*สปอยเน้นๆ*
The Cobbler (2014)
Directed by Thomas McCarthy
Cast: Adam Sandler, Steve Buscemi, Ellen Barkin, Dan Stevens, Method Man and Dustin Hoffman
Max Simdin ช่างซ่อมรองเท้ามือเก๋าในนิวยอร์ก ชีวิตแสนน่าเบื่อและเรื่อยเปื่อยไปในแต่ละวันต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาพบว่าเครื่องเย็บรองเท้ารุ่นดึกที่พ่อทิ้งไว้ดันมีเวทมนต์! เมื่อเขาใส่รองเท้าที่เย็บโดยเครื่องนี้ เขาจะแปลงร่างกายเป็นเจ้าของรองเท้า เขาสามารถเป็นใครก็ได้และไปไหนก็ได้โดยไม่มีใครสงสัย
การสวมรอยเป็นคนอื่นและออกไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จึงเริ่มขึ้น
แค่เห็นหนัง Adam Sandler ก็เกือบจะไม่หยิบมาดูแล้วนะ หลังๆหนังเฮียแกไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ (ใครเป็นแฟนหนังเฮียก็ขออภัยนะคะ)
แต่เรื่องนี้เฮียแกไม่ได้สร้างน่ะสิ แถมคาแร็กเตอร์ยังไม่งี่เง่าด้วย เออนะ ลองดูซะหน่อย
แล้วก็ไม่ผิดหวัง หนังน่ารักทีเดียว เพ้อฝันเซอร์เรียลนิดๆ Heroicหน่อยๆ เน้นหนักความสัมพันธ์ครอบครัวทำนอง พ่อ-ลูก ...แถมยังให้อารมณ์เมืองนิวยอร์กได้อบอุ่นดี เกือบบบบ จะเหมือนอารมณ์ในหนัง Manhattan (1979, Woody Allen) ละ อีกนิ๊ดดด เดียว คือมันไม่ใช่หนังโรแมนติกน่ะ เลยไม่ได้ให้บรรยากาศชวนฝันของมหานครใหญ่ขนาดนั้น
แต่มันดูอบอุ่นแบบคนอยู่อาศัยมาเป็นชั่วอายุคนประมาณนึง ความขลังแบบแปลกๆของร้านทำรองเท้า หรือร้านตัดผมข้างๆ ดูอย่างกะย้อนไปหนังยุค70-80 ที่ไม่ได้เป็นขาวดำ(และเสื้อผ้าสมัยใหม่หน่อย) อย่างไรก็ดี มันนิวย๊อกกก นิวยอร์ก แบบสุดๆ (ที่พูดเนี่ยไม่รู้หรอกนะว่าบรรยากาศนิวยอร์กเป็นไง เทียบกับหนังเรื่องอื่นๆเอาน่ะ)
ซึ่งคิดๆดูแล้ว ไม่รู้จะหาได้ยังไงมุมสงบเรียบง่ายในเมืองใหญ่ขนาดนี้ (มันมีจริงๆมะ? อันนี้ไม่รู้) ขนาดกรุงเทพ...รู้นะว่าเทียบกันไม่ได้ แต่แค่นี้ยังหาความสงบลำบากเลย ชีวิตนิ่งๆ ในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลเนี่ยนะ? ชวนฝันได้อีก~
หนังเกือบจะเรียกว่าเงียบ เพลงประกอบไม่เด่น แต่มีส่วนให้ความเพลิดเพลินในแต่ละซีนแบบไม่รู้ตัว ทำนองเหมือนหนังตลกที่ใส่เพลงประกอบมาให้เห็นถึงความวุ่นวายที่ตัวละครกำลังทำ อะไรแบบนั้น
ภาพถือว่าสวยนะจะว่าไปแล้ว สวยแบบเมืองๆ ซีนสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนร่าง ก็ไม่หวือหวาด้วยเทคนิคประหลาดๆแต่เล่นมุมกล้องเอา เรียบง่ายดี
บทคือดีงาม เล่าเรื่องเร็วไม่ยืดเยื้อ พาเราไหลลื่นไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ แต่ไม่ทิ้งให้เคว้งจนเกินไปว่านี่เรื่องมันจะไปทางไหนเนี่ยย อะไรทำนองนั้น และการเดาเรื่องคือทำได้ยากมาก กว่าจะพอเดาได้คืออีก10วิหนังจะเฉลยแล้ว ฉากซึ้งระหว่างพ่อลูก/สามีภรรยาคือดี ตลกบ้างพอขำขัน อมยิ้มเบาๆ
เรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึง ระดับไหนกันแล้วล่ะคนพวกนี้ ยิ่งแต่ละซีนที่ Dustin Hoffman ออกมาคือขนลุกนะ ลุงแกยังเจ๋งอยู่จริงๆ ยิ่งรับบทเป็นพ่อผู้ดูแลลูกอยู่ห่างๆคือดีงามมากกก
สำหรับ Adam Sandler เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้น่าหงุดหงิด คาแร็กเตอร์เหมาะกับเฮียแกดี แทบจะเรียกว่าชอบบทนี้เลยแหละ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ที่น่าประหลาดใจคือทิศทางจบของหนังน่ะสิ
(เอาละ สปอยละนะ เน้นๆเลยตรงนี้)
มันให้อารมณ์ดีๆเหมือนเดิมนะ ยังคงอบอุ่นแบบเมืองๆ จบน่ารักด้วยซ้ำ
แต่จากหนังเวทมนต์รองเท้าวิเศษ ความสัมพันธ์ครอบครัว มันกลายเป็นฮีโร่ย่านชุมชนไปได้!
คือมันเป็นผลพลอยได้ของการสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนหน้าไง แกจะเป็นใครก็ได้ทำอะไรก็ได้ถูกมั้ย
จะปล้นคนรวยเลวๆเพื่อเอามาให้คนที่ถูกกระทำ(เอานาฬิกาเรือนแพงระยับของสามีไปให้ภรรยาที่โดนซ้อม เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่)
การคลี่คลายปัญหาชุมชน เพื่อช่วยคนที่ไม่มีทางสู้(คนแก่โดนมาเฟียธุรกิจไล่ที่)
หรือจะเพื่อเอาใจสาว(สาวทำงานเพื่อสังคม คอยปกป้องคนแก่ที่โดนไล่ที่)
รองเท้าได้กลายเป็นหน้ากากซุปเปอร์ฮีโร่ไปแล้วจ้า ...เออนะ เข้าท่าดี
ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นคือการปิดเรื่องราวทั้งหมดแบบ...เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังเบื้องลึกมากกว่าแค่ รองเท้าวิเศษที่ตกทอดรุ่นสู่รุ่น มันมาเป็นชุมชนคอมมูนิตี้เลยนะแก ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนี้ที่ทำได้ไรแบบนั้น
แฟนซี เซอร์เรียล ฝุดๆ ไปเล๊ย
7/10 ละกันนะ
อย่างที่เห็นบ่อยๆ บ่นชอบๆๆ ชมๆๆ (ซึ่งการให้คะแนนไร้ซึ่งมาตราฐานสากลโดยสิ้นเชิง)
แต่ไม่พีคอ่ะค่ะ แถมลงท้ายเปลี่ยนแนวหนังด้วย(แม้จะแปลกดีแต่มันขัดมูดน่ะ)
ก็บ่นพึมพำ-งึมงำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็ดูหนังแล้วอยากบ่น ไปเที่ยวบ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ =/\=
วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558
ดูแล้วบ่น: Song One (2014)
Song One (2014)
Directed By: Kate Barker-Froyland
Cast: Anne Hathaway, Johnny Flynn, Mary Steenburgen and Ben Rosenfield
เรื่องเริ่มที่ เฮนรี่ น้องชายของ แฟรนนี่ ถูกรถชนและอยู่ในอาการโคม่า แฟรนนี่ต้องเดินทางกลับนิวยอร์กเพื่ออยู่เคียงข้างน้องชายที่ขาดการติดต่อมานาน การกลับมาครั้งนี้ทำให้เธอได้เรียนรู้เรื่องราวของเขาผ่านเสียงดนตรีที่เฮนรี่รัก
