*อาจเผลอสปอยบ้าง*
Aloha (2015)
Directed by Cameron Crowe
Cast: Bradley Cooper, Rachel McAdams, Emma Stone, Bill Murray, John Krasinski and Alec Baldwin
เรื่องราวของ Brian Gilcrest(แสดงโดย Bradley Cooper) ทหารอากาศมีชื่อเสียง ผู้ไต่ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของอาชีพในโปรแกรมพิเศษของ US Space ที่โฮโนลูลู ณ ฮาวาย เขาพยายามจุดไฟกับรักเก่า(ซึ่งคือ Rachel McAdams) ที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหลายปี ทว่าดันไปตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับทหารอากาศท้องถิ่น Allison Ng(แสดงโดย Emma Stone) สาวช่างจ้อที่ถูกมอบหมายให้ทำงานคู่กับ Gilcrest ระหว่างที่เขามาฮาวาย ซึ่งเสี่ยงต่อจุดตกต่ำของอาชีพแบบสุดกู้เมื่อเขาถูกกองทัพอากาศจ้องเล่นงานอยู่
เอาจริงๆเรื่องย่อนี่ไม่แน่ใจว่าถูกหมดใหม่นะ คือเล่าเท่าที่เข้าใจประกอบกับไปเอามาจากที่เว็บ IMDb เขียนไว้ด้วย ถูกผิดอย่างไรขออภัยไว้ก่อนละกันนะ
นี่เป็นหนังที่ทดลองดูแบบ ทำงานไปดูหนังไป เนื่องจากไม่มีเวลาว่างจะนั่งดูนิ่งๆนานๆ ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม (ไม่แม้แต่จะหาเวลาไปดูในโรง) นับเป็นโปรแกรมทดลองใหม่ ที่จะดูว่าฉันสามารถดูหนังรู้เรื่องมั้ย ผลที่ได้คือดูรู้เรื่อง...บ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ฮ่าๆๆๆๆ
ดังนั้น อย่างที่กล่าวไป ผิดพลาดขัดใจสิ่งใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย >/\<
แต่หลักๆแล้ว ด้วยความที่มันเป็นหนังรอม-คอม ดูง่ายสบายสมอง ที่ถ้าไม่เข้าใจ ย้อนกลับไปสักสองสามนาทีก็พอจะเข้าใจ (ย้อนหลายหรอบอยู่) ภาษาไม่ยากมาก (ไม่นับภาษาทางการทหาร ที่แบบ...หื้อ แกพูดอะไรกัน...) สรุปแล้วคือพอจะดูรู้เรื่องและสามารถบ่นได้บ้างฮ่าๆๆ
จริงๆหลักๆที่จะบ่น ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรอก
จะลองพิสูจน์ดูมากกว่าว่า ดราม่าที่เขาโวยวายจนผู้กำกับ Cameron Crowe ต้องออกมาขอโทษขอโพย ว่าด้วยเรื่องการแคสนักแสดงอเมริกันผิวขาว มาเล่นเป็นชาวฮาวายอเมริกันลูกครึ่งเอเชีย มันเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้อย่างโง้นงี้งั้น อยากจะบอกว่ามันก็มีทั้งดีและไม่ดีนะ จากที่ดูในหนังแล้ว
ข้อไม่ดีคือ: มันไม่ให้ความรู้สึกว่านางเอกเป็นคนฮาวายเลยจริงๆ ไม่สมกับที่นางบอกเลยว่าพ่อนางเป็นลูกฮาวายลูกครึ่งเอเชีย และดูจะอ้างว่าได้เชื้อแม่ที่เป็นสวีเดนมามากกว่า(มีให้เห็นรูปพ่อแม่ด้วย) นอกจากมันจะทำให้คนดูไม่เชื่ออย่างสนิทใจในบทบาทของเธอ (ยิ่งกับใครก็ตามที่รู้ว่าหน้าต่างของคนจริงๆที่ถูกนำมาเป็นคาแร็กเตอร์นั้นหน้าต่างเป็นยังไงน่ะนะ) มันทำให้ดูเหมือนว่า Emma Stone เป็นอเมริกันผิวขาว ที่เติบโตในแถบนี้จนกลายเป็นคนพื้นเมืองเสียมากกว่า
ข้อดีก็คือ: Emma Stone แสดงดี ในบทบาทของเธอ บทอารมณ์ บทรัก บทช่างพูด คือก็สมแล้วที่นางเล่น ดูน่ารักปนน่ารำคาญ และก็สวยในบางอารมณ์(เวลาใส่เครื่องแบบเท่ๆน่ะนะ)
ถ้าไม่สนดราม่าดังที่กล่าวมา จริงๆเรื่องนี้ก็เป็นหนังรอม-คอม อารมณ์ดีที่ดูจบแล้วก็ฟิลกู๊ดไปอีกแบบ มุกตลกบางมุกก็สมกับความเป็นหนังรักสไตล์นี้ดี ยิ่งมุกที่แค่ความเงียบก็เข้าใจ(ใช้ภาษากายแทนคำพูด) อันนี้คือฮาสุด ยิ่งตอนท้ายที่พระเอกคุยกับสามีของแฟนเก่า(มีซับให้อ่านด้วย)
นอกจากฮาก็มีฉากซึ้งด้วย อันนี้แทรกอยู่ในทุกจังหวะของหนัง เฉพาะโมเม้นระหว่างพระเอก-นางเอก หรือ พระเอกกับครอบครัว ฉันว่าอันนี้ดีงามมาก เป็นจังหวะอารมณ์แทนคำพูดหลายล้านคำ ที่ไม่ต้องหาคำบรรยายหรือไม่ก็ให้อิสระกับคนดูในการคิดคำบรรยายขึ้นมาเอง
อย่างนึงที่ชอบคือ หนังสวยมาก ถ่ายทอดความเป็นฮาวายผ่านฉากหลังได้ดี แสงสีของธรรมชาติ เครื่องแต่งกาย อะไรแบบนั้น ให้อารมณ์ความเป็นฮาวายดี เอาเป็นว่าดูแล้วไม่ตะหงิดใจในส่วนนี้ (เท่าดราม่าเรื่องตัวละครของ Stone น่ะนะ)
นอกเหนือจากที่พูดมานั้น...หนังก็ไม่ค่อยมีอะไรไปจากตัวอย่างที่ยิงไปช่วงโปรโมตหนังเท่าไหร่หรอก จริงๆถ้าเทียบกับงานเก่าของ Cameron Crowe อย่าง Jerry Maguire (1996), Almost Famous (2000) หรือ We Bought a Zoo (2011) คือเรื่องนี้สู้เรื่องที่กล่าวมาไม่ได้สักเรื่อง ความสนุก โมเม้นเจ๋งๆพีคๆ ไม่ค่อยมีอ่ะ...ก็มี แต่ไม่พีคเท่า เอางี้ดีกว่า (ฉากพระเอกกับสามีแฟนเก่าคือเจ๋งอยู่ ชอบมาก)
เอาล่ะ ไม่ได้เขียน "ดูแล้วบ่น" นานแฮะ
รวมๆแล้ว หนังดี เหมาะแก่การดูเรื่อยเปื่อย ฟิลกู๊ด ดูจบแล้วอารมณ์ดี บันเทิง
แต่ไม่สนุกเท่าที่คาดหวัง และไม่พีคมากมายอะไร
เอาไป...
