ช่วงเวลาวันหยุดแบบนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ
ปกติงานที่ทำต่อให้เป็นวันหยุดก็ต้องหนังเขียนงาน ส่วนใหญ่เลยหมกตัวอยู่บ้านพยายามไม่ออกไปไหน อย่างมากอาจจะแบกคอมไปนั่งตามร้านกาแฟ (แต่เมื่อเงินเหลือน้อยก็ไม่ทำ ฮ่าๆๆ)วันนี้เป็นวันหยุดแบบที่ไม่ต้องเร่งรีบเขียนงานอะไรให้ทันเวลา (จริงๆคือเขียนไปแล้วเสร็จแล้วนั่นเอง)
โอกาสดีๆแบบนี้เข้ากับหนังใหม่ที่อยากดูเข้าแบบชนโรงพร้อมกันสองเรื่อง ฉะนั้นอีนี่จึงไม่พลาดโอกาส ติดสอยห้อยตามแม่มาแต่เช้า หาร้านนั่งรอเวลาดูหนังไปชิลๆ!!
ใช่แล้ว หนังสองเรื่องวันนี้ก็คือ Cafe Society ของลุง Woody Allen กับ A Bigger Splash หนังที่เห็นงานภาพสวยตั้งแต่ปล่อยภาพแรก ไปจนถึงตัวอย่างแรก และดึงดูดความสนใจให้อยากดูเพราะดาราอย่าง Ralph Fiennes, Tidla Swinton และแน่นอน Dakota Johnson คนโปรดของฉันนนน (รักนางมากจากเรื่อง Goats ตามมาตลอดจนดังใน Fifty Shades of Grey นี่แหละ)
เพราะงั้นบล็อกนี้จึงจะบ่นถึงหนังทั้งสองเรื่อง เนื่องในโอกาสวันหยุดพิเศษกันไปซะเลยยยยย
ใครสนใจแค่เรื่องไหนก็เลื่อนๆเลือกๆเอานะ
*จะพยายามไม่สปอย ทั้งสองเรื่องเลย*
มีเรื่องขำๆก่อนได้ดู Cafe Society นิดนึง
คือไปดูโรง สกาล่า (นึกบรรยากาศนะ) แล้วมันก็มีตัวอย่างฉายแบบจัดเต็มต่อกันหลายๆเรื่องถูกมะ ก็มีตัวอย่าง Light Out ซึ่งจะเข้าสัปดาห์ถัดไป คือแค่ตัวอย่างปกติในจอคอมก็สยองแล้ว นี่ได้ดูในโรง บรื้อออ
และตอนที่หนังจะเริ่ม ไฟก็หลีดลง ไตเติ้ลขึ้น เพลงหนังลุงอัลเลนขึ้น
จู่ๆไฟทั้งโรงหนังก็สว่างพรึบ! ขึ้นมา... แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว...
นี่ถ้ามาดู Light Out จะหลอนจนดูหนังไม่ได้เลยนะ ฮ่าาๆๆๆๆ
Directed by Woody Allen
Cast: Jeannie Berlin, Steve Carell, Jesse Eisenberg, Blake Lively, Parker Posey, Kristen Stewart, Corey Stoll and Ken Stott
เรื่องราวของ บ๊อบบี้ (Jesse Eisenberg) ผู้เบื่อชีวิตในนิวยอร์กและไม่อยากสานต่อกิจการครอบครัวของพ่อเพราะมันน่าเบื่อเกินไป เลยหอบข้าวของออกจากบ้านบินข้ามประเทศไปยังฮอลลีวู้ดเพื่อร่วมงานกับ น้าชาย ฟีล สเติร์น (Steve Carell) ผู้ทรงอำนาจในวงการจอเงิน แต่แล้วบ๊อบบี้ก็ตกหลุมรักเข้ากับเลขาสาวของฟีล อย่าง วอนนี่ (Kristen Stewart) แต่เมื่อรักไม่สมหวัง บ๊อบบี้จึงบินกลับไปนิวยอร์กเพื่อช่วยกิจการไนท์คลับเปิดใหม่ของพี่ชาย และปลุกปันจนมันกลายเป็นสถานที่สังสรรค์ของไฮโซชั้นสูงในชื่อ Cafe Society
รอคอยเรื่องนี้มาตั้งแต่ประกาศนักแสดง คือจริงๆแล้วตามหนังลุงอัลเลนอยู่ ดูทุกเรื่องของลุงแกอยู่แล้วและแน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่พลาดเช่นกัน
