วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Birdman (2014)

*สปอยหนักมาก*
Birdman: Or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014)
Directed by Alejandro González Iñárritu
Cast: Michael Keaton, Emma Stone, Zach Galifianakis, Edward Norton and Naomi Watts

เรื่องราวของ Riggan นักแสดงตกอับผู้เคยโด่งดังจากบทบาทซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Birdman ที่กำลังพยายามกอบกู้ชื่อเสียงตัวเองอีกครั้งจากการแสดงละครบรอดเวย์ที่เขาดัดแปลงบทและลงมือแสดงเอง แต่การจะกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องต่อกรกับอุปสรรครอบตัวและความเครียดที่กำลังกัดกินจิตใจ

ขำขันเฮฮากันนะจ๊ะ นี่มันหนังตลก จริ๊งจริงงงง
ตลกร้ายแบบที่ขำไม่ออกกันเลยทีเดียว ติดแฟนซีจนเซอร์เรียลแบบอ้าปากค้างอีกต่างหาก
ฉากพีคๆที่จิกกัดพวกหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่คือเยอะซะจนนึกว่าเป็นการCameosของเหล่าฮีโร่ เหมือนที่ลุง Stan Lee แกชอบทำในหนังจักรวาลมาร์เวลทำนองนั้น (แต่มาแค่ชื่องี้) ยิ่งซีนที่มีสไปดี้กับบัมเบอร์บีมานี่คือแบบ...หื้ออออ อะไรน่ะ อะไร๊ ฮ่าๆๆๆ

ต้องชมทุกองค์ประกอบจริงๆ บทดีงามเหนือจะบรรยาย แต่ก็ไม่ยากลำบากในการแยกความจริงออกจากความเซอร์เรียลของมัน เพียงแต่มันเล่นกับความคิดเรานิดนึงว่า เราจะเชื่อสิ่งที่เห็นมั้ย? จะเลือกเชื่อว่าRigganมีพลังพิเศษ? ที่ความจริงมันก็แค่คิดไปเอง?
เพราะยังไงเราคือคนดูที่อยู่ในหัวของRigganนะอย่าลืม เราได้ยินความคิดมัน เราได้เห็นความแฟนซีของมัน เราตายและตื่นพร้อมๆกับRigganเลย
จะว่าไปก็ไม่ต่างกับหนังฮีโร่ทุกวันนี้นะ ตกต่ำและร่วงหล่นได้อย่างมนุษย์ แต่ก็โด่งดังและโบยบินได้มากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ

นักแสดงคือเลิศเลออลังการซีนอารมณ์แต่ละคนนี้เจ็บๆคันๆทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวยืนหลังๆอย่าง...
Michael Keaton สมกับการเป็นผู้ท้าชิงรางวัล แม้จะไม่ได้ออสก้าแต่แน่ใจว่าได้ใจทุกคนแน่ๆ ดาราดีๆบทดีๆหลายคนเยอะแยะไปที่พลาดรางวัลใหญ่แต่กลายเป็นขวัญใจคนดู แม้เฮียจะอายุปูนนี้แล้วก็เถอะ (เศร้าแป๊บ)
ส่วนคนอื่นๆอย่าง Emma Stone / Edward Norton / Naomi Watts ไม่ต้องพูดถึงเลย ดีงามแน่นอน ชอบซีนของ Emma กับ Edward นะ เป็นมุมมุ้งมิ้งที่หาแทบจะไม่ได้ในหนังเรื่องนี้
แม้แต่ Zach Galifianakis ก็เจ๋งไม่แพ้ตัวยืนคนอื่นเลย ปกติเกลียดมันมากนะโดยเฉพาะใน Hangover กับ Due Date เนี่ย อย่างไม่ชอบ แต่ในเรื่องนี้ Zach คือแบบ...คนละเรื่องงงงเลยยยย
ดีๆ ชมๆ *ยืนขึ้นปรบมือ*

นอกเหนือทุกสิ่งแล้ว เทคนิคLong-Take คือแบบ...ชวนหลงไหลนะ มันลื่นไหล เคลื่อนไหวแบบไม่น่าเบื่อ พอถึงจังหวะที่จะเบือนหน้าหนีก็มีคนเข้ามารับช่วงต่อเพื่อพาไปยังประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นในโรงละคร
ที่น่าสนใจคือเรื่องของเวลาในหนังเรื่องนี้ไม่มีความสำคัญเลย ทุกอย่างดำเนินไปเสมือนเข็มวินาทีที่เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ / แสดงจริงหรือซ้อม / รอบพรีวิวหรือรอบเปิดแสดง หนังก็พาเราเข้าไปอยู่ในช่วงเวลานั้นๆไปเสียแล้ว

ส่วนตัวแล้ว
ชอบซีนปะทะอารมณ์ของ Riggan กับ Sam มากกกกกก
ชอบการปิดฉากของ Riggan แบบสุดๆ การยืนปรบมือไม่เคยน่าขนลุกอะไรเท่านี้มาก่อน

จัดไปเลย จัดไปปปปปป
12/10
ไม่ผิดหรอก ให้เกินลิมิตเลยทีเดียว(ชอบเลข12น่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Hector and the Search for Happiness (2014)

*สปอยหนักมาก*
Hector and the Search for Happiness (2014)
Directed by Peter Chelsom
Cast: Simon Pegg, Rosamund Pike, Stellan Skarsgard, Jean Reno, Toni Collette and Christopher Plummer

