วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: The Age of Adaline (2015)

*สปอยมั้ย? อาจจะเผลอนะ*
The Age of Adaline (2015)
Directed by Lee Toland Krieger
Cast: Blake Lively, Michiel Huisman, Harrison Ford and Ellen Burstyn

เรื่องราวของ Adaline Bowman หญิงสาวผู้เกิดในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่20 (นางเกิดปี1908) และเติบโตอย่างสวยงามตามที่หญิงสาวแสนสวยคนนึงควรใช้ชีวิตบนโลกนี้ กระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอในคืนอันหนาวเหน็บ หิมะตกในซานฟรานซิสโกถือเป็นปฏิหาริย์ เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ความมหัศจรรย์ในคืนนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ร่างกายเธอหยุดเติบโต การพัฒนาการตามธรรมชาติหยุดชะงัก และเธอก็ไม่มีวันแก่ไปตามกาลเวลาอีกตลอดไป
ปฏิหาริย์ครั้งนี้แลกมาด้วยความโดดเดี่ยว Adaline ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ เปลี่ยนตัวตนทุกๆ10ปี พยายามทำตัวล่องหนและไม่สุงสิงกับใคร ทว่าโชคชะตาก็พาลให้เธอมาพบกับ Ellis หนุ่มมาดเข้มที่เพียงสบตาทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันซะแล้ว เขาคือคนที่ทำให้เธอหยุดวิ่งหนี และพร้อมจะเผชิญกับอะไรก็ตามไปพร้อมกับเขา

เล่าซะยืดยาว ต้นเรื่องล้วนๆ 2-3บรรทัดสุดท้ายขมวดใกล้จบให้ตื่นเต้น ฮ่าๆๆๆ

จริงๆหนังไม่ได้ตื่นเต้นหรอก นี่มันหนังรักโรแมนติกนะ ดราม่าฝุด
แต่คือแบบ สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบบบบบ ดึงให้ดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่เผลอเล่นมือถือหรือเล่นคอม หรือละไปเข้าห้องน้ำ ความหิวขณะนั่งดูก็ทำให้อีนี่พอสไว้แล้ววิ่งไปกินไม่ได้ (เว่อร์ป๊าย)
ความจริงแล้ว อีนี่ชอบแนวหนังหวานนะ ดูมาหมดแทบทุกเรื่องที่เขาพูดถึงและไม่พูดถึงกันละ
(เม้ามอย หลายคนชอบมองแปลกๆด้วยแววตาราวกับเราเป็นตัวประหลาด เวลาบอกว่า ชอบดูหนังหวานแหววกุ๊กกิ๊ก ฟิลกู๊ด สยองขวัญเลือดสาด และดราม่า ...คนละมูดกันเลย ฮ่าๆๆๆ)

ภาพสวย พรอตงาม ความเป็นอมตะสู้กับความสูญเสีย ไม่ดึงให้เราติดกับอดีตมากนักและโฟกัสที่ปัจจุบันของตัวละคร ซึ่งดี ไม่สับสน
นี่เป็นประเด็นที่ชอบอยู่แล้วด้วยมั้ง ชอบคิดเล่นๆว่าถ้าคนที่เรารู้จักแก่ตายไปละเรายังอยู่ ง่ายๆก็คือถ้าเราเกิดเป็นอมตะขึ้นมา มันจะมีประโยชน์อะไรต้องอยู่ต่ออย่างโดดเดี่ยว? คอยดูโลกหมุนวนไปวันๆโดยที่เราไม่สูญสลาย?
ซึ่งหนังเรื่องนี้...เกือบจะตอบโจทย์ละ เกือบละ ...จริงๆคือไม่ได้ตอบโจทย์เลย ฮ่าๆๆๆๆ
แต่อย่างที่บอก นี่มันหนังรัก จบแฮปปี้ มีทางออกแก่ทุกฝ่าย ...ดีงาม ยิ้มค้าง :)
ในคำชม ก็มีข้อแย่อยู่เหมือนกัน คือมันเดาง่ายไปหน่อย ง่ายยยยยไป ง่ายจนแบบ...คิดๆอยู่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และหวังว่าหนังน่าจะทวิสได้ดีกว่านี้ แต่...เอิ่มโอเค ตามที่คิดเป๊ะเลย ...จ้ะ
ร่ำร้องจะดูด้วยความหวังที่จะได้เห็นบทสรุปที่ต่างไปจากที่คิด สุดท้ายก็...ไม่ แต่ก็โอเค หนังสนุกๆ เล่าเรื่อยๆดูเพลินๆ

