วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Pixels (2015)

*สปอยแน่ๆ ตรงไหนบ้างเดี๋ยวมีเตือน*
Pixels (2015)
Directed by Chris Columbus
Cast: Adam Sandler, Kevin James, Michelle Monaghan, Peter Dinklage, Josh Gad, Matt Lintz, Brian Cox and Sean Bean with Dan Aykroyd as 1982 Championship MC

หนังดัดแปลงมาจาก หนังสั้นชื่อเดียวกันของผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Patrick Jean เมื่อปี2010
ว่าด้วยเรื่องราวของเอเลี่ยนที่ได้รับสารผิดๆจากโลกมนุษย์และเข้าใจว่าพวกมันจะถูกมนุษย์โจมตีด้วยแพทเทิร์นของวิดีโอเกม เอเลี่ยนจึงส่งทหารมาบุกโลกในรูปแบบตู้เกมอาเขต(ที่ศัพท์จริงๆมันคือ Classic Arcade Games) หรือก็คือไอ้เกมที่มนุษย์ส่งไปนั่นแหละ กองทัพตัวละครเกม8บิท จึงแห่กันมากินตึกรามบ้านช่องให้กลายเป็นกล่อง8บิทเกลื่อนเมืองไปหมด
แต่เมื่อตอบโต้กลับมาในรูปแบบเกมที่มีแพทเทิร์น ผู้ที่จะรับมือกับพวกมันได้ก็มีเพียงเซียนเกมตู้สุดเก๋ายุค80เท่านั้นที่จะรู้ทันเกมของเอเลี่ยน และคนกลุ่มนั้นก็คือ แซม เบรนเนอร์ (อดัม แซนด์เลอร์) และ เดอะแก๊งสุดเนิร์ด ที่ต่างก็เคยร่วมชะตากรรมกันมาแล้วในการแข่งขันชิงแชมป์วิดีโอเกมมาก่อน
งานนี้แก๊งเกรียนเกมจะกู้โลกไว้ได้หรือไม่!!

ไปดูกันเอง ฮ่าาาาๆๆๆๆๆๆ (ได้อยู่แล้วแหละแหม)

คำเตือน: นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคนที่ไม่ได้เป็นแฟนหนัง อดัม แซนด์เลอร์ แต่ก็ดูทุกเรื่องแบบมีชอบมีเกลียด ส่วนใหญ่ชอบเพราะหนังเฮียแกเบาสมองดี ไม่ต้องคิดเยอะ และบางเรื่องก็ซึ่งกินใจในระดับพ้องเพื่อนและครอบครัวดี / อีกอย่างคือเคยเป็นหนึ่งกลุ่มบ้าเกมพวกนี้ เล่นมาหมดแล้ว

เข้าเรื่องกันดีกว่า

ก่อนจะได้ดู ได้ยินคำวิจารณ์จากฝรั่งว่าแบบ หนังแย่ เอาเกมอาเขตมาใช้ได้ห่วยแตก คะแนนวิจารณ์ก็ย่ำแย่ต่ำเตี้ยเหลือเกิน
แต่คิดว่าน่าจะเพราะส่วนใหญ่คาดหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้เยอะนะ มันโฆษณาหน้าหนังแบบ แอ็คชั่น-ไซไฟ เกม8บิทบุกโลก ต้องสู้แบบที่เราเล่นเกมผ่านด่าน! อะไรแบบนั้น หรือไม่ก็คิดว่า อดัม แซนด์เลอร์ น่าจะเปลี่ยนแนวแล้วเวิร์ค ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เวิร์คเท่าไหร่ มันก็หนังแนวเดิมแกนั่นแหละ แค่มีแนวคิดต่างจากเดิมหน่อยนึง
จริงๆก็คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรเยอะแยะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำใจตั้งแต่เห็นว่าเป็นหนังของ อดัม แซนด์เลอร์ แล้ว เลยลดระดับลงมาในเชิงเปรียบเทียบกับเฉพาะในหมู่หนังตลกอารมณ์ดี ที่พยายามเอาแนวอื่นมาผสมให้มันน่าสนใจ

อันนี้เราว่า เบน สติลเลอร์ ทำได้ดีกว่า สองคนนี้หนังมาแนวเดียวกันเลย แต่เบนเหนือชั้นกว่าเยอะ ตลกฟืดไม่เยอะเท่าอดัมด้วย บางเรื่องของเฮียอดัมแบบ...มุกนี้เลิกเล่นเถอะนะ อื้ม...