หนังสร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของ François Lelord นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่เป็นจิตแพทย์ตัวจริง

เรื่องราวของ เฮคเตอร์ จิตแพทย์นิสัยแปลกที่ชีวิตดำเนินไปแบบเรื่อยเปื่อยแสนน่าเบื่อไร้รสชาติ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดูจะมีความสุขคือแฟนสาวคนสวย คลาร่า แต่มันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงที่เขาค้นหา แถมคนไข้เขาแต่ละคนยังไม่ได้ช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจของเขาเรื่องความสุขได้สักคน
ท้ายที่สุดเฮคเตอร์ก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋าและออกเดินทาง โดยอ้างว่าจะไปหาข้อมูลทำวิจัย เพื่อหาว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร สิ่งใดที่ทำให้ผู้คนมีความสุขบ้าง เผื่อว่าเขาจะกลับมาช่วยรักษาคนไข้ของเขาได้ หรือบางทีอาจช่วยเติมเต็มความสงสัยในตัวเขาเอง

สองวันมานี้เป็นอะไรนะ เปิดแต่หนังหาความสุขในชีวิต ที่แสดงนำโดยนักแสดงตลกแต่หนังดันไม่ได้ตลกอย่างผลงานเรื่องอื่นๆของพวกเขา
Simon Pegg เรื่องนี้ห่างไกลจากพวก Shaun of the Dead หรือ Hot Fuzz แบบลิบลับ ยังติดตลกอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่จะน่ารักมุ้งมิ้งเสียมากกว่า แถมยังมีโมเม้นเครียดจัดที่แสดงได้ดีไม่แพ้บทตลกเลยทีเดียว
แถม Simon กับ Rosamund Pike ยังเคมีเข้ากันแบบน่ารักสุดๆไปเลย!
สองคนนี้เคยเจอกันมาแล้วใน The World's End (2013) หนึ่งในหนังตลกแบบเซตของเฮียแกน่ะเอง
ขำขันเบาๆกับการเอา Jean Reno มาเล่นเป็นมาเฟียค้ายา อันนี้จัดว่าเป็นมุขที่ฮานะ แลดูอยู่ผิดที่ผิดทางในหนังแนวนี้ แต่ก็ออกมาน่ารักทีเดียว

ใครชอบหนังแนวๆท่องโลกหาความสุข หาความหมายของชีวิต เรื่องนี้น่าจะดีทีเดียว
มันไม่แอดเวนเจอร์มาก แต่บทพูดแต่ละไลน์คือดีเลิศ เป็นการจำกัดความคำว่า ความสุข ในบริบทต่างๆ ของผู้คนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ชาวบ้านในแอฟริกา คุณตัว นักธุรกิจ พ่อค้ายา คนป่วย ไปจนถึงคุณแม่ลูกสาม
แน่นอนว่าภาพสวย เล่าเรื่องเก๋ไก๋ ที่สำคัญคือโน้ตของเฮคเตอร์วาดสวยมาก เพลงเพราะอีกต่างหาก ครบเครื่องหนังแนวนี้เลยทีเดียว
ซีนแฮปปี้ก็สดใส ซีนดราม่าก็เล่นเอาซะเกือบน้ำตาร่วง(แต่ไม่ร่วงนะ ยังๆ)

ไม่อยากเปรียบเทียบกับ The Secret Life of Walter Mitty (2013) หรอกนะ แต่หนังคือแนวๆนั้นเลย
ส่วนตัวคิดว่า บุคลิกตัวละครดีกว่า ดูเรียลกว่า และที่สำคัญ Simon Pegg ทำได้ดีกว่า Ben Stiller (เน้นว่าความคิดส่วนตัว ใครสาวกเฮียเบนก็ขออภัย) แต่ Walter Mitty ยังติดอยู่อย่างนึงตรงมันแฟนซีไปนิด ตัวเอกดูบื้อๆไปหน่อย ในขณะที่เรื่องนี้ตัวละครคือดีงามสมจริงเรียลไลฟ์สุดๆ

เฮคเตอร์ใช้วิธีถามคนที่เขาพบเจอไปเรื่อยๆว่า
คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมั้ย? อะไรคือความสุขของคุณ?
และทั้งหมดคือ นิยามความสุขที่เฮคเตอร์จดไว้ในโน้ตเล่มน้อยๆมี23ข้อ
(ในหนังสือ หนังไม่ได้หยิบมาหมดหรอก เท่าที่เห็นก็ประมาณ10กว่าข้อ แต่มันทำทั้ง23ข้อให้อยู่ในเรื่องหมดแล้วแหละ)

Hector’s list of happiness << เอ้า ตามลิงค์นี้ไปเล๊ย

แต่ละข้อก็แล้วแต่เลยว่าใครจะสนใจทำตาม ที่แน่ๆถ้าทำได้หมดทุกข้อคงพูดได้ว่า
"ฉันคือคนที่มีความสุข" น่าสนใจนะว่า แต่ละคนก็มีนิยามความสุขไม่เหมือนกัน
แต่รวมๆหลักแล้วๆ ประโยคสุดท้ายที่เฮคเตอร์พูดกับพระแก่ๆว่า
"We all have an obligation to be happy." คือทั้ง23ข้อรวมกัน (ไม่อยากแปลกลัวผิดความหมาย)

เป็นเราเลือกคิดแค่ครึ่งนึงของลิสทั้งหมดนั้นก็น่าจะมีความสุขแล้ว
ไม่ต้องเดินทางไปรอบโลกก็น่าจะหาเจอนะ :)