อีกอย่างที่เพอร์เฟคมากคือนักแสดง
มีหลายซีนที่ใช้คำพูดอธิบายไม่ได้ และต้องแสดงอารมณ์แบบจัดเต็ม เหมือนหนังดราม่าทั่วไป แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังรักเสียมากกว่า ความแสดงอารมณ์แบบจัดเต็มของมันจึงเบาบางกว่าที่คุ้นเคยกันในหนังดราม่าเยอะ รวมถึงเพลงถึงภาพที่ไม่กดดันเราด้วย
ตัว Blake Lively เด่นจริง แสดงดีมาก งามฝุด เสียอย่างตรงที่ภาพลักษณ์นางคลุมเครือไปหน่อย บางครั้งก็รู้สึกโดดๆ รู้สึกไม่อิน แต่น้อยมากนะ ส่วนใหญ่แล้วคือดี ยิ่งซีนเจอกับลุง Harrison Ford คือเด็ด ลุงแกก็แสดงเยี่ยมยอดตามเคย
ตลก Ellen Burstyn เล่นบทลูกที่แก่กว่าพ่อแม่อีกแล้ว ถ้าจำกันได้ เธอคือ เมิร์ฟ ตอนแก่ใน Interstellar ไง! (เห็นปุ๊บแทบหลุดขำ)

จากที่เห็นรีวิวและการให้คะแนนรวมๆหลายสำนักหลายเว็บ คนไม่ค่อยชอบกันนะ
นี่เดาเอาเองเลยว่า น่าจะกรณีเดียวกับ The Tourist (2010) ที่ป๋าเดปป์แสดงคู่กับขุนแม่โจลี่
คือ ทั้งสองเรื่องมันเป็นหนังรักโรแมนติกชัดๆ แต่ดันชูโรงว่าเป็นหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์(The Tourist) กับหนังแฟนซีกาลเวลา(The Age of Adaline) คนดูเลยคาดหวังไปคนละแนว พอผิดคาดก็ผิดหวังกันไป พร้อมโปรยคำด่ากันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ Adaline คือโดนด่าเบากว่าThe Touristมาก อาจจะเพราะประเภทหนังที่ผสมแล้วไม่โดดเกินไป แถมยังคุมโทนอยู่อีกต่างหาก
แต่คือไม่ว่ามันจะผสมแนว หรือโดนด่า ความโรแมนติกของทั้งสองเรื่องคือฉันชอบ ฮ่าๆๆๆๆ

โอเค โดยรวม
8/10
หนังสวย เพลงเพราะ พรอตดี เดาง่ายไปหน่อย นักแสดงดีงามทุกคนจริงๆ

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Found. (2012)

**พยายามไม่สปอย...นะ คิดว่าจะไม่เผลอ ฮ่าๆๆ**
Found. (2012)
Directed by Scott Schirmer
Cast: Gavin Brown, Ethan Philbeck, Phyllis Munro and Louie Lawless

หนังสร้างจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ Todd Rigney เรื่องราวของ Marty เด็กเงียบๆผู้ตกเป็นเหยื่อของเด็กเกเรในโรงเรียน รสนิยมการดูหนังสยองขวัญกลายเป็นเหมือนที่หลบภัยของเขาเวลาเจอวันแย่ๆ แต่แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาลเหมือนในหนังที่เขาดู Marty ค้นพบความลับที่ซ่อนไว้ของคนทั้งบ้าน รวมถึงความลับของพี่ชายเขา Steve

ช่วง: ประโยคเด็ด คัดมาแล้ว
"My life is really is turning into a horror movie. And you know how they end." - Marty

จริงๆมีประโยคเด็ดกว่านี้แต่ถ้าเอามาคือ คุณไม่ต้องดูหนังหรอก มันเฉลยตอนจบเต็มๆเลย ฮ่าๆๆๆ