6/10
เรียกได้ว่าผิดหวังนิดหน่อย แต่ให้เกินครึ่งจากเรื่องมุกมองตาก็เข้าใจ ชอบๆ ฮ่าๆๆ
ก็บ่นพึมพำ-งึมงำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็ดูหนังแล้วอยากบ่น ไปเที่ยวบ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ =/\=
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558
เที่ยวง่อยง่อยสไตล์: เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์"
**คำชี้แจ้ง** : บล็อกนี้ใช่เวลาเขียนนานมาก เนื่องจากลืม/ไม่ว่างซะที เลยเขียนตามแต่เวลาว่างวันละนิดยังมีรูปบางรูปจากกล้องฟิล์มยังไม่ได้ลงด้วย อาจมีการอัพอีกครั้งในภายหลัง
***อัพเดทล่าสุด*** : มาเพิ่มรูปจากกล้องฟิล์ม ที่!! เพิ่งจะได้ฟิล์มกลับมาจากการล้าง (ส่งไปอาทิตย์นึง) อย่างที่บอกว่าถ่ายมาไม่เยอะเลย ทีละรูปสองรูป บางทีก็ไม่ถ่าย นั้นเพราะลืมว่าห้อยกล้องไว้กับคอ กับ มันไม่รู้จะถ่ายอะไร ฮ่าๆๆ
โอกาสนี้ก็ขอเปิดช่วงใหม่ "เที่ยวง่อยง่อยสไตล์"
ไม่ใช่บล็อกแนะนำเที่ยวหรืออย่างใด แค่บันทึกประสบการณ์เล็กๆที่ไปเที่ยวทริปสั้นๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรในการไปเป็นพิเศษ นอกจากแค่อยากจะพักผ่อน นั่งนิ่งๆ ไม่กังวลอะไร หนีบรรยากาศเมืองและสภาพการจราจรในกรุงเทพบ้าง แม้ว่าทริปเที่ยวอาจจะแค่ ไปนอนพักเล่นในโรงแรม ก็เถอะ ฮ่าๆๆ
จริงๆก็ไม่ได้ไปนอนอืดเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์แบบสรุปง่ายๆ(ทั้งที่อธิบายมายาวขนาดนี้) ก็คือเปลี่ยนบรรยากาศแหละค่ะ
และตั้งแต่ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมา แทบจะเรียกว่าไม่ได้เที่ยวไหนเลย (ดูหนัง เดินห้าง ไม่ได้เรียกว่าเที่ยวนะจ๊ะ เหนื่อยอีกต่างหากแย่งกันกินแย่งกันจอดรถ) จะมีก็ไปทะเลกับเพื่อนทริปสั้นๆทริปเดียว ซึ่งก็ไม่ได้บันทึกอะไรเพราะกะจะไปสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ได้เก็บบรรยากาศ แถมโลกนี้ช่างโหดร้าย เป็นหวัดไซนัสกำเริบตลอดทริปเลยจ้ะ /ปวดใจระดับ10 (ยังมิวายลงเล่นน้ำอีกแน่ะ)
หลังจากนั้นก็มีไปส่งเพื่อนเรียนต่อที่บินไกลไปลอนดอน ตอนั้นก็หันไปพูดกับเพื่อนอีกคนว่า
"อยากมีอารมณ์แบบหิ้วกระเป๋าเข้าเกท ขึ้นเครื่องบินบ้างอะไรบ้างแฮะ"
จากนั้นเลยเริ่มว่างแผนเที่ยวรอบหน้ากับเพื่อนนี่แหละ
*เสียงรัวกลอง*
เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์" ไลฟ์ ไลฟ์~!!!
ดีเทลของทริป: วันที่ 9 - 11 ตุลาคม (ไปศุกร์-กลับอาทิตย์) / นั่งรถไฟไป - นั่งเครื่องบินกลับ
เป้าหมาย: ไม่มีอะไรเลย ประเด็นแรกคือ เพื่อนอยากนั่งรถไฟยาวๆ และฉันเองก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศพักผ่อน เลยจัดกันให้สุด นั่งไปเชียงใหม่กันซะเลย
นัดวันไปกันเรียบร้อย จากนั้นก็...
1. จองตั๋วรถไฟล้วงหน้า60วัน / คนละ 640 บาท
2. จองตั๋วเครื่องบินถูกๆ กลับค่ำๆหน่อย(เนื่องจากวันอาทิตย์มีงานสั่งน่ะ เว้นเวลาทำงานนิดนึง) / ได้ตั๋วคนละ 1,288 บาท (ถูกมั้ยไม่รู้ ไม่น่าจะเรียกว่าถูก แต่ทำไงได้ละนะ)
3. จองโรงแรมแบบ 2 คืน มีอาหารเช้า / รวมแล้วก็คนละ 1,000 บาท
4. ไม่ได้แพลนอะไรเลย แต่เพื่อนเห็นตั๋วสวนสัตว์เชียงใหม่มีโปรโมชั่น พร้อมเที่ยวอควาเรียม เลยซื้อไว้ คนละ 159บาท
รวมแล้วทริปนี้ 3,087 บาทนะเจ๊ะ
เอาแบบพอดีๆเอาแบบสบายๆ ก็นับว่าเป็นราคาที่เด็กจบใหม่เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันสามารถเตรียมพร้อมก่อน 2เดือน และหักเงินช็อปปิ้งไปใช้จ่ายวันเที่ยวได้ (อยากเที่ยวแต่บ่มีทุน) รวมแล้วก็พกเงินไปราวๆ 4-5พัน ที่เป็นงบช็อปปิ้งนั่นแหละ
เอาล่ะ อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้วางแผนล้วงหน้าสองเดือน ระหว่างสองเดือนที่ผ่านไปเรื่อยๆนี้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นด้วย มันเป็นโมเม้นของการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตที่รักมาก ชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนทุกอย่างใหม่และยังไม่เข้าที่เข้าทาง ทำให้แวบนึงก็รู้สึกไม่ดีที่จะต้องไปเที่ยว แต่คือ...มันยังไงล่ะ วางแผนไว้แล้ว จะยกเลิกก็ไม่ใช่นะ
เพราะงั้นเที่ยวทริปนี้จึงเป็นทริปฟื้นฟูจิตใจไปด้วยในตัว (นับว่าดีทีเดียว พักสมองได้ดีมาก)
ดังนั้นสิ่งที่เตรียมไปนอกจากเสื้อผ้าของใช้จำเป็นแล้ว ก็มีแค่...