สำหรับหนังที่จะกลายเป็นหนังในดวงใจขนาดนี้...
เอาไปเถอะ 10/10
บทดี แท็กไลน์เจ๋งๆกินใจเยอะมาก ภาพสวย เพลงเพราะ ซีนอารมณ์ดีงาม
เป็นหนังที่ดูแล้วได้อะไรในชีวิตมากกว่าที่คิดทีเดียว

ดูแล้วบ่น: St.Vincent (2014)

St. Vincent (2014)
Directed by Theodore Melfi
Cast: Bill Murray, Jaeden Lieberher, Melissa McCarthy and Naomi Watts

โอลิเวอร์และแม่ของเขาย้ายบ้านมายังชุมชนใหม่ นอกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นตา ที่ทำงานใหม่ เพื่อนใหม่ที่โรงเรียน ทั้งสองยังต้องรับมือกับ วินเซนท์ ชายแก่ใจร้ายซึ่งเป็นเพื่อนบ้านขี้โมโหของพวกเขา วินซ์ มีปัญหาทุกอย่างในชีวิตแทบจะครบครัน ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดพนัน ถังแตก แถมยังต้องดูแลคุณตัวที่ท้องอีกด้วย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านที่เด็กอย่างโอลิเวอร์ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยเอาเสียเลย
แต่เมื่อโอลิเวอร์ได้รู้จักวินซ์มากขึ้น เขาก็สามารถค้นพบด้านดีๆของวินซ์ที่ไม่เคยมีใครมองเห็นมาก่อน

เห็นชื่อ Bill Murray กับ Melissa McCarthy แล้วอย่าคิดว่านี่จะเป็นหนังตลกโปกฮาเชียว
เพราะมันไม่ใช่! มันเป็นหนังดราม่าฟิลกู๊ดที่น่ารักมากทีเดียวแหละ
มีตลกนิดๆหน่อยๆพอเป็นกระสายให้ขำขัน (หรือจริงๆแค่เห็นหน้าBillก็ขำแล้ว)

โดยส่วนตัวชอบหนังสไตล์นี้อยู่แล้วนะ ฟิลกู๊ดสู้ปัญหาชีวิต ดูแล้วยิ้มบางๆพอให้ชุ่มชื่นหัวใจ
อันนี้ออกแนวคนแก่ช่วยเด็ก แล้วเด็กก็ช่วยคนแก่ ตัวละครในเรื่องค่อนข้างประสบความล้มเหลวอย่างร้ายแรงเรื่องของการมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่แล้วทุกคนก็เติมเต็มกันและกัน ที่แม้จะเป็นประหลาดๆ พังๆไปบ้าง ขาดๆเกินๆ แต่ก็กลายเป็น "ครอบครัว" ที่ดี

สิ่งนึงที่ชอบสุดๆเลยคือคำพูดของวินซ์ที่ว่า
"I'm showing him how the world works."
(จริงๆต้องต่อด้วย You work, you get paid, you drink. แต่มันไม่ได้ช่วยให้ประโยคดูดีขึ้นเลย ฮ่าๆๆ)

บทบาทสำคัญของวินซ์ก็อยู่ในประโยคนั้นแหละ
คนเราต้องสู้ ต้องทน ต้องดิ้นรน แน่นอนว่าชีวิตไม่ได้ดีเสมอไป ช่วงท้อแท้เล็กๆน้อยๆ หนักหนาสาหัส หรืออบจนหนทางขนาดไหน ยังไงมันก็ต้องเกิดกับทุกคน ยิ่งลุงแกผ่านวันผ่านคืนมาโชคโชนขนาดนี้ มันต้องมีแทบจะครึ่งชีวิตของแกแหละน่า
และแม้จะเจอเรื่องร้ายๆ แต่เมื่อผ่านมันไปได้ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถึงมันจะไม่ดีเลิศสุดๆในสายตาใคร แต่แค่มันดีกว่าพายุชีวิตที่ผ่านมาก็เรียกได้ว่าดีเกินพอแล้วแหละ
เรียกง่ายๆว่า "ชีวิตไม่สิ้นก็ดิ้นกันต่อไป" และสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราดิ้นกันต่อไปได้ก็คือคนรอบข้าง กำลังใจและความช่วยเหลือสำคัญมาก ในวันที่เราลุกไม่ไหวคนพวกนี้จะช่วยเราเดิน หรือวันที่ทุกอย่างเริ่มน่าเบื่อขาดความสดใส คนพวกนี้จะช่วยทำให้แต่ละวันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

แต่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมา ถ้าวินซ์ไม่ใช่คนใจดี มีด้านอ่อนโยนให้เห็น ก็อย่าหวังเลยว่าชีวิตจะดีขึ้น จะไม่มีใครช่วยพยุงเราแน่เมื่อเราต้องการ (อารมณ์คล้ายๆลุงสครูจจอมขี้เหนียว เมื่อใดที่ลุงแกใจบุญ ใครๆก็รักแกทั้งนั้นแหละ)

และทั้งหมดนั้น คือบทบาทที่วินซ์ สอนโอลิเวอร์ และสอนพวกเราด้วย :)