 นี่เป็นหนังสยองขวัญนะ สยองจิตใจเลยทีเดียว แต่ไม่ระทึก มันไม่ตื่นเต้นขนาดนั้น ออกแนวดราม่าหน่อยๆด้วยซ้ำ แต่ดราม่าแบบ Coming-of-Age อ่ะ เด็กๆวัยซนวัยต่อต้าน
และเตือนก่อนว่าดาร์คทีเดียว ดูแล้วหดหู่อยู่พักใหญ่ (ต้องรีบหาเพลงโลกสวยมาฟังโดยไว)

ชอบตรงความสยองมันมาแบบเงียบๆในบรรยากาศ ไม่กระโตกกระตากโวยวายจนน่ารำคาญ เด็ดสุดคือหนังทำให้เรารู้สึกขนลุก หนาวสั่น(ความจริงคือแอร์เย็น ฮ่าๆๆ) และอึดอัด แบบ...อยากลุกหนีอ่ะ แต่ทำไม่ได้หนังสนุก ฮ่าาๆๆๆ
สนุกจริงๆนะ มันดูเรื่อยๆ อยากรู้อยากเห็นไปกับเด็กว่าพี่ชายมันจะทำอะไร อยากเห็นวิธีฆ่าคนของพี่ชายงี้(ซาดิสละอันนี้) อยากรู้ว่าพี่มันจะทำยังไงเมื่อน้องรู้ อยากรู้บทสรุปของการมีพี่เป็นฆาตกรโรคจิตของมัน
(สปอยอะเลิ๊ดดด เล็กๆพอประมาณ อ่านไปเถอะไม่ได้ช่วยให้เสียอารมณ์เท่าไหร่)
สุดท้ายหนังก็จบแบบ...หนังสยองขวัญเก๋ๆ ไม่มีตำรวจ ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีคำตอบ ตายคือตาย รอดคือรอด ไม่ต้องหาบทสรุป นอนจมกองเลือดอยู่แบบนั้นแหละ ชีวิตมันจะเป็นยังไงก็ไปคิดกันเอาเองละกัน
พีคสุดคือฉากฆาตกรรมสุดท้าย ไม่เห็นเลยนะว่ามันทำอะไร ให้ดูแต่หน้าเด็กแบบเต็มเฟรม ละก็ตัดสลับกับช่องประตูมืดๆ ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยเสียงกรีดร้อง เสียงโวยวาย เสียงกระอักเลือด และความเงียบ............................................................................................................. (เงียบยาวๆเลยจริงๆ)

เก๋ตรงนี้~ ชอบๆ มันให้ฟิลเหมือนดูหนังสยองขวัญโบราณ หรือหนังคัลท์ยุค50-90อะไรแบบนั้น เตือนความจำตัวเองตลอดเวลาเลยว่า นี่ตูกำลังดูหนังปี2012นะคะ ทันสมัยหน่อย
เอาจริงๆในหนังออกจะย้อนยุคหน่อยๆด้วยนะ ยังเช่าวิดิโอเทปกันอยู่เลยเหอะ

นี่คือแค่มุมของหนังสยองขวัญ ดีงามมาก มาเรียบๆแต่เรียกความหวั่นผวาได้ดี

*คำเตือน: นี่เป็นความคิดส่วนตัวล้วนๆ และบ่นแบบ...บางทีก็ไม่รู้ว่าบ่นอะไร ฮ่าๆๆๆๆ*
มาดูความดราม่ากันดีกว่า
รอบตัวMartyนี่ มันน่าาาา พาให้เด็กใจแตกจริงๆ ตอนแรกนึกอยู่ว่ามันจะมีบทสรุปเหมือนพี่ชาย แต่นึกได้ว่าคงไม่มั้ง ไม่งั้นมันจะเป็นตัวเอกได้ไง(เปลี่ยนความคิดแบบง่อยๆ ฮ่าๆๆ)
คือมันเจอปัญหา ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน แม้แต่โบสถ์ก็ยังเจอ(ในเรื่องไม่เชิงเป็นโบสถ์หรอก เป็นที่ชุมนุมฟังเทศน์ไรงี้มากกว่า) แถมยังชอบหนังสยองขวัญอีก
แววความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก12ขวบคนนี้เริ่มมาละ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้
แม้จะชื่นชมพี่และเริ่มมีความคิดต่อต้านหัวรุนแรง แต่Martyก็ยังเป็นเด็ก เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งที่พี่ชายเสนอ แต่ก็ไม่มีอำนาจและกำลังพอที่จะหยุดการกระทำของพี่ชาย

