วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: Stoker (2013)

*คำเตือน: บทความนี้บ่นเรื่อยเปื่อยอย่างหาสาระไม่ค่อยได้ อยากเขียนก็เพลินมือจนบางทีก็ไม่รู้เรื่อง...เอ๊ะ*

Stoker (2013)
Directed by Park Chan-Wook
Cast: Mia Wasikowska, Matthew Goode and Nicole Kidman

เรื่องราวของครอบครัว Stoker ที่เพิ่งจะเสียเสาหลักของบ้านไป India วัย 18 ปี เลยต้องอยู่กับแม่ของเธอเพียงลำพัง (ก็ไม่เชิง คนใช้แทบจะเต็มบ้าน) ในงานศพนั้นเองที่น้องชายพ่ออย่าง Charles ปรากฎตัวมาเพื่อขออยู่ด้วยสักระยะ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรถ้าน้องชายพ่อจะมาอยู่ด้วย แต่บางอย่างในพฤติกรรมของเขาต่างหากที่ดูน่าฉงน

เรื่องย่อมันมีเท่านี้แหละ จริงๆนะ ฮ่าๆๆ
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่หรอก ถ้าคิดจะดูเพื่อความสนุก บันเทิง รื่นเริงใจละก็
ข้ามเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะ Stoker เป็นหนังเขย่าขวัญ จิตวิทยา ที่ภาพสวยสดงดงามอย่างที่สุด

แค่เปิดเรื่องมาก็เป็นความตายของพ่อนางเอกซะแล้ว อาจจะดูธรรมดาสินะ(หลายๆเรื่องไม่พ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายของตัวเองก็ต้องตายแหละ) แต่การจากไปของพ่อนาง มันดันเป็นการต้อนรับบทเรียนใหม่จากน้องชายพ่อเธอเสียเอง

ที่บอกว่าบทเรียนใหม่ เพราะสาวน้อย India อยู่ในช่วง "รอยต่อระหว่างวัย" อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงนี้ มันจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการต่อเติมอนาคตของเธอ พ่ออย่าง Richard สอนลูกเขาทุกอย่างโดยไม่สนว่าลูกเขาจะเป็นผู้หญิงตัวน้อยๆ มองอีกมุมนึง เหมือนเขาพยายามเติมเต็มช่องว่างที่หายไปในวัยรุ่นของเขาเอง ที่น้องชายตัวน้อยต้องตายไปอย่างน่าเศร้า ลูกสาวเขาจึงเป็นเหมือนตัวแทนเสียมากกว่า อย่างไรก็ดี India ก็โตมาเป็นสาวน้อยผู้น่ารักแต่มีนิสัยแปลกประหลาดในด้านการมองโลกที่ไม่เหมือนใคร

อย่างที่บอกว่าพอพ่อตาย น้องพ่อก็มาสานต่อบทเรียนในโลกของผู้ใหญ่ให้เธอ โลกที่ความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กจะปะทุเป็นพฤติกรรมของแต่ละคน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวน้อยทั้งหลายอยากรู้ในเรื่องแบบไหน จะบอกว่าโชคร้ายหรือดีก็ไม่รู้ ที่ India หมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งที่พ่อเธอสอน ถ้าเธอไม่เจอกับ Charles เป็นไปได้ว่าเธออาจจะโตมาเป็นเด็กสาวธรรมดา แต่มันไม่ใช่น่ะสิ...

Charles เปิดโลกใหม่ให้เธอเห็น นั่นคือ "ด้านมืดของมนุษย์" ที่ดูเหมือนว่า India จะพอใจมันเสียด้วย เธอไม่เห็นว่ามันผิด ไม่เห็นว่ามันไม่ควร กลับกันมันดันกลายเป็นเรื่องน่าเร้าใจ ที่สำคัญคือมันเป็นหนทางแสนง่ายดาย ในการได้ทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ใครก็ขวางเธอไม่ได้ แล้วยิ่งบวกกับความหลงไหลในการล่าสัตว์ โลกเล็กๆที่ต้องเงียบ ตั้งใจฟังเสียงรอบข้าง เมื่อทุกอย่างนิ่งสนิทและพร้อมลงมือ ทุกอย่างที่ทำก็เพียงแค่เหนียวไก เสียงกระดูกลั่น เลือดสีแดงที่สาดไปทั่ว ...แหม น่าหลงไหลเหลือเกิน

งานภาพที่ว่างดงามนั้น มันงามจริงๆนะ ในด้านการสะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์น่ะ มันยากที่จะเข้าใจว่าทำไมคนแบบนี้ถึงคิดและทำอะไรต่างๆ แต่ภาพและเสียงที่สื่อออกมามันโดดเด่นจนคำถามในหัวมันได้รับคำตอบด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องนั่งคิดให้ปวดหัวว่า แต่ละภาพมันคืออะไร