โอเค...โดยรวมแล้วหนังน่ารักทีเดียว
เพลงเพราะและภาพสวยแน่นอน บทดีมาก เล่าเรื่องง่ายๆไม่ซับซ้อน บทตลกก็ขำๆพอประมาณ ซึ่งก็เหมาะสมแล้วกับความสามารถของดาราใหญ่ๆที่แสดงในเรื่อง
Bill Murray แสดงดีแน่ล่ะ ทำให้รู้สึกหลากหลายกับตัวแกดี ทั้งสงสาร ขำ ชื่นชม แต่ด้านลบคงคิดไม่ลงอ่ะ บทแกดีเกินไป ความน่าสงสารมันเยอะเป็นพิเศษ
Melissa McCarthy กลายเป็นตัวประกอบซะงั้น แต่ก็ยังเล่นดี หลังๆเริ่มสนใจหนังเจ๊แกล่ะ แม้บางเรื่องจะตลกปัญญาอ่อน แต่ก็มีด้านดีๆฟิลกู๊ดให้เห็นบ้าง แต่เรื่องนี้ไม่มีความปัญหาอ่อนนะๆ
เซอร์ไพร์ส Naomi Watts สุดๆ ทั้งสำเนียง หน้าตา ท่าทาง ดูไม่ได้เลย ฉันว่านางนี่แหละตัวตลกยิ่งกว่าดาราตลกสองคนแรกอีก
ที่ต้องชมสุดๆเลยคือ เจ้าหนู Jaeden Lieberher ในบท โอลิเวอร์ เล่นได้น่ารักมาก ดูสมเป็นเด็กฉลาดชาติเจริญ ที่สำคัญคือเล่นคู่กับ Bill Murray ตัวต่อตัวหลายซีนนะจ๊ะ แถมไม่โดนรัศมีความเมพของลุงแกกลบอีกด้วย

สุดท้ายนี้...
เอาไป 8/10
สำหรับหนังแนวเดียวกันแล้วคือดีงาม ไม่ถึงขั้นเลิศเลอ แต่น่ารัก ฟิลกู๊ด มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Fifty Shades of Grey (2015)

*สปอยแน่นอน แต่สำหรับคนเคยอ่านนิยาย นี่ไม่เรียกว่าสปอย*
Fifty Shades of Grey (2015)
Directed by Sam Taylor-Johnson
Cast: Dakota Johnson, Jamie Dornan, Eloise Mumford, Jennifer Ehle and Marcia Gay Harden

แอนัสเตเซีย สตีล นักศึกษาเอกวรรณกรรม เข้าสัมภาษณ์นักธุรกิจหนุ่ม คริสเตียน เกรย์ แทนเพื่อนสาวที่ดันป่วยในวันสำคัญเช่นนี้ และนัดสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็เปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
แอนาหลงเสน่ห์เขาเข้าเต็มเปา และแทนที่สองหนุ่มสาวจะเริ่มความสัมพันธ์แบบคนธรรมดาทั่วไป หนุ่มเก็บตัวรูปงามคนนี้ดันมีรสนิยมทางเพศที่ "เฉพาะ" ทางแบบสุดๆ

บอกตรงๆ เรื่องย่อเรื่องนี้ถ้าเล่าไปคือ...แทบจะเรียกว่าหนังสือเล่มแรกทั้งเล่ม เพราะเนื้อหาจริงๆมันอยู่ที่เล่ม2-3 ต่างหาก

คำเตือนอีกครั้ง: ความเห็นส่วนตัวล้วนๆแบบสุดๆ เขียนบล็อกนี้แบบติ่งนิยาย Fifty Shades คนนึง ที่อ่านจนหนังสือแทบจะพลุน และนอกจากจะเป็นติ่งนิยายแล้ว ยังเป็นติ่งนักแสดงสาว Dakota Johnson อีกด้วย

Fifty Shades of Grey สร้างจากนิยายรักโรแมนติก(หรือเรียกว่าอีโรติกเลยก็ได้) ในชื่อเดียวกัน ของนักเขียนผู้ทำงานเบื้องหลังวงการทีวีมาก่อนอย่าง E.L. James นางเริ่มทั้งหมดด้วยการเขียนแฟนฟิคชั่นของนิยายแวมไพร์วัยรุ่นชื่อดัง Twilight และจริงๆชื่อเรื่องเดิมของเรื่องนี้ก็คือ Master of the Universe แต่เธอก็ถอนเรื่องราวบนหน้าเว็บแฟนฟิคชั่น แล้วเอาไปใส่ในเว็บของตัวเองโดยเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่ และทำออกมาเป็น eBook แบบไตรภาค ความนิยมแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนังสือเล่มหนาๆหนักๆในที่สุด

ที่ต้องเล่าแบบนี้เพราะหลายๆคน ไม่รู้เลยว่ามันเป็น แฟนฟิคชั่น ของ Twilight บางคนก็เอาแต่บ่นว่า เหมือนเรื่องนั้นเลย โครงสร้างตัวละครอย่างเหมือน สถานการณ์โคตรใช่ แค่เปลี่ยนจากแวมไพร์ เป็นเซ็กซ์วิตถาร
ถูกต้องค่ะคุณๆทั้งหลาย มันเป็นอย่างที่ว่ามานั่นแหละ เดานะ E.L. James แกคงอ่าน Twilight แล้วหงุดหงิดอัดอั้น ก็เลยเขียนมาแบบจัดเต็มสไตล์แฟนฟิคชั่นเลยทีเดียว