กล้องฟิล์ม Nikon FM10 คู่ใจ(ที่จิ๊กแม่มาอีกที) คือมีความรู้สึกว่ากล้องดิจิตอลมันง่ายไป กดชัตเตอร์ ถ่ายๆๆๆ ภาพมันดู...ไม่มีความหมายเลย เหมือนถ่ายส่งเดช ตอนนี้เลยคิดแต่จะใช้กล้องฟิล์ม ไว้เก็บภาพแบบช้าๆค่อยๆปรับแสงปรับโฟกัส ชิลๆ ไม่รีบ คิดทุกภาพว่าจะถ่ายยังไง ทุกชัตเตอร์ที่กดคือคิดแล้วคิดอีก เพื่อไม่เปลืองฟิล์ม เพื่อให้ทุกภาพมันมีความหมาย /ส่วนอื่นก็เอากล้องมือถือถ่ายไปค่ะ (...นี่ตูคิดอะไรเยอะไปหรือเปล่า...ใช่ เยอะไป ฮ่าาาาๆๆๆ)
อีกอย่างคือ หนังสือนิยาย Pines เล่มแรกของซีรี่ส์ Wayward Pines ซื้อดองไว้หลายเดือนแล้ว ไม่มีจังหวะจะอ่านซักที เลยหยิบมันมาอ่านบนรถไฟนี่แหละ ซึ่งเหมาะมาก (อย่าถามว่าสนุกมั้ย ยังอ่านไม่จบเลยเถอะตอนนี้ โดนขัดจังหวัง เผลอซื้อการ์ตูนมาเลยพับปิดไปบ้าง จัดบ้าน ต่อหุ่นยนต์ และอื่นๆ ฮ่าาา)
และแล้วก็มาถึงวันเดินทางวันแรก 09/10/2015
ฝนเทแต่เช้าเลยจ้า รถไฟออก 8.30 ไปก่อนเวลาสักหน่อยเลยติดสอยนั่งแท็กซี่ไปทำงานของแม่ไปลงหัวลำโพง เปียกปอนชื้นแฉะเข้าสถานีรถไฟไปท่ามกลางฝูงคน...คือเช้าขนาดนี้แต่คนยุบยับมาก เป็นสถานที่ที่ไม่เคยร้างผู้คนเลยจริงๆสินะ... โอเค เจอเพื่อนแล้ว เพื่อนหิว เพื่อนกินข้าวเช้า นั่งคุยรอเวลา 8โมงไปยืนเคารพธงชาติในโถงสถานีร่วมกับคนอื่น(จริงๆคือกำลังเดินไปชานชาลา)
ชานชาลาเปียกชื้น จากทั้งฝนและละอองน้ำที่
พนักงานกำลังล้างภายนอกรถไฟ
ภาพห่วยแตกระดับกากแดนมาก
เนื่องจากมือนึงถือกระเป๋าหิ้ว(เสื้อผ้า) หลังแบกเป้(ของใช้และคอม)
เดินตัวโยนไปมามองหาขบวนของตัวเอง มืออีกข้างก็พยายามจะถ่ายรูป
มันจึงออกมาได้...มัว เบลอ เช่นนี้
แต่นี่เป็นภาพเดียวที่มี ฮ่าาาา /น่าทุเรศใจยิ่งนัก
(จริงๆมีภาพชานชาลากลางดีๆนะ ยืนเล็งอยู่ตั้งนาน แต่มันอยู่ในกล้องฟิล์ม...ที่ยังไม่ได้ส่งล้างเลอะ)
*ตรงนี้อาจมาอัพเพิ่มเมื่อได้รูปนะ*
รูปชานชาลาจากกล้องฟิล์มมาแย๊วววว คือมันขาดมุม เนื่องจากเป็นรูปแรกของม้วนฟิล์ม ซึ่งนับเป็นรูปลองกด ดังนั้น...มันจึงเป็นเช่นนี้ ฮ่าๆๆ |
เจอรถไฟของตัวเองแล้ว (ตามรูปก็ขบวนที่อยู่ทางขวา สีฟ้าๆนั่นแล)
ขบวนที่7 สายกรุงเทพ-เชียงใหม่
รูปไม่ต้องใหญ่มากเนอะ มันก็ไม่ได้หวือหวาอะไร |
คือแบบ นี่ประสบการณ์ใหม่จริงๆนะ ไม่เคยขึ้นรถไฟไทยเลยจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้24ปีเนี่ย บอกตรงๆว่าตื่นเต้น ฮ่าๆๆๆ
(เครื่องบินก็เคยแค่ครั้งเดียว ทริปนี้ขากลับจะเป็นครั้งที่สอง)
และแล้วววว 8.30 รถไฟก็ออกตัวววว
คือเชื่อว่า หลายคนน่าจะเห็นจนชินตากับภาพเมือง แต่ก็น่าจะมีบางคนที่เป็นเหมือนฉัน รถไฟไม่ใช่อะไรที่จู่ๆก็จะมานั่ง ถ้าไม่ไปเที่ยวหรือไปไหนสักแห่งด้วยรถไฟจริงๆ (เห็นเพื่อนบางคนก็ไปหัวหินด้วยรถไฟไรงี้) และจากมุมมองของฉันที่ไม่เคยนั่งรถไฟแล้ว
บรรยากาศข้างนอกนี่ ดูดีสุดๆไปเลย อย่างกับในหนังญี่ปุ่นหรือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มันแบบว่ามีฉากริมทางรถไฟ มีตึกเก่าๆข้างหลังอะไรแบบนั้น (มโนไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่มั่นใจว่าของญี่ปุ่นดูมีระเบียบกว่านี้เยอะ) นี่พอถ่ายรูปออกมา มีฝนเกาะหน้าต่างนิดๆ (แต่งสีหน่อย) คือแบบมันใช้มากนะ ชอบโมเม้นนี้สุดๆ
น่าแปลกใจดีที่อยู่กรุงเทพมาทั้งชีวิต บ่นรถติดเวลารถไฟมาแทบทุกครั้ง บรรยากาศตึกรามบ้านช่องมันก็เดิมๆนี่แหละแบบที่เห็นเวลามองออกมาจากหน้าต่างรถปกติ แต่พอย้ายก้นมานั่งในรถไฟ ละมันเปลี่ยนฟิลได้เหมือนกันนะ
เรียกง่ายๆว่าไม่มีคนวัยพวกเราอุตรินั่งรถไฟเป็นชั่วโมงๆ หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือหนึ่งวันเต็ม แบบพวกเราหรอก ฮ่าาๆๆๆ
สิ่งนึงที่เห็นแล้วก็ก็เกิดฟิลที่เข้ากับรถไฟไทยเก่าๆบรรยากาศเดิมๆที่ไม่น่าจะเคยเปลี่ยนเลยเป็นเวลากว่า10ปีของรถไฟไทย(หรืออาจจะเกินกว่านั้น) คือลุงๆป้าๆที่นั่งหน้าเราไปประมาณ 3-4 แถว พวกแกคุยกันตลอดทางแบบไม่เหน็ดเหนื่อยเลยนะ คุยเรื่องวันวานลูกหลาน ญาติมิตร ใครป่วยใครตายใครแต่งงานใครมีลูกมีหลานเพิ่ม อะไรงี้กันไปเรื่อยยย (อีนี่ก็ฟังได้สักพักก็เริ่มเข้าสู่โลกส่วนตัวแหละ) กลุ่มนี้เขาเหมือนนัดไปไหนกันนะ มีสามคนแรกขึ้นที่หัวลำโพง อีกสองและสามคนมั้ง ขึ้นตรงสถานีกลางทางหน่อยๆแล้ว แถวขนานถนนวิภาวดีน่ะ (แล้วเขาก็ลงกันไปตอนไหนไม่รู้ไม่ได้ดู ฮ่าๆๆ)
ที่ชอบคือแบบ มีการส่งรูปถ่ายให้ดูกันด้วย ละรูปขาวดำสีซีเปียอ่ะ หัวข้อประมาณว่า
"นี่ๆ เธอจำคนนี้ได้มั้ย"
"นี่ๆ คนนี้ไงที่มีลูกทำงานอยู่นอก"
เป็นฟิลที่น่ารักดีนะ ชอบนะ แอบเผลอยิ้มนิดๆเลย
มาเข้าเรื่องการผจญภัยกันต่อ
(ซ้าย)ขนมปังไส้ถั่วกับกาแฟ (กลาง)คือไม่มีอะไรระหว่างมื้ออ่านหนังสืออยู่วิวกับแสงสวยดีเลยถ่ายเล่น (ขวา)ข้าวสวย-แกงเผ็ดไก่-ไข่พะโล้ |
แต่ไอ้ที่อร่อยของจริงน่ะ อยู่นี่!!