เมื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งเดียวที่Martyทำได้คือ สงสัย ได้แต่คาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
อย่างที่พวกเราทุกคนกำลังทำกันทุกวันนี้นั่นแหละ ได้แต่เดาว่าวันข้างหน้าจะเป็นไง(เกี่ยวไรว่ะ?)
เหมือนไม่เกี่ยว แต่คิดให้เกี่ยวก็ใช่ ฮ่าๆๆๆ
เด็กจะไม่สงสัยในวันข้างหน้าไง เด็กจะคิดแค่ว่าถ้าพวกเขาทำสิ่งนี้ แล้วมันจะถูกหรือผิด? ผลที่ตามมาคือดีหรือไม่ดี อย่างถ้าต่อยเด็กเกเรกลับแล้วชีวิตมันจะดีขึ้นจริงหรอ? จะเจอปัญหาอะไรหลังจากนี้ละ? จะโดนทำโทษมั้ย? แล้วทำแล้วมันจะหยุดรังแกฉันมั้ย? นี่คือปัญหาหลักที่Martyพยายามคิดมาตลอดครึ่งเรื่องแรก
แต่เมื่อMartyตัดสินใจก้าวผ่านความคิดแบบเด็กๆ และตัดสินใจต่อยคนที่รังแกเขากลับ สิ่งเดียวที่Martyตั้งใจหลังจากนี้ไปคือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคือผู้ชนะ (อันนี้เริ่มเป็นความคิดที่น่ากลัวละ)
กระทั่งจุดเปลี่ยนมาถึงในคืนนั้น ที่พี่ชายมันเริ่มอาละวาดนั่นแหละ ความคิดการเอาชนะก็หดกลับไปและเหลือแต่เด็กตัวน้อยๆตามเดิม ตรงนี้โหด(คือจุดพีคที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ และจะไม่เล่าเดี๋ยวหมดสนุก)
พอผ่านคืนนั้นมา นั่นแหละ ที่Marty เริ่มคิดแบบ การสงสัยคาดเดา ที่แย่คือ...มันไม่มีคำตอบ

หนังดี งาม ภาพสวยแบบสื่อความได้ชัดเจน สัญญะง่ายๆ เห็นปุ๊บถึงขั้นร้องอ๋อ
มีจุดพลิกผันให้อึ้งทึ่งบ้าง แต่ไม่มีสรุปให้ เชิญคิดเอาเอง เอาที่ชอบ
บทดีงาม การแสดงดีงามระดับที่จัดว่าเหมาะมากสำหรับหนังแบบนี้
โดยเฉพาะ Gavin Brown เด็กที่แสดงเป็น Marty น้องอนาคตไกลแน่ กับหนังอินดี้น้องดังแน่ (หนังใหญ่ของให้คิดอีกที ยังไม่น่าจะได้บทดีๆในเร็วๆนี้)

บ่นมาก็เยอะ สำหรับความสยอง
10/10
...นะจ๊ะ จบเลย (ใครจะหักคะแนนตรงไหนก็แล้วแต่ละกัน ฉันจะให้แบบนี้ ฺฮ่าๆๆๆ)

เม้ามอยของแถม

หนังสยองขวัญที่ Marty อยากดูและหาในร้านเช่าไม่ได้ แต่ดันไปเจอในห้องพี่ชายคือเรื่อง Headless ซึ่งเป็นแรงบรรดาใจในการฆ่าคนของ Steve ผู้เป็นพี่
ตอนนี้ Headless เป็นหนังจริงๆแล้วนะเออ ฉายในอเมริกาไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2015 นี่เอง
ใช้นักแสดงอย่าง Shane Beasley เล่นเป็นฆาตกรหน้ากากกะโหลก คนเดิมกับที่อยู่ใน Found. นี่แหละ
แอบไปอ่านรีวิวมา น่าดูเหมือนกัน เดี๋ยวจะจัดทีหลัง