เพราะงั้น แนะนำนิดนึง อย่าไปคาดหวังอะไร ดูๆสนุกๆ หัวเราะมุกตลก แอ็คชั่นพองาม แล้วก็พักหายใจดูมันคุยกัน จีบกัน ตลกใส่กัน นิดหน่อย แล้วค่อยสู้ต่อ ตามนั้นเลยแหละ จ้ะ

คอหนังบ้าพลัง แนะนำให้ไปดูแบบ The Man from U.N.C.L.E. / ปรสิต 2 / Exeter(อีหนังผี ที่ชื่อไทยว่า อย่าให้นรกสิง อ่ะ) หรือแบบ Hitman: Agent 47 โรงข้างๆไรงี้ อาจจะถูกใจกว่า

ยังไงก็เถอะ กลับมาที่ตัวหนัง (อย่างที่เตือนไว้ข้างต้นเลยนะ)
เราว่า Pixels เป็นหนังที่ดูได้ ดูดี ทุกคนเข้าใจ ยิ่งถ้าเคยเล่นเกมเหล่านี้มาก่อนจะรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ ก็น่าจะคล้ายๆกับที่ได้ดู Wreck-It Ralph (2012) ที่สร้างให้พวกตัวละครพวกนี้มันมีชีวิตในโลกของมัน และมีจิตใจนึกคิดเช่นเดียวกับเรานั่นแหละ แต่สังเกตมั้ยว่า คิวเบิร์ต(อีตัวส้มๆมีงวงกระโดดดึ๋งๆ) มักเป็นมิตรตลอด ทั้งสองเรื่องเลย เรื่องนี้ข้ามขั้นระดับเป็นคู่ของตัวเอกเลยนะโว้ย! (อย่างงค่ะ ไปดูนะ แล้วจะเก๊ตว่าฉันหมายถึงอะไร) ในขณะที่เรื่องนี้แพกแมนเป็นตัวร้าย แต่ Wreck-It Ralph แพกแมน เป็นไฮโซนะคะคุณ ฮ่าๆๆๆๆ

ก็ไม่รู้นะว่าคนที่คุ้นเคยกับเกมพวกนี้จะรู้สึกเหมือนเรามั้ย แต่เรารู้สึกแบบนั้น อาจจะเพราะอย่างนึงคือเราก็เล่นเกมพวกนี้บ่อยอยู่(ไม่ทันตู้เกมอาเขตหรอก เล่นตอนมันรวมเป็นเกมตลับแล้วไรแบบนั้น...นี่ก็บอกอายุมิใช่น้อยเลย...) ซึ่งเอาจริงๆเราก็มีความคิดที่แบบ จะเป็นยังไงถ้าเราเป็นคนถือปืนแล้วไล่ยิงตะขาบชนเห็ด เซนติพีค หรือแบบไล่ยิ่ง กาลาก้า (อันนี้เป็นเกมโปรดเลย กับอีกอันนึง สเปซ อินเวเดอร์ส อันนี้สนุกมากกก มันส์เวอร์ ตัวเกมออกมาพร้อมๆกับ กาแล็คเซี่ยน ซึ่งเป็นภาคแรกของ กาลาก้า เลยนะ แต่เราว่า สเปซ อินเวเดอร์ส สนุกกว่าเยอะ)
ตรงนี้เราพอเข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อ(ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันสื่อมั้ย) การเอาตัวละครมาสู้กับเกมจริงๆอย่างกับฝันเกรียนตู้เกมอาเขตเป็นจริง(หรอ? ฮ่าๆๆ) คือดีงามอยู่นะ ท่าทางของตัวละครมันดูให้ความรู้สึกแบบ สนุกอ่ะ ได้ไล่ยิงไอ้ตัวพวกนี้ อันนี้ขอชมว่าหนังทำได้ดี (ปรบมือค่ะ ปรบมือ!)
โดยเฉพาะเวลาสิ่งของที่โดนกินโดนยิงละกลายเป็นกล่อง8บิท เราว่าเจ๋งดีนะ สำหรับหนังระดับนี้ << ซึ่งถ้าจะชมเรื่องวิธีทำลายล้างจนกลายเป็น8บิท น่าจะต้องไปชมคนทำหนังสั้นด้วย