มันคือไรไม่รู้อ่ะ แป้งพาย ไส้ครีมหวานๆ หน้าซองเขียนขนมจีบยิ้ม แต่คือไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งใด มันอร่อยโคตรๆ อยากจิขอพี่เขาอีกแต่เกรงใจเลยกินเสร็จแบบเงียบๆแล้วนั่งอ่านหนังสือต่อไปอย่างสงบ
ระหว่างทางก็อ่านหนังสือบ้าง เล่นมือถือบ้าง ฟังเพลงเฉยๆนั่งชมวิวมองไปนอกหน้าต่างเฉยๆบ้าง แลดูเหมือนน่าเบื่อ แต่จริงๆไม่เบื่อเลยนะ มันเพลินดี เริ่มเนือยก็หลับ ตื่นมาก็วนลูบกิจกรรมเดิม เป็นการพักสมองที่ดี
วิวข้างทางดีๆปลอบโยนสมอง |
อันนี้ก็วิวเดียวกับข้างบนนะ แค่ถ่ายต่อมานิดหน่อย นี่แต่งสีให้มันจัดแล้วสวยดี อย่างกับฉากในหนัง |
ขึ้นเหนือมาได้พักใหญ่ (ใหญ่มากด้วย ตะวันจะลับฟ้าละ) ฝนก็ตก มโนมากไปมั้ยไม่รู้ รู้แต่ช็อตนี้แอบนึกถึงแฮร์รี่เจอผู้คุมวิญญาณ มีหมอก มีฝน และหนาวเย็น ฮ่าๆๆๆๆ |
คืออยากจะบอกว่า จำไม่ได้ว่าถ่ายจากจังหวัดหรือชานชาลาอะไรบ้าง ฮ่าๆๆๆๆ
ชอบภาพนี้ ให้อารมณ์แบบเก่าๆ ทั้งสีทั้งสถานที่ คลาสสิกดี |
พอข้างนอกมืดค่ำไม่เห็นอะไรเลยยกเว้นแสงไฟในเมืองเวลาผ่าน(เช่นลำปาง จำได้แค่นั้นเพราะเห็นรถม้าแว๊บๆ) หรือแสงไฟเวลาแวะสถานีรถไฟเล็กๆ (ที่บรรยากาศโคตรหลอน มีคนลงแค่คนเดียวไรแบบนั้น)
สรุปแล้วพวกเราเดินทางมาถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ2ทุ่มกว่าเกือบ3ทุ่ม รวมแล้วนั่งรากงอกอยู่บนรถไฟเป็นเวลา 13 ชั่วโมง คือแบบเปลืองเวลาชีวิตมาก หมดไปหนึ่งวันเต็มๆกับการเดินทาง แต่เอาจริงๆนะ มันรู้สึกดีสุดๆ สบายสมอง นั่งพัก นิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องเล่นโซเชียลเพราะบางทีสัญญาณอินเตอร์เน็ตมันก็ไม่ได้ตามเราทันเวลาวิ่งบนป่าเขา โนเซอร์วิสด้วยซ้ำบางจังหวะ(เอ นี่ฉันใช้บริการโทรที่โฆษณาว่าโทรได้ทั่วไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเปล่านะ)
ซึ่งนับว่าสนองความอยากได้ดี เพื่อนอยากนั่งรถไฟ อ่ะจัดไป อีนี่อยากพักนั่งนิ่งๆเปลี่ยนบรรยากาศ นี่ไง สมใจอยาก
ต่อรถแดงเข้าพักโรงแรมกันสักหน่อย โรงแรมที่พักล็อบบี้อย่างสวย แต่โถงหน้าห้องอย่างหลอน ไม้สีเข้มเก่าๆแกะสลัก พรมสีแดง กลิ่นเก่าหน่อยๆของไม้ตีจมูกเบาๆ ไฟโลว์ไลท์สุดๆ มองไปสุดทางเดินคือหลอนสุด มีทางแยกข้างลิฟต์เป็นบันไดขั้นน้อยๆลงไปยังห้องพักบางส่วนด้วย (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำต่างระดับทำไม หรือห้องฝั่งนั่นจะใหญ่กว่าก็ไม่รู้) พอวางกระเป๋าเสร็จความหิวก็เข้าเล่นงาน เลยตัดสินใจเดินออกจากโรงแรมไปยังถนนไนท์บาซากัน เจอร้านอาหารสไตล์ฝรั่ง เลยจัดกันไปคนละจานใหญ่ๆ เบอร์เกอร์เนื้อที่กินคือแบบอร่อยสุด น่าจะเพราะหิวจัดด้วย กินหมดเลย ฮ่าๆๆ (ของเพื่อนเป็นไวท์ซอสเบาๆ)
อิ่มอืดหนังพุงบวมก็แบกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเดินกลับโรงแรมกัน แล้วก็หลับเป็นตายกันในทันที ไม่มีอาการไม่ชินถิ่นใดๆทั้งสิ้น ฮ่าๆๆๆ
อยากจะบอกว่าหลังจากวันแรกนี่แล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยจริงๆ
(รูปบางรูปก็เริ่มไปสิงในกล้องฟิล์มละ มือถือเริ่มไม่มีบทบาท)
เช้าวันถัดมา(10/11/2015) ก็ตื่นลงไปหม่ำอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้กันตามปกติ เสร็จก็เดินออกไปเจอตุ๊กตุ๊กจอดอยู่เลยขึ้นซะเลย มุ่งหน้าไปสวนสัตว์เชียงใหม่ตามที่ซื้อตั๋วโปรโมชั่นกันไว้ก่อนจะเที่ยวไหนต่อหรือไรค่อยว่ากัน (ก็กะจะอยู่แค่ช่วงเช้าแหละ) พอลงหน้าประตูสวนสัตว์เชียงใหม่ พี่คนขับตุ๊กตุ๊กเขาก็แนะนำว่าถ้าเดินขึ้นเนินนี่ไปหน่อยประมาณ300เมตรก็จะถึงทางเข้าน้ำตกห้วยแก้ว (พี่เขาเห็นฉันหิ้วกล้องมาด้วยก็เลยแนะนำ เหมือนว่า "น้ำตกสวยนะไปถ่ายรูปสิ" อะไรทำนองนั้น) งานนี้เราสองคนเลยตกลงกันว่าอยู่สวนสัตว์จนพอใจก็จะไปน้ำตกกันต่อ
สำหรับในสวนสัตว์ ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก จริงๆนะ ไม่มีเลย มันก็สวนสัตว์เชียงใหม่ตามปกติ ในเช้าวันเสาร์ที่คนยังไม่เยอะ มีทัวร์เด็กจากโรงเรียนกรุ๊ปนึง ครอบครัวเล็กๆเด็กสี่ห้าคนบ้าง มีฝรั่งประมาณสองครอบครัว หนุ่มสาวเป็นคู่อีกสองคู่ เป็นเช้าในสวนสัตว์ที่เหงาหงอย
ส่วนนี้ของสวนสัตว์เหมือนจะเพิ่งเปิด กลิ่นยังใหม่ๆอยู่ และขอแนะนำใครก็ตามที่จะไป(นี่จะเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรในนั้นมาเลยยกเว้นปลาในตู้ดังรูปด้านบน)
กรุณาไปในรอบที่คนเยอะๆหน่อยก็ดีนะ
คือเรากับเพื่อนเข้าไป...น่าจะเรียกว่าสองคู่แรกมั้ง คือแบบ...มันไม่มีคนเลยตลอดทาง มืดก็มืด เงียบก็เงียบ กลิ่นก็แปลกๆชวนอึดอัดตลอดทาง ประเด็นคือเงียบมากมืดมาก มีสวนนึงที่เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ฉันอยากจะถามว่าทำแมงมุมทารันทูล่ายักษ์แปะไว้ข้างฝาทำไมคะ! คือตกใจ คือผวา ฉันนึกว่าฉันป๊ะกับแมงมุมอาราก็อกของแฮกริดที่ถูกสตาฟไว้ (คือเพื่อนไม่ตกใจแมงมุมนะ เพื่อนตกใจฉันที่ฉันตกใจแมงมุม ฮ่าๆๆ)
สรุปแล้วเราสองคนก็เดินชมอควาเรียมกันด้วยเวลาที่รวดเร็วมาก เดินดูผ่านๆ เจอบางตู้น่าสนใจก็หยุดดูหน่อย แล้วก็รีบเดินต่อ โดยไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทาง ไอ้เราก็นึกว่าเรากลัวไปเองคนเดียวละเพื่อนเป็นคนเยือกเย็นไม่เกรงกลัวสิ่งใด เปล่าเลย ออกมาเจอบรรยากาศด้านนอกและแสงแดดต่างคนก็ต่างถอนหายใจ และหันมาพูดกันว่า "ข้างในแม่งน่ากลัวชิบหายเลยว่ะ"
...นี่ฉันเข้าอควาเรียมหรือบ้านผีสิงคะ ตอบ!
