วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: The Cobbler (2014)

*สปอยเน้นๆ*
The Cobbler (2014)
Directed by Thomas McCarthy
Cast: Adam Sandler, Steve Buscemi, Ellen Barkin, Dan Stevens, Method Man and Dustin Hoffman

Max Simdin ช่างซ่อมรองเท้ามือเก๋าในนิวยอร์ก ชีวิตแสนน่าเบื่อและเรื่อยเปื่อยไปในแต่ละวันต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาพบว่าเครื่องเย็บรองเท้ารุ่นดึกที่พ่อทิ้งไว้ดันมีเวทมนต์! เมื่อเขาใส่รองเท้าที่เย็บโดยเครื่องนี้ เขาจะแปลงร่างกายเป็นเจ้าของรองเท้า เขาสามารถเป็นใครก็ได้และไปไหนก็ได้โดยไม่มีใครสงสัย
การสวมรอยเป็นคนอื่นและออกไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จึงเริ่มขึ้น

แค่เห็นหนัง Adam Sandler ก็เกือบจะไม่หยิบมาดูแล้วนะ หลังๆหนังเฮียแกไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ (ใครเป็นแฟนหนังเฮียก็ขออภัยนะคะ)

แต่เรื่องนี้เฮียแกไม่ได้สร้างน่ะสิ แถมคาแร็กเตอร์ยังไม่งี่เง่าด้วย เออนะ ลองดูซะหน่อย

แล้วก็ไม่ผิดหวัง หนังน่ารักทีเดียว เพ้อฝันเซอร์เรียลนิดๆ Heroicหน่อยๆ เน้นหนักความสัมพันธ์ครอบครัวทำนอง พ่อ-ลูก ...แถมยังให้อารมณ์เมืองนิวยอร์กได้อบอุ่นดี เกือบบบบ จะเหมือนอารมณ์ในหนัง Manhattan (1979, Woody Allen) ละ อีกนิ๊ดดด เดียว คือมันไม่ใช่หนังโรแมนติกน่ะ เลยไม่ได้ให้บรรยากาศชวนฝันของมหานครใหญ่ขนาดนั้น
แต่มันดูอบอุ่นแบบคนอยู่อาศัยมาเป็นชั่วอายุคนประมาณนึง ความขลังแบบแปลกๆของร้านทำรองเท้า หรือร้านตัดผมข้างๆ ดูอย่างกะย้อนไปหนังยุค70-80 ที่ไม่ได้เป็นขาวดำ(และเสื้อผ้าสมัยใหม่หน่อย) อย่างไรก็ดี มันนิวย๊อกกก นิวยอร์ก แบบสุดๆ (ที่พูดเนี่ยไม่รู้หรอกนะว่าบรรยากาศนิวยอร์กเป็นไง เทียบกับหนังเรื่องอื่นๆเอาน่ะ)

ซึ่งคิดๆดูแล้ว ไม่รู้จะหาได้ยังไงมุมสงบเรียบง่ายในเมืองใหญ่ขนาดนี้ (มันมีจริงๆมะ? อันนี้ไม่รู้) ขนาดกรุงเทพ...รู้นะว่าเทียบกันไม่ได้ แต่แค่นี้ยังหาความสงบลำบากเลย ชีวิตนิ่งๆ ในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลเนี่ยนะ? ชวนฝันได้อีก~

หนังเกือบจะเรียกว่าเงียบ เพลงประกอบไม่เด่น แต่มีส่วนให้ความเพลิดเพลินในแต่ละซีนแบบไม่รู้ตัว ทำนองเหมือนหนังตลกที่ใส่เพลงประกอบมาให้เห็นถึงความวุ่นวายที่ตัวละครกำลังทำ อะไรแบบนั้น
ภาพถือว่าสวยนะจะว่าไปแล้ว สวยแบบเมืองๆ ซีนสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนร่าง ก็ไม่หวือหวาด้วยเทคนิคประหลาดๆแต่เล่นมุมกล้องเอา เรียบง่ายดี
บทคือดีงาม เล่าเรื่องเร็วไม่ยืดเยื้อ พาเราไหลลื่นไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ แต่ไม่ทิ้งให้เคว้งจนเกินไปว่านี่เรื่องมันจะไปทางไหนเนี่ยย อะไรทำนองนั้น และการเดาเรื่องคือทำได้ยากมาก กว่าจะพอเดาได้คืออีก10วิหนังจะเฉลยแล้ว ฉากซึ้งระหว่างพ่อลูก/สามีภรรยาคือดี ตลกบ้างพอขำขัน อมยิ้มเบาๆ

เรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึง ระดับไหนกันแล้วล่ะคนพวกนี้ ยิ่งแต่ละซีนที่ Dustin Hoffman ออกมาคือขนลุกนะ ลุงแกยังเจ๋งอยู่จริงๆ ยิ่งรับบทเป็นพ่อผู้ดูแลลูกอยู่ห่างๆคือดีงามมากกก
สำหรับ Adam Sandler เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้น่าหงุดหงิด คาแร็กเตอร์เหมาะกับเฮียแกดี แทบจะเรียกว่าชอบบทนี้เลยแหละ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ที่น่าประหลาดใจคือทิศทางจบของหนังน่ะสิ
 (เอาละ สปอยละนะ เน้นๆเลยตรงนี้)
มันให้อารมณ์ดีๆเหมือนเดิมนะ ยังคงอบอุ่นแบบเมืองๆ จบน่ารักด้วยซ้ำ
แต่จากหนังเวทมนต์รองเท้าวิเศษ ความสัมพันธ์ครอบครัว มันกลายเป็นฮีโร่ย่านชุมชนไปได้!
คือมันเป็นผลพลอยได้ของการสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนหน้าไง แกจะเป็นใครก็ได้ทำอะไรก็ได้ถูกมั้ย
จะปล้นคนรวยเลวๆเพื่อเอามาให้คนที่ถูกกระทำ(เอานาฬิกาเรือนแพงระยับของสามีไปให้ภรรยาที่โดนซ้อม เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่)
การคลี่คลายปัญหาชุมชน เพื่อช่วยคนที่ไม่มีทางสู้(คนแก่โดนมาเฟียธุรกิจไล่ที่)
หรือจะเพื่อเอาใจสาว(สาวทำงานเพื่อสังคม คอยปกป้องคนแก่ที่โดนไล่ที่)

รองเท้าได้กลายเป็นหน้ากากซุปเปอร์ฮีโร่ไปแล้วจ้า ...เออนะ เข้าท่าดี
ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นคือการปิดเรื่องราวทั้งหมดแบบ...เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังเบื้องลึกมากกว่าแค่ รองเท้าวิเศษที่ตกทอดรุ่นสู่รุ่น มันมาเป็นชุมชนคอมมูนิตี้เลยนะแก ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนี้ที่ทำได้ไรแบบนั้น

แฟนซี เซอร์เรียล ฝุดๆ ไปเล๊ย
7/10 ละกันนะ
อย่างที่เห็นบ่อยๆ บ่นชอบๆๆ ชมๆๆ (ซึ่งการให้คะแนนไร้ซึ่งมาตราฐานสากลโดยสิ้นเชิง)
แต่ไม่พีคอ่ะค่ะ แถมลงท้ายเปลี่ยนแนวหนังด้วย(แม้จะแปลกดีแต่มันขัดมูดน่ะ)

1 ความคิดเห็น:

  1. ตอนสุดท้ายอดดู คือทำไมพ่อถึงทิ้งเมียกับลูกไป

    ตอบลบ