็บปวดของ Claire และค่อยดูแลห่างๆตามแต่ที่หน้าที่ของเธอจะทำได้ แม้นายจ้างเธอจะอารมณ์ร้าย ขี้โมโห และมีนิสัยหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ถึงอย่างนั้น Silvana ก็ไม่เคยคิดจะทิ้งเธอไปไหนแม้ Claire จะทำเธอหัวเสียอยู่บ่อยๆ
อย่างนึงที่ชอบมากคือความหมายของ Life ในเรื่องนี้
ไม่มีอะไรยั้งยืน ไม่มีอะไรถาวร ไม่มี Happily ever after ไม่มียาวิเศษหรือคนพิเศษที่จะเยียวยาแผลในอดีตให้หายขาด บาดแผลเป็นจะอยู่กับเราไปตลอด จะเดินหน้าต่อได้ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดแล้วก้าวต่อไป ไม่ใช่พยายามลืมหรือทำให้แผลหาย มันไม่ได้ผล ที่สำคัญคือการมีคนที่คอยช่วยเก็บเศษซากแตกสลายของเรา เพื่อให้เราเราต้องประกอบเศษซากพังๆของตัวเองให้ได้ สำคัญที่สุดคือคนที่คอยช่วยเก็บซากแตกๆของเราปะติดปะต่อชีวิตเข้ากันใหม่ด้วยตัวเอง
ช่วงบทสนทนาโดนใจ (ช่วงใหม่ จะโผล่มาถ้ามี และขอไม่แปล เดี๋ยวไม่อิน)
Silvana: "They are friends when I was younger. You know? Now they are not friends. Because of money."
Claire: "That's fucked up."
Silvana: "That's life."
ใช่ That's life ราวกับคำว่า ปลงซะ ของเราแหละนะ มัวแต่ยึดติดก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี มันพังไปแล้วก็ปล่อยมันไว้ข้างหลัง
...เอาเถอะนะ(ฉันบ่นอะไรมาได้ตั้งยาว) หนังดราม่าชีวิตเศร้า ดูแล้วเครียดกลั้นหายใจเป็นฉากๆ แต่สนุกใช้ได้ทีเดียว น่าเหลือเชื่อที่มันทำให้ขำได้ด้วย ขำแบบทำร้ายชีวิตอ่ะ ตรงนี้อาจจะต้องยกนิ้วให้คนเขียนบท และการแสดงของ Jennifer Aniston (นางชิง Golden Globe กับ Screen Actors Guild สำหรับเรื่องนี้ด้วยนะ) ประชดประชันหน้าตายเนี่ยต้องยกให้นาง แต่บทจะเศร้า เจ็บปวด สติแตก นี่ฮือฮาใช้ได้เลย แต่ละซีนนี่ ถ้าไม่กลั้นหายใจ ก็เกร็งมือซะจนปวดนิ้วทีเดียว มันเครียดนะ แล้วก็พาลให้เจ็บปวดไปด้วย
ถ้าคนมีประสบการณ์ของการสูญเสียดูแล้วน่าจะเข้าใจ หรือคนที่ไม่เคยประสบอะไรทำนองนั้นก็เข้าถึงอารมณ์ได้ไม่ยาก เพราะนางแสดงออกมาให้เห็นแบบชัดเจนแจ่มแจ้งเลยทีเดียว
นอกนั้นนักแสดงคนอื่นก็ดีไม่แพ้นางหรอก
Adriana Barraza คือดีงาม เห็นนางใน Drag Me to Hell แล้วรู้สึกอยากสาปส่งคนไล่ผีหลอกลวง ฮ่าาๆๆ แต่เรื่องนี้เล่นดีๆ น่ารักทีเดียว
ขำขันตรง William H. Macy มาโผล่เพื่อให้นางเอกเตะต่อยนี่แหละ โถ่ๆลุงเอ๊ยย
มี Mamie Gummer ลูกสาวคนโตของป้า Meryl Streep ด้วยนะ ใครจะตามเก็บงานสาวๆพี่น้อง Gummerก็นี่เลยยย แต่คือนางโผล่มาซีนเดียวนะขอเตือน ฮ่าๆๆๆ
(ใจจริงชอบ Grace มากกว่า อันนี้แนะนำ The Homesman นะจ้ะ)
หนังดีๆ ภาพสวยสื่อความหมาย แต่ไม่ได้ส๊วยสวยระดับดูแล้วประทับใจ
บทคือดีงามไม่ต้องพูดถึง
เพลง...ก็เฉยๆนะ ไม่เด่นอะไร
สำหรับดราม่าสะเทือนหัวใจบีบอากาศออกจากปอดสักเรื่อง...