เสร็จจากอควาเรียมก็ไปเยี่ยมหมีแพนด้า เราวาดฝันว่าเราคงจะได้เห็นมันกำลังกิน กำลังขยับตัวทำอะไรสักอย่าง แต่ก็...อย่าหวังอะไรกับหมีผู้กินกับนอนเลย แรนด้อมมาเจอมันนอนเลยมั้ยละ หลับสบายกันเชียว ทั้งช่วงช่วงและหลินฮุ่ย พวกเรากะว่าไหนๆก็เข้ามาแล้ว ยืนรับแอร์เย็นๆกันไปก่อน แชะรูปเล็กน้อย ละค่อยกลับออกไป มีโมเม้นลุ้นกันทั้งโถงทางเดินเลยทีเดียว(มีเด็กนางนึงตะโกนเรียกแม่ "แม่ๆหมีขยับแล้ว!") เมื่อหลินฮุ่ยขยับ!! มันเดินตั้มเตี้ยมเหมือนจะลงมาจากหน้าผาของมัน แต่เปล่า มันไปทิ้งตัวลงที่ขอบผาและหลับต่อ(ตามรูปแถวสามด้านขวา) ฉันพยายามหาว่าเด็กนางนั้นเขาทำหน้ายังไงเมื่อเห็นมันนอนต่อแต่ไม่เจอ มีครอบครัวฝรั่งยืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน เหมือนว่าคุณพ่อแกพยายามจะถ่ายหมีขยับ แต่สุดท้ายมันนอน แม่ลูกเลยหัวเราะกันคิกคัก
ช่วงช่วงก็เหมือนกัน นอนบนแคร่ไม้ไผ่หันหน้าอยู่ดีๆ(ตามรูปแถวสามด้านซ้าย) จู่ๆมันก็ขยับ! พลิกตัวหันหลังให้...แหมะ น่ารักกันจริง
สุดท้ายพวกเราก็ออกมาจากดินแดนหมีแพนด้า แวะซื้อไอติมกันข้างหน้านิดนึง แล้วก็เห็นว่ากรงฝั่งตรงข้ามเป็นกรงสิงโตขาว (ถ้าสิงโตขาวไม่เรียกว่าสิงโตเผือกนะจ๊ะ เขาเรียกกัน White Lion เอกลักษณ์คือขนสีขาวทั้งตัว จมูกชมพู ตาสีฟ้าหรือสีเทาอ่อน) แล้วสิ่งนึงก็ทำฉันฉงน มีมนุษย์เด็กอยู่ในกรงสิงโต! เราสองคนข้ามถนนไปดู ปรากฎว่าเป็นเด็กเข้าไปกับพ่อที่เป็นคนดูแล และกำลังยืนเล่นอยู่กับฝูงลูกสิงโตขาว โคตรรรร น่ารักเลย (ถ่ายไม่ได้เลยด้วย กล้องเลนส์ธรรมดาไม่ซูม มือถือก็ไม่สามารถ ไกลเกิน) ดูความน่ารักจนพอใจ ก็เดินเลยไปกรงอื่น...ไม่เจออะไรเลย นอกจากสิงโตหนุ่มยืนคำรามอยู่ริมกรง(คำรามใส่กำแพงนะ คาดว่าคงเล่นกับเพื่อนที่อยู่ข้างใน)
จากนั้นก็...ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ แวะดูหมีโคอาล่าที่ส่วนมากก็นอน ไม่ก็ตื่นมากินแงบๆ แล้วก็ดูคุณอุรังอุตัง ท่าทางมันดูเบื่อโลกมาก มันอยู่ตัวเดียวในกรงด้วย น่าสงสารชะมัด พยายามคุยก็มองแล้วเมินใส่...โอเค ไปก็ได้ /แล้วก็เดินจากมาอย่างสงบ
ออกจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกห้วยแก้วที่พี่ตุ๊กตุ๊กเขาว่า เห็นเขาบอก300เมตร ก็ตัดสินใจเดินกัน และปรากฎว่ามันเป็น300เมตรแบบขึ้นเขาจ้ะ ถึงปลายทางคือหอบแฮกเลยทีเดียว ดีว่ามันไม่ไกลมากและอากาศก็เหมือนจะไม่ร้อนไม่เย็น กำลังดี เลยโอเคอยู่ (มีบ่นเล็กน้อยและหาน้ำกันอย่างหิวกระหายสุดๆ) จากทางเข้าต้องเดินต่อเข้าไปอีกราวๆ200เมตรได้มั้ง ถึงจะเห็นน้ำตกห้วยแก้วที่...ออกจะหดๆนิดๆ เหมือนไม่ใช่หน้าน้ำ เราสองคนพยายามปีนขึ้นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่รองเท้ากากๆจะสามารถ (คนนึงรองเท้าผ้าใบพื้นบางๆ อีกคนใส่แอ๊ดด้ายางสีเหลืองที่มันโฆษณาว่าไต่เขาได้...จ้ะ เกือบลื่นตกเขาเลย) เมื่อไม่สามารถไปต่อ รูปก็ถ่ายลำบากเพราะมีคนเยอะและมุมภาพไม่ค่อยเวิร์ค เลยถอยทัพกลับลงข้างล่างกัน เดินลงเขาผ่านทางเข้าสวนสัตว์ และเห็นว่าตรงหน้ามหาลัยเชียงใหม่ก็ดูจะไม่ไกลมาก เลยเดินลงกันเพื่อไปหาอะไรกิน (รวมๆแล้วที่เดินกันทั้งหมดน่าจะ กิโลกว่าๆเกือบสองกิโลได้)
เชื่อมั้ย ไม่เจออะไรที่ถูกใจเลย จนเดินผ่านหน้ามหาลัยมาราวๆสองป้ายรถเมล์(กรุงเทพ) ก็เจอร้านเล็กๆแต่งสวยฮิปสเตอร์กิ๊บเก๋ดีทีเดียว(ด้วยความหิว เหนื่อย และใกล้จะสลบกันอยู่แล้ว เลยไม่ได้ถ่ายรูป) จัดกันไปคนละจาน อิ่มหนำก็นั่งรถแดงกลับโรงแรมกัน (รถติดใช้ได้ทีเดียว ชมบรรยากาศเมืองไปเรื่อยสนุกดี) พอถึงโรงแรมก็ไม่ทำอะไร นอนจ้ะ เหนื่อยจ้ะ รอเวลาเย็นๆก็ออกไปเดินตลาดกลางคืนกัน
ก่อนจะได้ไปเดินตลาดกันจริงๆ อิฉันล้มจับกบไปป๊าบนึงตรงฟุตบาทแถวโรงแรม เท้าพลิกแล้วขาอีกข้างก้าวลงฟุตบาทไป อีกข้างก็คุกเข่าป๊าบใส่ฟุตบาทพอดี...หื้มม เลือดซิบไปเดินตลาด เก๋ไก๋!!