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องหนังกันดีกว่า
พูดถึงดาราก่อนละกันเพราะมันไม่เกี่ยวกับว่าจะอ่านนิยายมาก่อนหรือเปล่า
Dakota กับ Jamie เข้ากันสุดๆ โดยเฉพาะ Dakota เสน่ห์นางเหลือร้ายจริงๆ ติดใจนางตั้งแต่ Goats กับ Date and Switch ล่ะ เป็นตัวรองที่โผล่แว๊บๆ แต่เสน่ห์แรงทุกฉาก ยิ้มทีใจละลาย(โหมดคลั่ง) แล้วความบ้าของฉันก็พาลให้ไปหาซีรี่ส์ตลก Ben and Kate ดู บทนี้นางน่ารักม๊ากกกกกกก(เข้าสู่โหมดบ้าคลั่งขั้นสุด)
โอเค กลับมาที่ Dakota ในบท แอนา สตีล อย่างที่บอก เสน่ห์แรงมาก เล่นเก่งใช่ได้ ดูๆแล้ว Jamie ด้อยไปเลยนะ ทั้งๆที่บทของ คริสเตียน เกรย์ จะต้องเด่นกว่านิดหน่อย ล้อตาล้อใจมากกว่านี้ แต่ไหงนางกลับขโมยซีนไปหมดเลย (อาจจะไม่ใช่กับคนอื่น คนอื่นเขาก็เห็น Jamie แซ่บกันดีนะ)

สำหรับตัวประกอบอื่นๆแทบจะเรียกว่าไม่ได้เล่นอะไรจริงจัง แถมคนแสดงเป็น เอลเลียตอย่างแข็งเลยให้ตายสิ / Rita Ora ที่แสดงเป็นมีอาก็แทบจะตกขอบจออยู่ละ ฮ่าๆๆ

โอ้ อีกอย่างนึง เพลงเพราะมากเรื่องนี้ Danny Elfman ทำได้ดีงามมาก เจ๋งมาก!!!

เริ่มจาก แบบคนดูหนังปกติ
วันนี้คุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่า "บทมันแปลกๆ แล้วอารมณ์ของตัวละครก็หมกมุ่น ทำให้ดูไม่น่าเชื่อ"
จากที่ดูก็จริงแหละ มันเล่าเป็นฉากๆ ตัดฉึบๆๆๆๆ แบบ เฮ้ย เร็วไป ใครไม่อ่านมาก่อนไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมมันต้องทำอย่างนั้นกัน ทำอย่างนี้กัน นี่แหละข้อเสียของนิยายที่ตัวละครบรรยายความรู้สึกแทบจะทั้งเรื่อง แต่ดันต้องมาเป็นหนังที่บรรยายความรู้สึกไม่ได้ และตัดทอนให้เหลือแต่ภาพการกระทำและบรรยากาศ
และใช่ ตัวละครมันหมกมุ่นกันแต่เรื่องเซ็กซ์ ความสัมพันธ์ เซ็กซ์ ...เออ มันแค่นั้นจริงๆ แล้วยิ่งภาพโคลสอัพหน้านักแสดงแบบช็อตต่อช็อต ก็ยิ่งเพิ่มความอึดอัดและเน้นความหมกมุ่นของมัน

แต่ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่นักแสดงคุยกันในฉากเสมือนกำลังเล่นละครเวที!!!
รู้สึกแบบนั้นจริงๆนะในบางอารมณ์
อย่างซีนคุยกันในบ้านคริสเตียน หรือที่โรงจอดเรือที่บ้านครอบครัวเกรย์ มันดูกระดากกระเดิดยังไงไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกแบบนี้ คือ...อาจจะพยายามเน้นฉากรอบๆ หรือพยายามให้เห็นว่าพระเอกไม่เคยรู้สึกปลอดภัยหรือพอใจเวลาต้องคุย? คงใช่มั้ง แต่รู้สึกเสียดายมากที่รู้สึกเช่นนี้ (มันมาเป็นพักๆน่ะนะ)

โดยรวมมันก็โอเคน่ะนะ หนังรักโรแมนติก(หรือจะอีโรติกก็ได้)ทั่วๆไป แค่ไม่มีต้นสายปลายเหตุอะไร ไม่มีเหตุมีผล ไม่มีปูมหลัง มีแต่คารมณ์สวาทล้วนๆ...ไม่ใช่ล่ะ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่มันไม่มีคือทำให้ตัวละครดูลอยๆ เหมือนอยู่ในฟองสบู่จินตนาการ ไม่มีตัวตน (จริงๆมันก็เป็นกฎเหล็กของการเป็นแฟนฟิคชั่นนะตัวละครแบบนี้)
แต่เอาจริงๆฉากวาบหวิวมันก็ไม่ได้ฮือฮาอะไรขนาดนั้นนะ ถ้าจะเปรียบจริงๆแล้วหนังในวงการตั้งเยอะตั้งแยะที่มีฉากอู้อ้า เพียงแต่มันไม่ได้จัดเต็มจัดหนักจนกลายเป็นหน้าหนังเท่านั้นเอง

โอเค พูดถึงหนังแบบติ่งนิยายบ้าง
ถือว่า...ฟินล่ะกัน แต่ไม่สุดเท่าที่ควร มันก็ตอบสนองจินตนาการได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกของแอนากับคริสเตียน อมยิ้มแบบกรุบกริบเบาๆเวลาสองคนนี้เถียงกัน (ตามสไตล์ในหนังสือมันก็เป็นแบบนั้นนะ อ่านไปอมยิ้มไป) แต่มัน...ยังไงไม่รู้สิ มันดูแฮปปี้ไม่สุด