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: A Good Marriage (2014)

*อาจเผลอสปอย*
Stephen King's A Good Marriage (2014)
Directed by Peter Askin
Cast: Joan Allen, Anthony LaPaglia and Stepehn Lang

ชีวิตแต่งงาน27ปีอันแสนสงบสุขของ บ๊อบ และ ดาร์ซี่ กำลังถึงจุดจบหรือไม่? เมื่อดาร์ซี่พบว่าสามีของเธออาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ข่มขืนและฆ่าหญิงสาวอย่างโหดเหี้ยม
ความหวาดระแวงเริ่มกลายเป็นฝันร้าย วิธีเดียวที่จะรับมือกับเรื่องน่าสะพรึงนี้ได้คือคุยกับบ๊อบให้รู้เรื่อง และได้แต่ขอให้เขาสัญญากับเธอว่าเรื่องเลวร้ายนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก...

ไม่มีอะไรน่าสนใจขนาดว่า เฮ้ยต้องดูนะ ต้องดู๊!!!
แต่อยากแนะนำสำหรับแฟนคลับเฮีย Stephen King(ซึ่งโพสเตอร์บางอันก็พาดชื่อเฮียแกใหญ่กว่าชื่อหนังอีก ฮ่าาๆๆ) และคอหนังทริลเลอร์ทั้งหลาย...ที่เน้นว่าทริลเล๊อออ ทริลเลอร์ จริงๆนะ ไม่มีความสยองขวัญหรือดราม่าเข้ามาปะปนประมาณนั้น ควรดูๆ

หนังไม่น่าจะเรียกว่า สนุก แต่เรียกว่า ดูได้เรื่อยๆ แก้เบื่อแก้เซ็งได้ดี
จังหวะลุ้นมีให้รู้สึกบ้างพอประมาณ ไม่เครียดและไม่หนักเกินไป ระหว่างจังหวะลุ้นๆก็มีเรื่องราวให้ตาม
ก็ดึงให้คนดูสนใจได้ทั้งเรื่องแหละง่ายๆ
โดยส่วนตัว ชอบงานเฮียคิงอยู่แล้ว และคิดว่าอันนี้คือแจ่ม มันไม่น่ากลัว มันไม่ชวนตกใจ แต่มันชวนอึ้งอยู่เหมือนกัน จากแม่บ้านสวยๆรักลูกรักสามี กลายเป็นคนเลือดเย็นภายในพริบตา แล้วก็ทำให้คิดได้ถึงความสามารถของคนธรรมดาที่ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ชีวิตวุ่นวาย
แต่ก็อีกแหละ ชีวิตจริงใครจะทำแบบนี้ได้ง่ายๆล่ะ =..=

ช่วงแนะนำเพิ่มเติมอีกเรื่อง (ช่วงบ้าไรว่ะ -*-)
A Good Marriage น่าจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหนังแนวชีวิตแต่งงานแสนสงบที่จู่ๆก็มีเรื่องหนักหนามาให้แก้ไข แต่ด้วยสไตล์ของหนังเลยเรียบง่าย เรื่อยเปื่อย และนิ่งงงง สนิทแบบเยือกเย็น
แต่ล่าสุดกับแนวๆนี้ก็เพิ่งดู Home Sweet Hell(2015) ไป
หนังแนวเดียวกันกับที่กำลังพูดถึง แต่คนละประเภทเลยค่าาา
Home Sweet Hell ผลงานกำกับของ Anthony Burns นำแสดงโดย Katherine Heigl และ Patrick Wilson เป็นดราม่าตลกร้าย ที่ไม่มีการฆาตกรรมมาเป็นประเด็นปัญหา แต่เป็นประเด็นชู้สาวและการแบล็กเมล
ซึ่งภรรยาแสนสวยสุดเพอร์เฟคก็เป็นคนแก้ปัญหา(เหมือน A Good Marriage นี่แหละ) แต่นางโหดและโรคจิตของนางทำให้หนังดูมีสีสันขึ้นเยอะ
ใครชอบแนวฆ่าโหดตัวละครโรคจิตแต่ติดตลก ก็...นี่เลย Home Sweet Hell นะจ้ะ
ไม่ได้เขียนบ่นเรื่องนี้เพราะตอนดูจบรีบกลับบ้าน ละก็ลืม ฮ่าๆๆๆๆ เอาจริงหนังเรื่องนี้ดีเกือบหมดนะ ยกเว้นที่มาของตัวละครที่ขาดความน่าเชื่อถือ ประเด็นความโรคจิตที่ไม่เผยเต็มที่และปล่อยให้เราคิดไปเองว่ามันเป็นอะไร แถมยังจบแบบ...แย่อ่ะ สรุปคือทั้งเรื่องแกปูความสามารถภรรยาแสนสวยคนนี้มาทำไมมมม (หงุดหงิดขั้นสุด ให้คะแนนตรงนี้เลยก็ได้ว่า 5/10 สำหรับ Home Sweet Hell)