8/10
ไม่พีค แต่ตราตรึงอารมณ์ เทคะแนนให้เจ๊ อนิสตัน ด้วยส่วนนึง
ในความคิดเราบททำนองนี้นี่คู่แข่งคนสำคัญของ Julianne Moore ใน Still Alice เลยนะ (เรื่องนั้นพีคกว่าน่ะสิปัญหา)
ข้อสังเกตน่าติดตาม ที่รู้ก็ดีไม่รู้ก็ไม่เสียหาย
Cake น่าจะเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวของบทบาทสาวแกร่งที่น่าจับตามองเหมือนกัน
ปี2014ที่ผ่านมา ดูเหมือนความโดดเด่นจะตกเป็นของสาวๆ เรียกได้ว่าปีทองเลย ไม่ใช่แค่กับหนังตลาดใหญ่อย่าง Lucy, Divergent หรือ Hunger Games เท่านั้นหรอก พวกหนังรางวัลปีนี้ล้วนเต็มไปด้วยสาวๆ
ทั้ง Still Alice, Wild, Big Eyes และ Two Days, One Night รวมถึงหนังที่สาวๆสุดแกร่งเป็นตัวรองอย่าง Boyhood กับ The Imitation Game ก็มีบทบาทคล้ายกันทุกเรื่อง
แถม Cake ยังเป็นงานสร้างของบริษัท Echo Films ที่ Jennifer เป็นเจ้าของเองด้วย (สร้างเองเล่นเองนะจ้ะ อีหลอบเดียวกับ Reese Witherspoon ในเรื่อง Wild นั่นแหละ)
เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
จริงๆทุกปีมันก็มีหลุดมาให้เห็นประปลายนะ แต่นี่คือเยอะมาก
ก็ตามเก็บกันต่อไป~
Cake (2014)
Directed by Daniel Barnz
Cast: Jennifer Aniston, Adriana Barraza, Sam Worthington and Anna Kendrick
เรื่องราวของ Claire Bennett เธอประสบอุบัติเหตุรถชนและสูญเสียลูกชายตัวน้อยในเหตุการณ์นั้น ความเจ็บปวดกัดกินเธอทั้งภายในและภายนอก ร่างกายที่ไม่ฟื้นจากอุบัติเหตุทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากและต้องมีคนคอยดูแล คนนั่นคือ Silvana ผู้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทั้งยังเข้าใจเธอแม้ว่านายจ้างของตนจะมีนิสัยไม่น่าคบเอาเสียเลย
ตลอดเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากโชว์ให้เราเห็นว่าคนที่เจ็บปวดแสนสาหัสขนาดนี้จะข้ามอุปสรรคไปได้อย่างไร
...ปัญหาก็คือ อุปสรรคคืออะไร? ลืมเหตุการณ์ไม่ได้? ความสูญเสีย? ตามหาสิ่งที่ขาด? ความรัก? การต่อสู้กับความรู้สึกอย่างฆ่าตัวตาย? หรือความจริงที่ว่าเธอไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง...