เดินผ่านแต่ละร้าน อาหารอินเดีย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น...คือไม่อยู่ในอารมณ์กินอะไรรสจัดและเป็นข้าวๆ เลยจัดแป้งกันไปอีกมื้อ อาหารฝรั่งจ้ะ (นี่ฉันมาเชียงใหม่ทำไม ฮ่าๆๆ) ด้วยความเหนื่อยมาทั้งวัน (เพราะเดินขึ้นลงเขารอบนั้นแหละ) น้ำอัดลมกับเบียร์กันไปซะเลยยยยย (ฟินมาก)
อิ่มอร่อยนั่งเม้ามอยนานจนโต๊ะข้างๆเปลี่ยนคนนั่งประมาณสองชุด (ฮ่าาา) ก็ถึงเวลาที่ต้องคิดเงิน ออกจากร้าน และไปเดินตลาดกันต่อ ซึ่งเป็นทริปช็อปปิ้งละงานนี้ ได้กันไปตามสมควร หมดเงินกันไปพอควรทีเดียว
ตบท้ายสิ่งที่ฟินที่สุดของวัน เมื่อเพื่อนใช้ห้องน้ำเสร็จ ฉันก็ยึดห้องน้ำและเปิดน้ำอุ่นลงแช่ไปเต็มๆตัวเกือบชั่วโมง อ๊าาาาา มันสบายจริงๆนะ หายเมื่อยสุดๆ กิจกรรมผ่อนคลายสุดท้าย ดีงามมากมาย
อิ่มอืดหนังพุงบวมก็แบกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเดินกลับโรงแรมกัน แล้วก็หลับเป็นตายกันในทันที ไม่มีอาการไม่ชินถิ่นใดๆทั้งสิ้น ฮ่าๆๆๆ
อยากจะบอกว่าหลังจากวันแรกนี่แล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยจริงๆ
(รูปบางรูปก็เริ่มไปสิงในกล้องฟิล์มละ มือถือเริ่มไม่มีบทบาท)
เช้าวันถัดมา(10/11/2015) ก็ตื่นลงไปหม่ำอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้กันตามปกติ เสร็จก็เดินออกไปเจอตุ๊กตุ๊กจอดอยู่เลยขึ้นซะเลย มุ่งหน้าไปสวนสัตว์เชียงใหม่ตามที่ซื้อตั๋วโปรโมชั่นกันไว้ก่อนจะเที่ยวไหนต่อหรือไรค่อยว่ากัน (ก็กะจะอยู่แค่ช่วงเช้าแหละ) พอลงหน้าประตูสวนสัตว์เชียงใหม่ พี่คนขับตุ๊กตุ๊กเขาก็แนะนำว่าถ้าเดินขึ้นเนินนี่ไปหน่อยประมาณ300เมตรก็จะถึงทางเข้าน้ำตกห้วยแก้ว (พี่เขาเห็นฉันหิ้วกล้องมาด้วยก็เลยแนะนำ เหมือนว่า "น้ำตกสวยนะไปถ่ายรูปสิ" อะไรทำนองนั้น) งานนี้เราสองคนเลยตกลงกันว่าอยู่สวนสัตว์จนพอใจก็จะไปน้ำตกกันต่อ
ไปด้วยตุ๊กตุ๊ก (เจ้าคันที่ว่าจอดอยู่หน้าโรงแรม และแนะนำเรื่องน้ำตกนั่นแหละ) |
ละก็กลับด้วยรถแดง (จริงๆคือนี่ถ่ายขาไปน่ะแหละ ถ่ายจากบนตุ๊กตุ๊ก) |
ส่วนนี้ของสวนสัตว์เหมือนจะเพิ่งเปิด กลิ่นยังใหม่ๆอยู่ และขอแนะนำใครก็ตามที่จะไป(นี่จะเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรในนั้นมาเลยยกเว้นปลาในตู้ดังรูปด้านบน)
กรุณาไปในรอบที่คนเยอะๆหน่อยก็ดีนะ
คือเรากับเพื่อนเข้าไป...น่าจะเรียกว่าสองคู่แรกมั้ง คือแบบ...มันไม่มีคนเลยตลอดทาง มืดก็มืด เงียบก็เงียบ กลิ่นก็แปลกๆชวนอึดอัดตลอดทาง ประเด็นคือเงียบมากมืดมาก มีสวนนึงที่เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ฉันอยากจะถามว่าทำแมงมุมทารันทูล่ายักษ์แปะไว้ข้างฝาทำไมคะ! คือตกใจ คือผวา ฉันนึกว่าฉันป๊ะกับแมงมุมอาราก็อกของแฮกริดที่ถูกสตาฟไว้ (คือเพื่อนไม่ตกใจแมงมุมนะ เพื่อนตกใจฉันที่ฉันตกใจแมงมุม ฮ่าๆๆ)
สรุปแล้วเราสองคนก็เดินชมอควาเรียมกันด้วยเวลาที่รวดเร็วมาก เดินดูผ่านๆ เจอบางตู้น่าสนใจก็หยุดดูหน่อย แล้วก็รีบเดินต่อ โดยไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทาง ไอ้เราก็นึกว่าเรากลัวไปเองคนเดียวละเพื่อนเป็นคนเยือกเย็นไม่เกรงกลัวสิ่งใด เปล่าเลย ออกมาเจอบรรยากาศด้านนอกและแสงแดดต่างคนก็ต่างถอนหายใจ และหันมาพูดกันว่า "ข้างในแม่งน่ากลัวชิบหายเลยว่ะ"
...นี่ฉันเข้าอควาเรียมหรือบ้านผีสิงคะ ตอบ!
เสร็จจากอควาเรียมก็ไปเยี่ยมหมีแพนด้า เราวาดฝันว่าเราคงจะได้เห็นมันกำลังกิน กำลังขยับตัวทำอะไรสักอย่าง แต่ก็...อย่าหวังอะไรกับหมีผู้กินกับนอนเลย แรนด้อมมาเจอมันนอนเลยมั้ยละ หลับสบายกันเชียว ทั้งช่วงช่วงและหลินฮุ่ย พวกเรากะว่าไหนๆก็เข้ามาแล้ว ยืนรับแอร์เย็นๆกันไปก่อน แชะรูปเล็กน้อย ละค่อยกลับออกไป มีโมเม้นลุ้นกันทั้งโถงทางเดินเลยทีเดียว(มีเด็กนางนึงตะโกนเรียกแม่ "แม่ๆหมีขยับแล้ว!") เมื่อหลินฮุ่ยขยับ!! มันเดินตั้มเตี้ยมเหมือนจะลงมาจากหน้าผาของมัน แต่เปล่า มันไปทิ้งตัวลงที่ขอบผาและหลับต่อ(ตามรูปแถวสามด้านขวา) ฉันพยายามหาว่าเด็กนางนั้นเขาทำหน้ายังไงเมื่อเห็นมันนอนต่อแต่ไม่เจอ มีครอบครัวฝรั่งยืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน เหมือนว่าคุณพ่อแกพยายามจะถ่ายหมีขยับ แต่สุดท้ายมันนอน แม่ลูกเลยหัวเราะกันคิกคัก
ช่วงช่วงก็เหมือนกัน นอนบนแคร่ไม้ไผ่หันหน้าอยู่ดีๆ(ตามรูปแถวสามด้านซ้าย) จู่ๆมันก็ขยับ! พลิกตัวหันหลังให้...แหมะ น่ารักกันจริง
สุดท้ายพวกเราก็ออกมาจากดินแดนหมีแพนด้า แวะซื้อไอติมกันข้างหน้านิดนึง แล้วก็เห็นว่ากรงฝั่งตรงข้ามเป็นกรงสิงโตขาว (ถ้าสิงโตขาวไม่เรียกว่าสิงโตเผือกนะจ๊ะ เขาเรียกกัน White Lion เอกลักษณ์คือขนสีขาวทั้งตัว จมูกชมพู ตาสีฟ้าหรือสีเทาอ่อน) แล้วสิ่งนึงก็ทำฉันฉงน มีมนุษย์เด็กอยู่ในกรงสิงโต! เราสองคนข้ามถนนไปดู ปรากฎว่าเป็นเด็กเข้าไปกับพ่อที่เป็นคนดูแล และกำลังยืนเล่นอยู่กับฝูงลูกสิงโตขาว โคตรรรร น่ารักเลย (ถ่ายไม่ได้เลยด้วย กล้องเลนส์ธรรมดาไม่ซูม มือถือก็ไม่สามารถ ไกลเกิน) ดูความน่ารักจนพอใจ ก็เดินเลยไปกรงอื่น...ไม่เจออะไรเลย นอกจากสิงโตหนุ่มยืนคำรามอยู่ริมกรง(คำรามใส่กำแพงนะ คาดว่าคงเล่นกับเพื่อนที่อยู่ข้างใน)