อย่างไรก็ดี ฝีมือของ Park Chan-Wook คงไม่ต้องพูดถึงในเรื่องนี้อยู่แล้วแหละนะ
ที่น่าขำขันที่สุดคือ เจ๊ Kidman มาทำอะไร บทนางเล็กมาก ความสำคัญแทบจะหาไม่ได้ เพราะถ้าจะบอกว่า India ปกป้องแม่ ก็ไม่ใช่ เพราะผลพลอยได้ในการฆ่านั้นคือ อิสระภาพของเธอเอง
Mia Wasikowska สลัดภาพสาวน้อยได้อย่างน่าชื่นชมในทุกซีน

สรุปแล้ว รวมๆคือ 8/10
ยอมรับว่าเกือบถอดใจที่จะดู
เรื่องชวนน่าติดตามก็จริง แต่ไม่ตลอดเสียทีเดียว มันน่าเร้าใจเป็นพักๆ แต่ก็เหมาะกับสไตล์หนังดี
ดูจบแล้วต้องเบะปากในความสวยงามของซีนจบ

ขอบคุณภาพจาก: http://half-decent.com/wp-content/uploads/2013/06/STOKER_One_Sheet_SMALLER.jpg

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: The Homesman (2014)

The Homesman (2014)
กำกับโดย Tommy Lee Jones
นำแสดงโดย Tommy Lee Jones, Hilary Swank, Grace Gummer, Miranda Otto และ Sonja Richter

สาวแกร่งจากนิวยอร์คย้ายมาอาศัยอยู่ในเนบราสก้าเพียงลำพัง เธอทำทุกอย่างเองเพียงลำพัง พื้นหลังของเธอก็ดูธรรมดาถ้าจะพูดถึงสาวในยุคปัจจุบัน แต่ลองนึกสภาพเธอในยุคคาวบอยสิ! แผ่นดินแห้งแร้ง มีแต่ฝุ่นทรายเต็มเมือง และทุกสิ่งปลูกสร้างอยู่ห่างไกลกันเป็นไมล์ ไปมาหาสู่กันด้วยม้าก็น่าจะดี ลองเดินเท้าดูดิ...คงไม่ไหวหรอกนะ

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อมี สาวเสียสติ 3 คน ที่สามีของพวกเธอไม่สามารถทนความบ้าของพวกเธอได้อีกต่อไป ทุกคนต่างลงความเห็นกันว่าต้องหาบ้านใหม่ให้ผู้หญิงพวกนี้ ซึ่งต้องเดินทางไปถึงไอโอวา เพื่อพาสามสาวเสียสติไปบ้านใหม่ ที่นี่ก็ถึงคราวสาวแกร่งอาสาทำประโยชน์ เธอยอมทิ้งชีวิตอันเงียบสงบเพื่อพาสาวๆพวกนี้ไปอยู่ในที่ที่สบายกว่า

ระหว่างกำลังเตรียมตัวเดินทางไกล เธอก็ไปพบกับอดีตทหารเก่านายนึง อยู่บนหลังม้าและโดนแขวนคอไว้กับต้นไม้ เธอช่วยเขาไว้โดยมีข้อแม้ว่า เขาต้องพาเธอไปไอโอวาอย่างปลอดภัย เธอไม่สามารถทำภารกิจนี้คนเดียวได้แน่ๆ ถ้าไม่ให้ใครสักคนช่วย และเขาก็จำเป็นต้องช่วยด้วยเพราะเป็นหนี้ชีวิตเธอ
การเดินทางจาก เนบราสก้า ไป ไอโอวา ของ สามสาวเสียสติ หนึ่งสาวแกร่ง และ คนแก่นิสัยแปลกอีกหนึ่งจึงเริ่มขึ้น ระหว่างทางอุปสรรคทุกรูปแบบเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งหมด

หนังน่าสนใจมากตั้งแต่เห็นโฆษณาแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะเป็นหนังของป๋าโจนส์ แต่เนื้อเรื่องมันน่าติดตาม อย่างแปลกๆ ปกติไม่ชอบหนังแนวนี้หรอกนะ แต่เรื่องนี้มันน่าดึงดูดจริงๆ 