อีกสิ่งนึงที่เห็นและรู้สึกดีพร้อมๆกับขัดใจคือ (อันนี้มีสปอยละนะ)
การถ่ายมุมเสยใส่ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ คือช้อนตัวพี่แกจนดูใหญ่ยักษ์มีอำนาจสุดฤทธิ์ ยิ่งใหญ่อลังการมาก ทั้งที่พี่แกตัวแค่เอวของนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งเราว่าดีตรงที่ทำให้เขาดูราวกับไซส์เท่าคนอื่นดี แต่อีกแง่นึงเราว่ามันดูแบบเฉพาะเจาะจงเกินไป (สปอยละนะ>>) แต่ก็อาจจะเพราะการวางตัวละครไว้ให้อีโก้สูงงงงมาก พอโดนจับได้ว่าโกง มุมภาพเหมือนจะแปลกไป ขนาดลูกนางเอกที่เป็นเด็กผอมแห้งยังดูน่าเคารพกว่าคนขี้โกงทำนองนั้น ไม่แน่ว่าอันนี้เราอาจจะคิดไปเอง แต่เรารู้สึกงี้นะตอนที่ดู
ก็ดูจะเป็นผลดีต่อตัวละครดี ไม่นึกว่าจะมีความซับซ่อนในงานทำนองนี้ของเฮียอดัม(ที่จงใจจะซับซ่อนเปล่าก็ไม่ทราบ)

อ้อ แล้วเมื่อคราวๆวันก่อนมั้ง เห็นมีข่าวบ่นว่าหนังซัมเมอร์ปีนี้ไม่มีซีนโรแมนติก หรือไดนามิกระหว่างตัวละครเลย เรื่องนี้มีนะจ๊ะ พระนางมุ้งมิ้งกันดีจริงๆ แต่ก็ตามประสา อดัม แซนด์เลอร์ แหละ กัดกันไปกัดกันมา กว่าจะรักกันต้องโชว์ฟอร์มฮีโร่ให้ประทับใจ หยอดคำหวานกึ่งตลกแบบหนุ่มหัวไข่อารมณ์ดี (แฟนๆน่าจะรู้ว่าเฮียอดัมแกเป็น พระเอกหัวไข่ ฮ่าๆๆๆ)

มิเชล โมนาแกน เรื่องนี้น่ารัก นางผอมลงเยอะเลย แต่เก๋ดี ดูเหมาะกับบทบาท
ใครจะนึกว่า เควิน เจมส์ จะเป็นประธานาธิบดีได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือก็โอเคนะ ดูเท่ดี บทนี้พี่แกหล่อ
ส่วน จอร์ช แกด คือขโมยซีนบ่อยนะ บ่อยมาก บทเด่นสุดๆ เกือบจะเด่นกว่าตัวเอกแล้ว ไม่แปลกใจที่จะได้บทตัวละครสุดหน้าด้านประจำหนังเฮียอดัม (หนังเก่าๆก่อนหน้านี้ บทหน้าด้านเหลือใครเกินส่วนใหญ่มักจะเป็น ร็อบ ชไนเดอร์ ไม่ก็ สตีฟ บูสเซมี่)
อื่นๆก็เฉยๆ ดาราไม่ได้เซอร์ไพรส์เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามี (ไม่มีก็ไม่ใช่หนังอดัมเนอะ)

สรุป!!!
หนังสนุกดีในระดับดูเพื่อความบันเทิง เนื้อเรื่องลื่นๆไปเรื่อยๆ ไม่ได้หักมุมหวือหวาอะไร พอเดาได้ แต่ส่วนใหญ่ขำจนลืมว่าต้องเดาอะไร ฮ่าๆๆๆ
นั่นเท่ากับว่ามุกตลกเรื่องนี้ใช้ได้ทีเดียว มีสาระ จิกกัดขำๆคันๆ ยังไม่ทิ้งลายอเมริกันฮีโร่(ออฟ เดอะ เวิลด์ เลยทีเดียว)
งานภาพจัดว่าโอเคนะ เพลงเพราะดี พวกเพลงประกอบเก่าๆเข้ายุค80 อย่างกับเข้าร้านตู้เกมอาเขตแล้วเปิดเพลงไปพลางๆ (ไม่ได้รู้หรอก พระเอกมันพูด ฮ่าๆๆ)

รวมๆก็...
8/10
ละกัน อยู่ในระดับที่ค่อนข้างชอบ
ให้เยอะเพราะหนังแก้เครียดดี แต่ไม่เต็มและไม่9 เพราะไม่พีคขนาดนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Dark Places (2015)