Claire ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าคนรอบข้างเธอจะเป็นยังไง เธอมีหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ หรือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยตอนนางไปรับเด็กใจแตกกลับมาบ้าน โดยไม่สนใจเลยว่านางจะขโมยของหรือเปล่า สิ่งที่นางต้องการคือให้สาวน้อยคนนี้ทำเค้กให้สักปอนด์ (เพื่อเอาไปให้ลูกชายของอีกบ้านเนื่องในวันเกิดเสียด้วย)
รวมถึงการไปตามราวี Roy(แสดงโดยSam Worthington) สามีของ Nina(แสดงโดย Anna Kendrick) ไม่ใช่เพื่อจะสวมรอยแทนภรรยาที่ฆ่าตัวตาย(ตอนแรกคิดแบบนั้น) แต่ดูนางจะต้องการเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจทำนองนั้น เรียกง่ายๆก็ เพื่อนตาย ก็ไปหาสามีของเพื่อนแหละว่ะ ...แม้หนังไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าNinaเป็นเพื่อนนางขนาดนั้น คือเปิดเรื่องมานางก็ตายแล้ว แต่ดูก็รู้ว่านางเป็นคนคนเดียวที่ Claire รู้สึกแคร์หลังจากการสูญเสียในชีวิต
ทั้งที่จริงๆแล้วเพื่อนใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น Silvana แม่บ้านของนาง
Silvana ดูจะเข้าใจความเจ็บปวดของ Claire และค่อยดูแลห่างๆตามแต่ที่หน้าที่ของเธอจะทำได้ แม้นายจ้างเธอจะอารมณ์ร้าย ขี้โมโห และมีนิสัยหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ถึงอย่างนั้น Silvana ก็ไม่เคยคิดจะทิ้งเธอไปไหนแม้ Claire จะทำเธอหัวเสียอยู่บ่อยๆ
อย่างนึงที่ชอบมากคือความหมายของ Life ในเรื่องนี้
ไม่มีอะไรยั้งยืน ไม่มีอะไรถาวร ไม่มี Happily ever after ไม่มียาวิเศษหรือคนพิเศษที่จะเยียวยาแผลในอดีตให้หายขาด บาดแผลเป็นจะอยู่กับเราไปตลอด จะเดินหน้าต่อได้ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดแล้วก้าวต่อไป ไม่ใช่พยายามลืมหรือทำให้แผลหาย มันไม่ได้ผล ที่สำคัญคือการมีคนที่คอยช่วยเก็บเศษซากแตกสลายของเรา เพื่อให้เราเราต้องประกอบเศษซากพังๆของตัวเองให้ได้ สำคัญที่สุดคือคนที่คอยช่วยเก็บซากแตกๆของเราปะติดปะต่อชีวิตเข้ากันใหม่ด้วยตัวเอง
ช่วงบทสนทนาโดนใจ (ช่วงใหม่ จะโผล่มาถ้ามี และขอไม่แปล เดี๋ยวไม่อิน)
Silvana: "They are friends when I was younger. You know? Now they are not friends. Because of money."
Claire: "That's fucked up."
Silvana: "That's life."