พอได้ดูก็ละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจของเราคือเรื่องราวของแต่ละตัวละคร ที่มันจะค่อยๆเผยทีละนิด แต่ไม่ทั้งหมด สิ่งที่เปิดเผยที่สุดคือความเลวร้ายในชีวิตของสาวเสียสติทั้งสามคน ส่วนตัวนำสองตัว ไม่ได้เผยอะไรมากนอกจากบทสนทนาที่ทั้งคู่จะเปิดเผยกันและกัน
ง่ายๆก็คือ เราจะรู้เท่าที่ตัวละครมันเปิดปากพูดนั่นแหละ และคนที่พูดมากที่สุดก็คือ Mary Bee Cuddy ที่แสดงโดย Hilary Swank นี่เอง สาวแกร่งแห่งนิวยอร์คซิตี้ที่ปลีกตัวมาอยู่คนเดียว ด้วยสาเหตุบางอย่างที่เธอก็ไม่ได้สารภาพออกมาชัดเจน

คนที่เราไม่รู้เบื้องหลังอะไรเลยก็คือตัว George Briggs ชายแก่นิสัยแปลกที่แสดงโดย Tommy Lee Jones ถึงเขาจะเปิดเผยว่าชื่ออะไร เคยเป็นอะไร แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้เราไม่เชื่อว่าที่พูดมาน่ะคือความจริง ผิดกับ คุณนายCuddy ที่ระบายทุกอย่างจากใจให้เขาฟัง ให้เราฟัง

หลังจากดูจบแล้วมานั่งคิด ก็นึกได้ว่า...จริงๆแล้วเราไม่ได้รู้เรื่องราวของตัวละครอะไรมากมายเลยนี่หว่า นอกจากปัญหาชีวิตของแต่ละคน ซึ่งมันไม่ได้ตื่นเต้นหวือหวา เพราะจริงๆแล้วมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ความผิดหวัง ความตาย การสูญเสีย การข่มขืน ข่มเหง เหยียดเพศ และการยอมรับ อันหลังดูเป็นสิ่งสำคัญกับ คุณนายCuddy และตาแก่ Briggs
เพราะทั้งคู่หนีจากสังคมเพื่อมาอยู่ในที่ที่ตนเองได้รับการยอมรับ เพื่อเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเข้าสังคม การผูกมิตร และการได้รับการยอมรับ

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยคำถามที่ตั้งกับสังคมว่า
- สุดท้ายแล้ว เราต้องการใครคนนึงใช่มั้ย เราอยู่คนเดียวไม่ได้ใช่มั้ย?
- ถ้าชีวิตนึงจะเจอเรื่องร้ายๆขนาดนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง จะยอมรับความเจ็บปวด หรือจะเสียสติเพื่อหนีความเลวร้ายพวกนั้น?
- สุดท้ายเราก็มองคนที่ภายนอกใช่หรือไม่? ทำไมต้องมีเสื้อผ้าดีๆเพื่อพบปะคนอื่น? คนบ้าจะมีจิตใจดีไม่ได้หรือไร?

และอีกมากมายที่ถามกันไม่หมด ตาแก่ George Briggs ทำหน้าที่เหมือนเป็นพวกเรา เป็นคนดูเหตุการณ์ เขารับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาเห็น เขาเข้าใจ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขาเข้าไปแก้ปัญหาพวกนั้นให้คนเหล่านั้นไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่เขา และไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าไปยุ่งก็ได้
เมื่อทุกอย่างมันพบจุดจบอันลงตัวหรือไม่ลงตัวของมันเอง เขาก็ต้องปล่อยทุกอย่างไป ได้แต่ร้องเล่นเต้นรำ และปล่อยมันไป เพราะในวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นแค่ความทรงจำ ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่ จะไม่มีใครจำอะไรได้ ไม่แน่สักวันเขาอาจจะลืมด้วยซ้ำ

นอกจากเนื้อเรืื่องและเนื้อหาจะชวนขบคิดจนน่าหดหู่แล้ว โปรดักชั่นของหนังก็เต็มอิ่มไปอีกแบบ
งานแสดงไม่ต้องพูดถึง ส่วนงานภาพนี่ก็...อือหื้อออออ...บางซีนเล่นเอาจุกจนคิดไรไม่ออก ถึงอย่างนั้นมันก็สวยงามในแบบของมัน

เอาไปเลย 9/10
หนังสวย เนื้อดี เต็มอิ่มทุกอย่าง แต่ที่ติดขัดนิดหน่อยคือบางประเด็นมันเข้าใจลำบาก ซึ่งอาจจะแย่หน่อยสำหรับพวกเราๆคนไทย ถ้าจะเข้าใจเขาเราต้องปรับมุมมองใหม่ แบบที่ไม่เอาชีวิตของตัวเอง หรือสังคมรอบๆบ้านเมืองเรามาคิดปะปนให้วุ่นวาย

ขอบคุณภาพจาก http://reggiestake.files.wordpress.com/2014/04/the-homesman-poster.jpg