โอเคกลับมาที่ A Good Marriage
งานภาพดีงามในระดับนึง เพลงประกอบจัดว่าดี (โดยเฉพาะเพลงตอนจบ ชอบมากกก)
สำหรับนักแสดง Joan Allen คือดีงามมาก นางยังแจ่มอยู่เลย ฉันจำป้าแกได้จาก Face/Off(1997) และเรื่องนี้นางก็เล่นได้...สยองดี น่ากลัวกว่าสามีที่เป็นฆาตกรเสียอีก บ่งบอกได้ชัดเจนว่าอย่างไปแหย่มกับชีวิตแสนสงบของป้าแกเด็ดขาด ขนาดสามียังไม่เว้น
ส่วนบทสามี Anthony LaPaglia ยอมรับว่าไม่รู้จัก ฮ่าๆๆๆ แต่ลุงแกเท่ดีนะ เหมาะกับบทฆาตกรโรคจิตรูปหล่อล้อลวงสาวสวยมากเบย...คือ...ก็มีเสน่ห์แบบคนแก่น่ะนะ (ถ้าคอซีรี่ส์สืบสวนอาจจะเคยดูผลงานลุงแกใน Without a Trace ในบท Jack Malone /เห็นแว๊บๆว่ามีไปโผล่ในCSIเวกัสปี2007ด้วย //ใครจะจำได้เล่าวุ้ย)

ส่วนเรื่องบทไม่ต้องพูดถึง เพราะเจ้าของนิยายแกเขียนเองงงง
หนังสร้างจากเรื่องสั้นในนิยาย Full Dark, No Stars เมื่อปี2010 ชื่อตอน A Good Marriage นี่แหละ เป็นแนว Suspense หรือก็น่าจะสืบสวนนั่นแหละนะ ซึ่งแนวนี้ของเฮียคิงก็สนุกนะ ไม่แพ้แนวสยองขวัญเลย
เผื่อใครที่สนใจ(ซึ่งเดี๋ยวอีนี่คงหาอ่าน)
Full Dark, No Stars(2010) มีอีก3ตอนคือ...
1922 - อันนี้แนวสยองขวัญ
Big Driver - สืบสวน และถูกสร้างเป็นหนังทีวีไปแล้วโดยค่าย Lifetime
Fair Extension - แนวสยองปนตลกร้าย สไตล์เฮียคิง...ก็ไม่น่าจะเรียกว่าตลกน่ะนะ เฮ่อๆ

สำหรับทริลเลอร์เรียบง่ายทรงพลังเรื่องนี้ นี้ นี้ นี้ ~
7/10
เรื่อยๆดี เพลินๆ ไม่พีค ไม่ว๊าก
คะแนนเกินครึ่งคือเทให้ชื่อเฮียคิงไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ

ปิดท้าย กับ ช่วงแนะนำเพลงประกอบหนังเด็ดๆ
Tombstone Every Mile เดิมเป็นเพลงคันทรี่ ของ Dick Curless ปี 1965
และนี่เป็นเวอร์ชั่นใหม่สำหรับประกอบ A Good Marriage โดยเฉพาะ ร้องโดย Jaymay
โดยส่วนตัว ชอบมากนะ เพราะสุด เหมาะกับการปิดฉากเรื่องโคตรๆ