ใช่ That's life ราวกับคำว่า ปลงซะ ของเราแหละนะ มัวแต่ยึดติดก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี มันพังไปแล้วก็ปล่อยมันไว้ข้างหลัง
...เอาเถอะนะ(ฉันบ่นอะไรมาได้ตั้งยาว) หนังดราม่าชีวิตเศร้า ดูแล้วเครียดกลั้นหายใจเป็นฉากๆ แต่สนุกใช้ได้ทีเดียว น่าเหลือเชื่อที่มันทำให้ขำได้ด้วย ขำแบบทำร้ายชีวิตอ่ะ ตรงนี้อาจจะต้องยกนิ้วให้คนเขียนบท และการแสดงของ Jennifer Aniston (นางชิง Golden Globe กับ Screen Actors Guild สำหรับเรื่องนี้ด้วยนะ) ประชดประชันหน้าตายเนี่ยต้องยกให้นาง แต่บทจะเศร้า เจ็บปวด สติแตก นี่ฮือฮาใช้ได้เลย แต่ละซีนนี่ ถ้าไม่กลั้นหายใจ ก็เกร็งมือซะจนปวดนิ้วทีเดียว มันเครียดนะ แล้วก็พาลให้เจ็บปวดไปด้วย
ถ้าคนมีประสบการณ์ของการสูญเสียดูแล้วน่าจะเข้าใจ หรือคนที่ไม่เคยประสบอะไรทำนองนั้นก็เข้าถึงอารมณ์ได้ไม่ยาก เพราะนางแสดงออกมาให้เห็นแบบชัดเจนแจ่มแจ้งเลยทีเดียว
นอกนั้นนักแสดงคนอื่นก็ดีไม่แพ้นางหรอก
Adriana Barraza คือดีงาม เห็นนางใน Drag Me to Hell แล้วรู้สึกอยากสาปส่งคนไล่ผีหลอกลวง ฮ่าาๆๆ แต่เรื่องนี้เล่นดีๆ น่ารักทีเดียว
ขำขันตรง William H. Macy มาโผล่เพื่อให้นางเอกเตะต่อยนี่แหละ โถ่ๆลุงเอ๊ยย
มี Mamie Gummer ลูกสาวคนโตของป้า Meryl Streep ด้วยนะ ใครจะตามเก็บงานสาวๆพี่น้อง Gummerก็นี่เลยยย แต่คือนางโผล่มาซีนเดียวนะขอเตือน ฮ่าๆๆๆ
(ใจจริงชอบ Grace มากกว่า อันนี้แนะนำ The Homesman นะจ้ะ)
หนังดีๆ ภาพสวยสื่อความหมาย แต่ไม่ได้ส๊วยสวยระดับดูแล้วประทับใจ
บทคือดีงามไม่ต้องพูดถึง
เพลง...ก็เฉยๆนะ ไม่เด่นอะไร
สำหรับดราม่าสะเทือนหัวใจบีบอากาศออกจากปอดสักเรื่อง...
8/10
ไม่พีค แต่ตราตรึงอารมณ์ เทคะแนนให้เจ๊ อนิสตัน ด้วยส่วนนึง
ในความคิดเราบททำนองนี้นี่คู่แข่งคนสำคัญของ Julianne Moore ใน Still Alice เลยนะ (เรื่องนั้นพีคกว่าน่ะสิปัญหา)
ข้อสังเกตน่าติดตาม ที่รู้ก็ดีไม่รู้ก็ไม่เสียหาย
Cake น่าจะเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวของบทบาทสาวแกร่งที่น่าจับตามองเหมือนกัน
ปี2014ที่ผ่านมา ดูเหมือนความโดดเด่นจะตกเป็นของสาวๆ เรียกได้ว่าปีทองเลย ไม่ใช่แค่กับหนังตลาดใหญ่อย่าง Lucy, Divergent หรือ Hunger Games เท่านั้นหรอก พวกหนังรางวัลปีนี้ล้วนเต็มไปด้วยสาวๆ
ทั้ง Still Alice, Wild, Big Eyes และ Two Days, One Night รวมถึงหนังที่สาวๆสุดแกร่งเป็นตัวรองอย่าง Boyhood กับ The Imitation Game ก็มีบทบาทคล้ายกันทุกเรื่อง
แถม Cake ยังเป็นงานสร้างของบริษัท Echo Films ที่ Jennifer เป็นเจ้าของเองด้วย (สร้างเองเล่นเองนะจ้ะ อีหลอบเดียวกับ Reese Witherspoon ในเรื่อง Wild นั่นแหละ)
เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
จริงๆทุกปีมันก็มีหลุดมาให้เห็นประปลายนะ แต่นี่คือเยอะมาก
ก็ตามเก็บกันต่อไป~
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)