นี่คือ คุณอุรังอุตัง ที่ทำท่าเบื่อโลก ภาพจากไอโฟน กับภาพจากกล้องฟิล์มคนละฟิลลิ่งกันเลย อันนี่ดูเพิ่มดีกรีความเหงาขึ้นอีกระดับ |
ออกจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกห้วยแก้วที่พี่ตุ๊กตุ๊กเขาว่า เห็นเขาบอก300เมตร ก็ตัดสินใจเดินกัน และปรากฎว่ามันเป็น300เมตรแบบขึ้นเขาจ้ะ ถึงปลายทางคือหอบแฮกเลยทีเดียว ดีว่ามันไม่ไกลมากและอากาศก็เหมือนจะไม่ร้อนไม่เย็น กำลังดี เลยโอเคอยู่ (มีบ่นเล็กน้อยและหาน้ำกันอย่างหิวกระหายสุดๆ) จากทางเข้าต้องเดินต่อเข้าไปอีกราวๆ200เมตรได้มั้ง ถึงจะเห็นน้ำตกห้วยแก้วที่...ออกจะหดๆนิดๆ เหมือนไม่ใช่หน้าน้ำ เราสองคนพยายามปีนขึ้นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่รองเท้ากากๆจะสามารถ (คนนึงรองเท้าผ้าใบพื้นบางๆ อีกคนใส่แอ๊ดด้ายางสีเหลืองที่มันโฆษณาว่าไต่เขาได้...จ้ะ เกือบลื่นตกเขาเลย) เมื่อไม่สามารถไปต่อ รูปก็ถ่ายลำบากเพราะมีคนเยอะและมุมภาพไม่ค่อยเวิร์ค เลยถอยทัพกลับลงข้างล่างกัน เดินลงเขาผ่านทางเข้าสวนสัตว์ และเห็นว่าตรงหน้ามหาลัยเชียงใหม่ก็ดูจะไม่ไกลมาก เลยเดินลงกันเพื่อไปหาอะไรกิน (รวมๆแล้วที่เดินกันทั้งหมดน่าจะ กิโลกว่าๆเกือบสองกิโลได้)
และนี่คือน้ำตกกกกกกกกก...ห้ ว ย...แ ก้ ว... ช่างเล็กเสียเหลือเกิน /น้ำตาตกในเลยทีเดียว |
ด้วยความที่เห็นน้ำตกแล้วรู้สึกยอมใจ เลยถ่ายดอกไม้ข้างทางมันซะเลย |
เชื่อมั้ย ไม่เจออะไรที่ถูกใจเลย จนเดินผ่านหน้ามหาลัยมาราวๆสองป้ายรถเมล์(กรุงเทพ) ก็เจอร้านเล็กๆแต่งสวยฮิปสเตอร์กิ๊บเก๋ดีทีเดียว(ด้วยความหิว เหนื่อย และใกล้จะสลบกันอยู่แล้ว เลยไม่ได้ถ่ายรูป) จัดกันไปคนละจาน อิ่มหนำก็นั่งรถแดงกลับโรงแรมกัน (รถติดใช้ได้ทีเดียว ชมบรรยากาศเมืองไปเรื่อยสนุกดี) พอถึงโรงแรมก็ไม่ทำอะไร นอนจ้ะ เหนื่อยจ้ะ รอเวลาเย็นๆก็ออกไปเดินตลาดกลางคืนกัน
พิซซ่าแฮม-เนื้อ-ซาลามี่ / ซูปมะเขือเทศเข้มข้น / สลัดกุ้ง |
หลักฐานแผลซุ่มซ่าม นี่ถ่ายตอนวันรุ่งขึ้นน่ะนะ |
ก่อนจะได้ไปเดินตลาดกันจริงๆ อิฉันล้มจับกบไปป๊าบนึงตรงฟุตบาทแถวโรงแรม เท้าพลิกแล้วขาอีกข้างก้าวลงฟุตบาทไป อีกข้างก็คุกเข่าป๊าบใส่ฟุตบาทพอดี...หื้มม เลือดซิบไปเดินตลาด เก๋ไก๋!!
เดินผ่านแต่ละร้าน อาหารอินเดีย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น...คือไม่อยู่ในอารมณ์กินอะไรรสจัดและเป็นข้าวๆ เลยจัดแป้งกันไปอีกมื้อ อาหารฝรั่งจ้ะ (นี่ฉันมาเชียงใหม่ทำไม ฮ่าๆๆ) ด้วยความเหนื่อยมาทั้งวัน (เพราะเดินขึ้นลงเขารอบนั้นแหละ) น้ำอัดลมกับเบียร์กันไปซะเลยยยยย (ฟินมาก)
อิ่มอร่อยนั่งเม้ามอยนานจนโต๊ะข้างๆเปลี่ยนคนนั่งประมาณสองชุด (ฮ่าาา) ก็ถึงเวลาที่ต้องคิดเงิน ออกจากร้าน และไปเดินตลาดกันต่อ ซึ่งเป็นทริปช็อปปิ้งละงานนี้ ได้กันไปตามสมควร หมดเงินกันไปพอควรทีเดียว
ตบท้ายสิ่งที่ฟินที่สุดของวัน เมื่อเพื่อนใช้ห้องน้ำเสร็จ ฉันก็ยึดห้องน้ำและเปิดน้ำอุ่นลงแช่ไปเต็มๆตัวเกือบชั่วโมง อ๊าาาาา มันสบายจริงๆนะ หายเมื่อยสุดๆ กิจกรรมผ่อนคลายสุดท้าย ดีงามมากมาย
11/10/2015 เช้าวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย เนื่องจากกะวางตัวให้ว่างงงง เพื่อพิมพ์งานส่งแบบสบายๆไม่มีกังวล สถานที่พิมพ์งานดีๆ ซึ่งหลังกินข้าวเช้าของโรงแรมเรียบร้อยก็กลับขึ้นมากลิ้งบนห้อง ฉันนั่งทำงาน เพื่อนนอนอ่านหนังสือ พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์พวกเราก็ไปนั่งร้านกาแฟแสนโหลโลโก้สีเขียวที่เห็นได้ทุกทีไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน
คือมันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ฝนตกด้วย (ตกหนักไปแล้วตอนกำลังกินข้าวเช้า) ฝนพรำเบาๆแบบเดินไม่เปียกแต่หนาวจับจิตสุดๆ ลมก็พัดแรงพอควร พวกเราเดินแบกกระเป๋าใหญ่โตฝาเช้าชื่นแฉะไปร้านกาแฟอุ่นๆ แล้วก็หมกตัวอยู่นั่นตั้งแต่เที่ยงที่เช็คเอ้าท์ ยันบ่ายเกือบเย็น กินกาแฟจนละลายแล้วละลายอีก จนพนักงานเดินมาชวนให้ไปทำกิจกรรมชิมกาแฟกับเขา (เพื่อเอาเครื่องดื่มฟรี ที่จริงๆเขาให้แก้วเดียว แต่เราต่อรองจนได้สองแก้ว เลยจัดชาเขียวไปคนละแก้ว) พนักงานน่ารักดีนะ คุยกันแบบเป็นกันเองสุดๆ ฉันยืนรอกาแฟแบบง่วงๆตอนแรก จู่ๆเขาก็ถามว่า คุณลูกค้าทานข้าวหรือยังครับ? ...ฉันที่กำลังมึนก็ได้แต่พยักหน้าและตอบค่ะๆ (มันคือมื้อเช้าแบบสายๆราวๆ 9-10โมง นี่แหละ ยังย่อยไม่หมด)
ถอนรากที่งอกใส่ร้านกาแฟเขาเรียบร้อย ก็โบกรถแดงตรงไปสนามบินกันโลด ไฟลท์พวกเราคือ1ทุ่ม แต่เราไปถึงกันราวๆ 4โมงเกือบ5โมง ก็เพื่อกินข้าวกันก่อน ลงเอยกันที่เบอร์เกอร์คิงอย่างไม่ต้องคิดอะไร เนื่องจากในเมืองตรงร้านสตาร์บัคนั่นแหละ ฝั่งตรงข้ามมันคือเบอร์เกอร์คิง เห็นละอยากกิน เลยตกลงกินกันที่สนามบินแบบไม่มองร้านอื่น (จริงๆก็เดินหานิดนึงว่าอะไรอยู่ตรงไหนและจะกินอะไรกันดี)