สิ่งที่พีคที่สุดคือฉากจบ ต้องบอกว่าถ่ายทอดได้ดีกว่าหนังสืออีก บีบรัดหัวใจเหลือเกิน(สงสารแอนา)
พอซีนพีคๆจบไป ก็มาสงสารคริสเตียนต่อ จากนักธุรกิจหนุ่มผู้มีอำนาจ กลายเป็นเด็กน้อยตามง้อผู้ใหญ่ น่ารักดี แต่ก็สงสาร

แต่ไม่ว่าจะพีคแค่ไหน ฉากจบแม่งก็จบดื้อๆอย่างนั้นเลยจริงๆ
อย่างกับอ่านหนังสือแบบมีภาพประกอบ แทบจะร่ำร้องรอให้ออกภาค Darker ตามมาไวๆ
ตอนเดินออก ได้ยินคนข้างๆบ่น "อ้าว! อะไร จบงี้หรอ! ได้ไง!"
อยากจะหันไปสะกิดละบอกว่า "เธอๆ ไปอ่าน Darker นะ แล้วจะหายหงุดหงิด"

สุดท้ายสำหรับติ่งนิยาย Fifty Shades ไม่ใช่นิยายหื่นที่เอาแต่อึ๊บกันทั้งวันทั้งคืน มันเป็นนิยายรักของหนุ่มสาวคู่นึงที่พยายามเยียวยาซึ่งกันและกัน ถ้าตัดฉากวาบหวิวพวกนั้นไป มันก็ยังเป็นเรื่องราวที่สนุกนะ(พูดซะดูดีโลกสวยรุ้งเจ็ดสีมาก) จริงๆนะ ไม่อยากให้มองว่ามันเป็นนิยายอีโรติกอย่างเดียว น่ะ

และสำหรับหนังที่รอคอยข้ามปีมาขนาดนี้!!!
9/10
ภาพสวยใช้ได้ นักแสดงหลักดีงาม (ถึงจะบ่นไปเยอะแต่ก็ชอบอยู่ดี)
แต่หัก1คะแนน โทษฐานที่เล่าแบบฉึบฉับไร้ซึ่งความสวยงามทางภาพยนตร์ดัดแปลงจากนิยาย ที่จริงๆฉันเชื่อว่าเรียบเรียงเรื่องดีๆก็น่าจะเล่าได้ละเอียดกว่านี้นะ

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Nightcrawler (2014)

*จะว่าสปอยก็ใช่ อ้างอิงบางซีนเท่านั้นน่ะ*
Nightcrawler (2014)
Directed by Dan Gilroy
Cast: Jake Gyllenhaal, Rene Russo, Riz Ahmed and Bill Paxton

Lou Bloom คือคนฉลาด ขยัน ทะเยอทะยาน และลงทุนทำทุกอย่างเพื่อแลกกับเงินและความสำเร็จ แต่ก่อนจะทำทุกอย่างได้เขาต้องมีงานเพื่อปั้นเงินเสียก่อน ระหว่างวิ่งหางานในLA เขาก็บังเอิญไปเจออุบัติเหตุเข้า ตากล้องอิสระรายนึงเดินออกมาและเขาก็สนใจลักษณะงานนี้ทันที แค่มีกล้อง ถ่ายเหตุการณ์ แล้วก็เอาไปขายกับช่องข่าว แสนจะง่ายใช่มั้ยล่ะ
แต่เหตุการณ์ต่างๆก็ไม่ได้ว่าจะเดินไปเจอง่ายๆ และบางครั้งก็เข้าถึงได้ยากจนไม่สามารถเก็บภาพได้
ไม่ช้าBloomก็ค้นพบวิธีแสนง่ายที่จะเก็บภาพเพื่อไปขึ้นเงิน ถ้าไม่ไปถึงก่อนที่ตำรวจจะเข้าพื้นที่ เขาก็ต้องลงมือจัดการอะไรเล็กๆน้อยๆเพื่อให้ตัวเองเก็บภาพเจ๋งๆให้ได้!

ได้ข่าวแววๆว่าจะเข้าโรงหลายรอบละ พอถึงกุมภาพันธ์อย่างที่ข่าวว่าก็ไม่มีโปรแกรม อีกข่าวบอกตุลาคม ก็...ไม่มีแพลนอะไรให้เห็น
นี่เลยแบบทนไม่ไหวววววว ดูซะ!

เป็น Crime-Thriller ที่พีคมาก พีคตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ่งองค์สุดท้ายของหนังคือแบบ อือหื้ออออออออ หายใจไม่ทั่วท้อง เกร็งมือไม่รู้ตัว ไตเติ้ลขึ้นถึงจะรู้ว่าตัวเองกลั้นหายใจอยู่เป็นพักๆ โลกพลันสดใสขึ้นมาในทันใด ไม่ใช่เพราะทั้งเรื่องมีแต่ฉากกลางคืนนะ(ที่บอกว่าสดใส) มันก็มีกลางวันบ้าง แต่ชื่อมันก็บอกอยู่ว่า Night-Crawler ฝูงเหยี่ยวข่าวออกล่ากลางคืนยังไงล่ะ กลางวันน่ะพักซะนอนซะ
แต่คือมันเครียดดดดดดดดดดด ซะจนแบบ โอคุณพระคุณเจ้า เอ็งนี่มันเหลือร้ายจริงๆ