*สปอยแรงๆ*
Dark Places (2015)
Directed by Gilles Paquet-Brenner
Cast: Charlize Theron, Nicholas Hoult, Christina Hendricks, Corey Stoll, Tye Sheridan and Chloe Grace Moretz

นิยายของ Gillian Flynn ผู้แต่ง Gone Girl (เรื่องนี้นางเขียนบทด้วย)

คดีสะเทือนขวัญฆ่ายกครอบครัวเมื่อ25ปีก่อนยังคงหลอกหลอน Libby Day พยานเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในคืนนั้น และก็เป็นเธอนั่นแหละที่ให้การว่าพี่ชายของเธอ Ben Day คือฆาตกรผู้ฆ่าแม่และพี่น้องคนอื่น ทว่าเมื่อเธอได้ไปเข้าร่วมกลุ่มนักสืบอาสา The Kill Club ที่กำลังรื้อคดีนี้กันอีกครั้ง Libby กลับพบข้อสงสัยบางอย่างที่อาจเปลี่ยนเรื่องราวในอดีตไปโดยสิ้นเชิง

เล่าเรื่องเยอะก็จะไม่สนุก ไม่เล่าอะไรเลยก็จะงงกันเข้าไปใหญ่ ยิ่งตอนแรกยิ่งงงเลย ทำไมอีนี่ต้องอยากกลับไปรื้อคดีที่มันไม่อยากจำ อ๋อ นางจะเอาเงิน ฮ่าๆๆๆ

เดี๋ยวๆ...ไม่เกี่ยวละ

เข้าเรื่องที่จะบ่นดีกว่า
จริงๆชอบเรื่องนี้นะ ฉันว่าเนื้อหามันดูเดาง่ายกว่า Gone Girl ไม่เครียดเท่าไหร่
แต่ก็อย่างว่าแหละ เดาง่ายเกินไปก็กลายเป็นจุดด้อยของนิยายหรือหนังแนวๆนี้ เทียบชั้นกับ Gone Girl ลำบากทีเดียว ถ้าอยากจะสนุกกับเรื่องราว ไปอ่านนิยายดีกว่าดูหนังนะเรื่องนี้(พูดเหมือนอ่านแล้ว ยัง! ...แต่เดี๋ยวจะหามาอ่าน) เห็นชัดเลยว่าฝีมือ Gilles Paquet-Brenner สู้ David Fincher ไม่ได้จริงๆ คนละชั้นสุดๆ

เม้ามอย: พอดีวันก่อนไปเจอคลิปรวมผลงาน Fincher วิธีเล่าเรื่อง วิธีใช้มุมภาพ สไตล์การถ่ายทอดเรื่องราวภาพซีนพูดคุยแค่ซีนเดียว คือแบบ ทรงพลังอลังการมากกก (ตัวอย่างที่เขายกมาคือ Se7en, Girl with Dragon Tattoo, Social Network, Panic Room, Zodiac และ Benjamin Button ...งานเด่นๆงามๆทั้งนั้นเลย)

สรุปง่ายๆก็คือ Dark Places ฉบับหนัง สู้ Gone Girl ไม่ได้ทั้งความซับซ้อนของเรื่อง ความร้ายของตัวการหลัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาษาภาพยนตร์ คนละเรื่องกันเลยยยยยยยยยยย

แต่ก็อีกแหละ ถ้าให้ Fincher มากำกับ Dark Places ...คงไม่น่าจะดีนะ คิดว่าคงจะเครียดเกินไป Dark Places มันออกจะมีโมเม้นมุ้งมิ้งระหว่างพี่น้องเล็กน้อย ประเด็นที่เป็นจุดพีคก็เอามาเล่นได้ไม่เยอะเท่าอีกเรื่อง

ดังนั้นถ้าดูแบบไม่เปรียบเทียบงานก่อนหน้าอย่าง Gone Girl (มันแย่ตรงที่มีเรื่องก่อนหน้ามาให้เปรียบนี่แหละ)
Dark Places จัดว่าดีนะ โอเคทีเดียว ชอบ Charlize Theron บทนี้ นางเล่นเบาไปหน่อยไม่เหมือนงานก่อนๆ(เทียบอีกละ) แต่ก็โอเค เหมาะกับบุคลิกLibbyดี นางไม่ใช่พวกโวยวายเว่อวัง ดูจะเป็นทอมด้วยซ้ำ แต่หนังก็ไม่ได้พูดถึงรสนิยมทางเพศของนางขนาดนั้น ซึ่งดี โฟกัสแค่เรื่องคดีก็ดูจะลำบากละ