นั่งแช่รากงอกในร้านเบอร์เกอร์กันไปอีกสักรอบ แล้วก็ตัดสินใจเด้งตัวออกไปเช็คอินและซื้อของฝากกันตอนราวๆ6โมงนิดๆ(เอาแบบเวลาเหลือไม่กลัวตกเครื่องแน่ๆ) เดินผ่านเกทไปนั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง(นานพอควรแต่ก็นั่งเล่นมือถือรอได้สบายๆ ไม่ถึงขั้นต้องหยิบหนังสือมาอ่าน)
ประสบการณ์นั่งเครื่องบินครั้งที่สองในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น! ตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่ารถไฟตอนขามา ที่น่าขันยิ่งว่านั้นคือ นั่งรถไฟมา13ชั่วโมงโดยประมาณ นั่งเครื่องบินกลับ45นาทีถึงกรุงเทพ!! (นี่นักบินเป็นคนขับสาย8เก่าป่ะคะ ซิงพอดูเลย ฮ่าๆๆ) แอร์มีประกาศด้วยนะว่า "เดินทางถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนด10นาทีค่ะ" ...เยี่ยม เร็วดีแท้ ฟังเพลงยังไม่จบอัลบั้มเบย
และเป้าหมายที่ต้องการก็สำเร็จในขากลับนี่แล ดังที่ต้องย้อนกลับไปช่วงแรกๆที่กล่าวว่า
"อยากมีอารมณ์แบบหิ้วกระเป๋าเข้าเกท ขึ้นเครื่องบินบ้างอะไรบ้างแฮะ"
นี่ไง สมใจเลย
สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็สำเร็จตามที่พวกเราทั้งสองต้องการ
อยากนั่งรถไฟไทยนานๆ เช็ค! [/]
อยากพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ เช็ค! [/]
อยากมีโมเม้นแบกกระเป๋าขึ้นเครื่อง เดินทางไปไหนบ้าง เช็ค! [/]
ครบ!!!
นับว่าเป็นทริปสไตล์คนขี้เกียจ ที่ประสบความสำเร็จ กิจกรรมไม่เอา พักผ่อนเบาสมองกันอย่างเดียว
ใครคิดว่า สโลว์ไลฟ์ เป็นยังไงไม่รู้นะ แต่นี่แหละสโลว์ไลฟ์ของเรา :)
จบ ทริป: เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์" จ้ะ
คือมันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ฝนตกด้วย (ตกหนักไปแล้วตอนกำลังกินข้าวเช้า) ฝนพรำเบาๆแบบเดินไม่เปียกแต่หนาวจับจิตสุดๆ ลมก็พัดแรงพอควร พวกเราเดินแบกกระเป๋าใหญ่โตฝาเช้าชื่นแฉะไปร้านกาแฟอุ่นๆ แล้วก็หมกตัวอยู่นั่นตั้งแต่เที่ยงที่เช็คเอ้าท์ ยันบ่ายเกือบเย็น กินกาแฟจนละลายแล้วละลายอีก จนพนักงานเดินมาชวนให้ไปทำกิจกรรมชิมกาแฟกับเขา (เพื่อเอาเครื่องดื่มฟรี ที่จริงๆเขาให้แก้วเดียว แต่เราต่อรองจนได้สองแก้ว เลยจัดชาเขียวไปคนละแก้ว) พนักงานน่ารักดีนะ คุยกันแบบเป็นกันเองสุดๆ ฉันยืนรอกาแฟแบบง่วงๆตอนแรก จู่ๆเขาก็ถามว่า คุณลูกค้าทานข้าวหรือยังครับ? ...ฉันที่กำลังมึนก็ได้แต่พยักหน้าและตอบค่ะๆ (มันคือมื้อเช้าแบบสายๆราวๆ 9-10โมง นี่แหละ ยังย่อยไม่หมด)
ถอนรากที่งอกใส่ร้านกาแฟเขาเรียบร้อย ก็โบกรถแดงตรงไปสนามบินกันโลด ไฟลท์พวกเราคือ1ทุ่ม แต่เราไปถึงกันราวๆ 4โมงเกือบ5โมง ก็เพื่อกินข้าวกันก่อน ลงเอยกันที่เบอร์เกอร์คิงอย่างไม่ต้องคิดอะไร เนื่องจากในเมืองตรงร้านสตาร์บัคนั่นแหละ ฝั่งตรงข้ามมันคือเบอร์เกอร์คิง เห็นละอยากกิน เลยตกลงกินกันที่สนามบินแบบไม่มองร้านอื่น (จริงๆก็เดินหานิดนึงว่าอะไรอยู่ตรงไหนและจะกินอะไรกันดี)
นั่งแช่รากงอกในร้านเบอร์เกอร์กันไปอีกสักรอบ แล้วก็ตัดสินใจเด้งตัวออกไปเช็คอินและซื้อของฝากกันตอนราวๆ6โมงนิดๆ(เอาแบบเวลาเหลือไม่กลัวตกเครื่องแน่ๆ) เดินผ่านเกทไปนั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง(นานพอควรแต่ก็นั่งเล่นมือถือรอได้สบายๆ ไม่ถึงขั้นต้องหยิบหนังสือมาอ่าน)
ประสบการณ์นั่งเครื่องบินครั้งที่สองในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น! ตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่ารถไฟตอนขามา ที่น่าขันยิ่งว่านั้นคือ นั่งรถไฟมา13ชั่วโมงโดยประมาณ นั่งเครื่องบินกลับ45นาทีถึงกรุงเทพ!! (นี่นักบินเป็นคนขับสาย8เก่าป่ะคะ ซิงพอดูเลย ฮ่าๆๆ) แอร์มีประกาศด้วยนะว่า "เดินทางถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนด10นาทีค่ะ" ...เยี่ยม เร็วดีแท้ ฟังเพลงยังไม่จบอัลบั้มเบย
และเป้าหมายที่ต้องการก็สำเร็จในขากลับนี่แล ดังที่ต้องย้อนกลับไปช่วงแรกๆที่กล่าวว่า
"อยากมีอารมณ์แบบหิ้วกระเป๋าเข้าเกท ขึ้นเครื่องบินบ้างอะไรบ้างแฮะ"
นี่ไง สมใจเลย
สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็สำเร็จตามที่พวกเราทั้งสองต้องการ
อยากนั่งรถไฟไทยนานๆ เช็ค! [/]
อยากพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ เช็ค! [/]
อยากมีโมเม้นแบกกระเป๋าขึ้นเครื่อง เดินทางไปไหนบ้าง เช็ค! [/]
ครบ!!!
ใครคิดว่า สโลว์ไลฟ์ เป็นยังไงไม่รู้นะ แต่นี่แหละสโลว์ไลฟ์ของเรา :)
จบ ทริป: เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์" จ้ะ
เซลฟี่ซีลูเอท ฟ้าสวยมาก /อยากให้เห็นฟ้าไม่ใช่คน |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)