ต้องบอกว่าบุคลิกของ Lou Bloom คือรสชาติเด่นของเรื่องเลยนะ เป็นตัวละครที่เก่ง ฉลาด เจ้าเล่ห์ โน้มน้าวคนเก่ง มีความน่าเชื่อถือ(สำหรับคนที่พึ่งเจอ) และที่สำคัญคือมันทะเยอทะยานระดับหิวกระหาย
เมื่อทุกอย่างมารวมกันเป็นคนคนเดียว นี่คือบุคคลที่น่ากลัวที่สุดก็ว่าได้ จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันล่ะที่สายงานข่าวอาชญากรรมมันเข้าตาของพี่แก เขาทำลายเส้นแบ่งบางๆระหว่างผู้เฝ้าสังเกตการณ์ กับ ผู้สมรู้ร่วมคิด ดีไม่ดีเขานั่นแหละที่กลายเป็นฆาตกร แต่เป็นฆาตกรแบบชักใยให้เหตุการณ์เกิดน่ะ ไม่ใช่ผู้ลงมือทำ

นอกจาก Bloom แล้ว อีกคนที่น่ากลัวคือ Nina Romina โปรดิวเซอร์ข่าวที่รับฟุตเทจของBloomไปออกอากาศ นางไม่ได้กระหายความสำเร็จ หรือทะเยอทะยานระดับสูงอย่างBloom นางแค่ต้องการเป็นที่หนึ่ง ต้องการสร้างชื่อ ต้องการให้ช่องมี "เรื่อง" ให้ออกอากาศ ไม่ใช่ "ข่าวบ้านๆ"
ทีนี้ก็เท่าทางเลย ทั้ง Bloom ทั้ง Nina

ต้องยกนิ้วให้สองนักแสดงอย่าง Jake Gyllenhaal กับ Rene Russo ด้วยแหละ โดยเฉพาะJake เฮียแกเล่นเต็มที่มาก เอาจริงๆบทนี้ฉันกลัวเฮียแกนะ เวลาจ้องด้วยสายตากระหายและว่างเปล่าตอนที่ถ่ายเหตุการณ์ตรงหน้าน่ะ บางทีก็รู้สึกว่า "นี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้วนะ เครื่องจักรถือกล้องชัดๆเลย" แต่ก็นั่นแหละคือตัวสำคัญ มันไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากฟุตเทจเจ๋งๆ กับเงิน ชื่อเสียง ความสำเร็จ

ชักจะวนไปวนมา มาว่ากันที่ส่วนประกอบอื่นกันดีกว่า
เนื้อเรื่องเด็ดมาก ดำเนินเรื่องน่าติดตาม ฉากพีคๆนี้เล่นเอาขนลุก ผูกปมไว้แล้วก็แก้ให้เห็นกันตรงนั้นเลย ไม่ให้สงสัยนาน หรือจริงๆบุคลิกของตัวละครมันไม่ได้ทำให้เราต้องสงสัยอะไรมากมายว่า ต่อไปมันจะเป็นยังไง มันทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ก็เลยไม่ใช่ตัวถ่วงให้คิดนานเท่าไหร่

อีกอย่างที่รู้สึกคือ ซาวน์ประกอบ เจาะทะลุทะลวงมาก กระตุ้นจังหวะหัวใจ(แทบจะวายตาย)
เสียงไซเรนรถตำรวจ ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นคงตื่นเต้นนะที่ได้ยิน มันจะมีสองอย่างคือ โล่งอก(ตัวละครได้รับความช่วยเหลือแล้ว!) กับ แย่ล่ะ(มันมาจับตัวละครชัวร์)
แต่เรื่องนี้เสียงไซเรนเหมือนเสียงนกร้องตามต้นไม้ ได้ยินจนชิน ไม่มีความตื่นเต้น สิ่งที่ตื่นเต้นกลับเป็นแสงไฟจากหน้ากล้องของพระเอกมากกว่า แล้วก็การขับรถไล่ล่า (ทั้งล่าข่าว ทั้งล่าคนร้าย) โอ๊ย เหนื่อย

โดยรวม
หนังดี ไม่เหมาะกับการแก้เครียด คอหนังทริลเลอร์ต้องชอบแน่ๆ
ตัวละครหลักแสดงกันได้เจิดทุกคน

เอาไป 9/10 !!

ดูแล้วบ่น: Wolves (2014)

*เกือบจะเรียกว่าสปอย ไม่ได้เผยหมดเรื่องหรอกนะ*
Wolves (2014)
Directed by David Hayter
Cast: Lucas Till, Stephen McHattie, Merritt Patterson, Jason Momoa and John Pyper-Ferguson

Cayden Richards เด็กม.ปลายชีวิตเพอร์เฟค นักกีฬาดีเด่น แฟนสาวดาวโรงเรียน แต่แล้วชีวิตแสนสวยของเขาก็พังทลาย เมื่อจู่ๆเขาก็กลายเป็นมนุษย์หมาป่าไปซะงั้น คืนนึงความบ้าคลั่งที่ควบคุมไม่ได้ทำให้เขาทำร้ายแฟนสาว และฆ่าพ่อแม่ของตัวเอง เป็นเหตุให้ Cayden ต้องออกเดินทางเพื่อคดีฆาตกรรมพ่อแม่ที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลัง
ในบาร์ของเหล่าสิงห์มอไซค์ เขาได้พบกับ Wild Joe ผู้มีตาเดียว Joe ชี้เป้าให้เขาเดินทางไปยังเมืองเล็กๆแห่งนึง เพื่อหาคำตอบของอสุรกายร้ายในตัว
และที่เมืองเล็กๆแห่งนั้น Cayden ก็ได้ค้นพบเรื่องราวของตัวเองที่เขาไม่รู้ และฝูงหมาป่าที่เห็นเขาเป็นศัตรูทันทีที่Caydenปรากฎตัว