และทุกอย่างก็พาให้เธอได้พบกับ เจมส์ ศิลปินอินดี้ผู้เป็นแรงบันดาลใจของเฮนรี่
เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อน ดูง่าย เรื่อยๆ แอบง่วงนิดๆ แต่ก็ชอบนะ น่ารักดี เป็นหนังเพลงสไตล์อินดี้ที่โอเคเลย ตอนแรกนึกว่าจะถึงขั้นดูไม่ไหวซะอีก โดยส่วนตัวชอบมากกว่า Begin Again อีกน่ะ
เหมาะแก่การดูเรื่อยยย เปื่อยยย ไม่คิดอะไรจริงๆ
แต่ด้วยความง่ายของมันนี่แหละที่ทำให้น่าเสียดาย มันดูหลวมๆยังไงชอบกล เหมือนนั่งดูตัวละครจากเอ็มวีที่ไม่มีพื้นเพอะไรให้เข้าใจ มันเจอกันมันรักกันมันแยกจากกัน(อ้าวสปอย!) เหมือนเรื่องจะดำเนินอยู่เฉพาะช่วงเวลาที่เฮนรี่หลับไป แล้วพอมันตื่นทุกอย่างก็จบ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับไอดอลก็น่าจะจบด้วยนะ ไม่น่าจะลงเอยกันได้ดี (ฉันเลือกที่จะคิดว่ามันแยกกันไปดำเนินชีวิต ต่างคนต่างไป)
และการพบกันของหนุ่มสาวคู่นี้ นอกจากจะดูเป็นการเยียวยาช่วงเวลาทุกข์ยากกับผู้หญิงแล้ว
มันยังเหมือน แฟรนนี่กับเจมส์จะเป็นแค่ "เรื่องราว" ในเพลงของเฮนรี่ ซึ่งกำลัง "ฝัน" ให้เราเห็น หรืออะไรประมาณนั้น อย่างกับความคิดในหัวของพวกนักแต่งเพลงประมาณนั้นอ่ะ (ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นไง แต่ดูแล้วมันคิดแบบนี้)
พอมันตื่นเราก็ตื่น
ตื่นจากฝันที่มีเพลงฟุ้งๆ เสียงบรรยากาศนิวยอร์ก ฉากนิวยอร์กมืดๆความสวยงามของแสงไฟยามค่ำของมหานครใหญ่
เพื่อกลับไปใช้ชีวิตช่วงกลางวัน ที่ไม่มีเพลง เสียงบรรยากาศไม่ได้น่ารื่นรมย์ แสงสียามค่ำคืนก็ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น แน่นอนว่าไม่มีฝันไหนที่เราจะแฮปปี้เอนดิ้งเสมอไปถูกมั้ย? งั้นจบแบบนั้นก็สมบูรณ์ดีแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เห็นด้วยกับการจบแบบนี้นะ เข้าท่าทีเดียว
...ฉันบ่นอะไร ฮ่าๆๆๆ
น่าสงสารสำหรับ Song One ที่ไม่ดังซะงั้น ไปดูรายได้ของหนังแล้วต้องร้อง "โถ่ๆ" ดังๆ ฮ่าๆๆ
หนังทุนสร้าง6ล้านเหรียญ แต่เก็บรายได้ไป2หมื่นเหรียญเองงงงง TTwTT /เสียใจแทนจีจี
เรื่องการแสดงของดาราในหนังไม่ต้องพูดถึง เยี่ยมยอดทุกคน
ภาพสวยแบบฟุ้งๆ เบลอๆ มืดๆ มีโบเก้เยอะๆ(ดวงไฟเบลอที่แบล็กกราวน์น่ะ)
บทดีงามในระดับนึง นั่นรวมถึงเนื้อเพลงที่กินใจกับเนื้อเรื่องได้ดี เหมาะกับความเป็นหนังเพลง โดยเฉพาะเพลงแนวนี้
จากทั้งมวลที่บ่นมา ถึงจะชอบ
แต่ก็ให้ได้แค่...
6/10
เนื่องจากหนังทำให้ง่วง 6ที่ให้นี่คือเทให้เพลงและเจ๊แอนล้วนๆ (ลำเอียงโคตรๆฮ่าๆๆ)
แถมเพลงโปรดในหนังซะหน่อย
"In April"
Song One, Original Motion Picture Soundtrack
music by Jenny Lewis & Johnathan Rice
performed by Johnny Flynn
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)