อีกนางที่ต้องชมคือหนู Chloe Grace Moretz นางเล่นดีนะเรื่องนี้ สวยร้ายโรคจิตนิดๆ แต่มีความเป็นมนุษย์(ที่เห็นแก่ตัว) มากเกินปกติมันเลยดูน่าตบเป็นพิเศษ (เอ๊ะ?)
Nicholas Hoult เรื่องนี้ไม่เด่นมาก แต่โผล่มาทีไรก็สู้กับ Charlize ได้สู่สีอยู่ แต่เห็นแล้วตลกๆอยู่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เจอกันใน Mad Max: Fury Road ละบทมันคนละเรื่องเลยน่ะ เลยแลดูแปลกๆ แต่ก็โอเค๊ (เสียงสูงไปมั้ย)

(ต่อจากนี้ อาจเผลอสปอยโดยไม่รู้ตัว ถ้าอ่านเจอขออภัย =/\=)

เอาละ มาถึงช่วง: ประโยคเด็ด คัดมาแล้ว!
"You don't know shit about what happened that night."

คือเป็นประโยคที่ทั้งนางเอก พี่ชาย และพ่อ มันพูด (คำที่ใช้ต่างกันเล็กน้อยตามสถานการณ์ มีเติม F. word บ้าง) แต่ที่ยกมาคือซีนที่นางเอกพูดตอนเจอกับ The Kill Club แล้วโดนบีบจากคนในคลับ ละนางเลยหันไปด่า แกไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกะคืนนั้น!! (แปลห่วยแตกมาก) คือ ก็ถูกของนาง ไม่มีใครรู้อะไรเลยเกี่ยวกับคืนนั้น ละคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น? จริงๆนางก็ไม่รู้ไง ฮ่าๆๆๆ
Libby ทำตัวเหมือนจะรู้ทุกอย่างดี สุดท้ายแล้วนางก็ไม่รู้ นี่ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนให้การคือนางอยู่ในอาการช็อค หรือว่าโดนใครบังคับให้พูดกล่าวหาพี่ชายตัวเอง เพราะท้ายที่สุด เหมือนพี่มันจะถูกตัดสินจากสังคมภายนอกมากกว่า จากบุคลิก ท่าทางเป็นตัวปัญหา มีหลักฐานว่าบูชาซาตาน อาจติดยาด้วย มีข่าวลือลวนลามเด็กอีก สรุปคือพี่มันโดนใส่ร้ายจากสังคมจนนางเอกให้การแบบนั้นออกไป หรือนางเอกมันช็อคและรวบรวมข้อมูลที่พี่มันโดนป้ายสีจนให้การว่าพี่เป็นคนทำ?
สืบไปสืบมา ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นจริงๆ ยกเว้นพี่ชายนาง และพยานปากสำคัญอีกรายนึงที่ไม่ใช่ Libby ...อันแน่ อันนี้ไปดูกันเองนะ ฮ่าาๆๆๆ 

คือสรุปแล้ว ถ้าฉันเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆนางตอนจบนะ ฉันนี่แหละจะตะโกนใส่หน้านาง
"YOU DON'T KNOW SHIT ABOUT WHAT HAPPENED THAT NIGHT!!!"
(...ถ้าแกจะตะโกนตัวหนาขนาดนี้...)
ความน่ารักของพี่มันคือ ยังไงพี่ก็เป็นพี่ Libby คือครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ ยังไงก็ต้องรักกันไว้ ไม่ว่าสิ่งดีหรือสิ่งร้ายจะเกิดขึ้นก็ตาม

สุดท้าย!
เนื้อเรื่องสนุกดี นักแสดงแจ่ม
บทเริดอยู่ คำพูดซ่อนเงื่อนตามสไตล์คนแต่ง ชอบตรงนี้ (คนแต่งมาจัดการเองขนาดนี้แล้วนี่นะ)
ติดตรงสไตล์หนังมันทริลเลอร์บ้านๆเกินไป ไม่ลุ้นไม่มันส์ (แกต้องการอะไรจากหนังละ) 

ก็ดูแบบไม่คาดหวังอะไรเยอะนะ
8/10
จัดว่าชอบ ถ้าคาดหวังมากระดับต้องการความพีคของหนัง
คะแนนอาจจะดรอปลงไปอีก2แต้ม