เขียนเรื่องย่อเห่ยมาก เอาจริงๆคือถ้าจะเล่าก็แทบจะเฉลยเรื่องหมดเปลือกเลยทีเดียว

จะบอกว่าเป็นแอ็คชั่น-สยองขวัญ ก็ใช่น่ะนะ แต่เราไม่เห็นว่า "มนุษย์หมาป่า" จะเป็นแนวสยองขวัญเท่าไหร่ (อีนี่โรคจิตหรือเปล่า) มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนะ ออกแนว Underworld มากกว่า...เออ ใช่ แนวนี้เลย แค่มันมีแต่หมาป่าเท่านั้นแหละ

30นาทีแรกคือไม่ชอบเลย! เล่าเรื่องแย่มาก แต่พยายามทนดูเพราะเห็นว่ามันขมวดปมเป็นปริศนาเอาไว้ซะดิบดี (ดีจนต้องส่ายหัว) แต่สุดท้ายก็พอจะหายหงุดหงิดด้วยฉากแอ็คชั่นแบบมาตราฐานที่พบเห็นได้ตามหนังแนวนี้ ฉากบู๊ไม่สวยเท่า Underworld นะ ดิบเถื่อนกว่า อารมณ์เหมือนดู วูฟเวอรีน สู้ยิบตาใน X2 เมื่อปี2003 น่ะ ซึ่งก็คิดไม่ผิด เพราะอีตา David Hayter ผู้กำกับและคนเขียนบทเรื่องนี้ คือหนึ่งในทีมเขียนบท X-men สองภาคแรก แถมด้วย Watchmen กับ The Scorpion King อีก (ไม่แปลกใจเลยจริงๆ)

มุบมิบเม้ามอย: เห็นแว๊บๆว่าHayterได้กำกับ Black Widow ด้วยนะ

นอกเหนือบทแอ็คชั่นแบบคนกลายพันธุ์แล้ว เนื้อเรืื่องถือว่าไม่แย่อย่างที่พึ่งจะพูดถึงไป(อ้างถึง30นาทีแรก) แต่มันน่าเบื่อและหนีไม่พ้นเรื่อง การล้างแค้น พ่อๆแม่ๆ และเจอผู้หญิงที่เข้ากับสภาพผิดประหลาดของตัวเอง (เจอพวกเดียวกันเองนั่นแหละ)
อีกอย่างที่เริ่มเบื่อสำหรับหนังแนวนี้ก็คือ เพลงเฮวีฟเมทัลกระหนำกระหึ่มฉากแอ็คชั่น แทบอยากจะแหกปากกรีดร้องไปด้วยเลยทีเดียว /หัวเราะหึหึพลางส่ายหัว

อย่างเดียวที่ชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้คือมนุษย์หมาป่านี่แหละ เป็นจุดสำคัญที่ทำให้หยิบมาดู(ความชอบส่วนตัว) ตรงนี้ก็แอบผิดหวังนิดนึงที่มันก็ไม่ต่างกับเรื่องอื่นๆ ก็แค่รักษาบาดแผลได้ราวกับวูฟเวอรีน ลำบากกว่านิดหน่อยตรงต้องแปลงร่าง
ถ้าพูดถึงความคลาสสิกในบทหมาป่า เรื่องนี้แทบจะเรียกว่าไม่มี มันคิดจะเป็นมันก็เปลี่ยนกันกลางวันแสกๆ ไม่ต้องรอแสงจันทร์ เครืื่องเงินไม่กลัว ฆ่าได้ง่ายๆแค่โจมตีจุดสำคัญ
...เอิ่ม ฮัลโหล ความขลังของมนุษย์หมาป่าหายไปไหนนนน

เอาเถอะ คิดซะว่าดูหนังแอ็คชั่นเหนือมนุษย์เรื่องนึง อย่าได้หาความสนุกจากสัตว์ประหลาดประเภทมนุษย์หมาป่าเลย (ย้ำอยู่ตลอดตั้งแต่เขียนมาว่ามันสนุกแบบหนังมนุษย์กลายพันธุ์)

เออ อีกอย่างนึง เรื่่องมันคือหนีไปเมืองเล็กๆนะ แต่ดูไปดูมาเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนของหมาป่า ที่ไม่มีจริงในโลกนี้เลยแฮะ ทุกคนในเมืองเป็นหมาทำนองนั้น มีมนุษย์อยู่น้อยนิด ที่ตลกคือพระเอกหนีออกจากบ้านเพราะคดีฆาตกรรมพ่อแม่ ตำรวจตามจับ ข่าวโชว์หน้ามันทั่วไปหมด ตอนจบดันจะท่องโลกกับนางเอกซะงั้น
อื้ม...ดีจ้ะ โดนจับก็ฆ่าตำรวจเอาล่ะกัน ฮ่าๆๆ

บ่นล้วนๆเลย หาสาระไม่เจอ(ทุกทีก็ไม่มีสาระอยู่แล้ว)

สำหรับคนที่ชอบหนังแนว แอ็คชั่น เรื่องนี้อาจจะถูกใจอยู่นะ
ดูสบายๆไม่ต้องไปคิดอะไรเยอะ คิดเยอะแล้วจะไม่สนุก (นี่ก็พยายามไม่คิดแล้วนะแต่ก็อดไม่ได้)

เอาไป 6/10
สำหรับหนังแนวเดียวกันนะ