สไตล์หนังก็เหมือนทุกทีบรรยากาศโรแมนติก-คอมเมดี้มาเต็ม ตลกร้ายเช่นเคย ย้อนยุคเช่นเคย(ดูลุงแก่หมกมุ่นกับช่วงเวลาในอดีตที่ทุกอย่างต้องใช้การรอคอย ไม่ใช่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้) พูดถึงความสัมพันธ์ชู้สาวฉาวไปทั่วเหมือนเคย(แต่รอบนี้ดูเบาๆไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายจนน่าปวดหัว)
และอีกอย่างที่เหมือนเดิมคือคาแร็กเตอร์ของตัวละคร โดยเฉพาะตัวเดินเรื่อง ถ้าเป็นสมัยที่ลุงแกยังอายุไม่ใช่เลข80น่ะนะ เชื่อว่าบทของ บ็อบบี้ จะต้องเป็นลุงแน่นอนที่เล่นบทนี้ แต่สำหรับ Jesse Eisenberg ก็ถือว่าดี จริงๆแล้วเหมือนเป็นร่างจำลองของลุงอัลเลนด้วยซ้ำ คือบุคลิกใช่มาก แค่หน้าตาดูร้ายกว่านิดหน่อย (อาจจะติดภาพเวลาทำหน้านิ่งๆเป็นตัวร้ายใน Batman v Superman หรือไม่ก็เรื่อง The Double ที่ดาร์กเหลือเกิน) ซึ่งนับว่าเรื่องนี้เจสซี่เล่นดีนะ ดีมาก เวลายิงมุกจีบหญิงนี่ยังรู้สึกเขินปนขำหน่อยๆเลย
และเช่นเคยอีกเหมือนกัน เพลงเพราะมากกก แจ๊สเต็มสตีม เข้ากับบรรยากาศ แอล.เอ. และ นิวยอร์ก ได้แบบชวนฝัน อย่างกับหลงไปอยู่ในคลับ Cafe Society ในหนังจริงๆเลย (นี่ก็เว่อร์ไป) แต่หนังของ วู้ดดี้ อัลเลน มีมนต์เสน่ห์แบบนี้จริงๆนะ มันให้อารมณ์เหมือนเราได้ไปเดินในนิวยอร์กจริงๆ ลองไปสัมผัสได้จาก Manhattan (1979) กับ Annie Hall (1977) ดูสิ มันเคลิ้มมากเลยนะ เคยถามพ่อด้วยว่ารู้สึกแบบเดียวกันนี้มั้ยเวลาดูสองเรื่องนี้ (พ่อเคยอยู่นิวยอร์กในปีไล่ๆกับหนังของอัลเลนมาก่อน) พ่อบอกว่ามันก็รู้สึกแหละ ในหลายๆซีน แต่ไม่ชอบหนังวู้ดดี้เลยไม่เคยทนดูจนจบ... โอเค๊ ฮ่าาๆๆ (เคยบังคัญให้ดู Midnight in Paris ด้วยนะ นางชอบนะ)
อย่างนึงที่รู้สึกขัดเขินแบบแปลกๆกับหนังเรื่องนี้คือบทของ Kristen Stewart นางแมนเกินกว่าจะเป็นนางเอกหนังหวานสไตล์นี้ ตอนแต่งหญิงจัดๆมีขนเฟอร์บนไหล่ไรงี้ เลยแบบ...อื้มมม ดูไม่เข้าอย่างแรง แต่จริงๆในความที่มันดูไม่เข้ามันก็เป็นประโยชน์นะ คือเพราะบุคลิกของเธอ ในบท วอนนี่ มันไม่เข้ากับการอยู่ในสังคมแบบนี้นั่นแหละ ง่ายๆคือนางเหมาะที่จะคบกับพระเอกมากกว่า แต่ก็อีกแหละ หนัง วู้ดดี้ อัลเลน ซะอย่าง ไม่มีความว่าสมหวังรักหวานชั่วนิรันดรตลอดกาล คือถ้าไม่ตาย ไม่นอกใจ ก็ต้องมีฝ่ายนึงหมดรักไปซะดื้อๆ
ซึ่งเราชอบคอนเซปของเรื่องนี้คือ ที่ว่า "ความฝันก็คือความฝัน" (ไม่รู้แปลถูกมั้ย จำไม่ได้ว่ามันพูดไรแบบเป๊ะๆ) คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต สิ่งที่เราฝันหวานถึงและรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็ได้แต่ฝันนั่นแหละ เหมือนกับความสัมพันธ์ของคู่พระนางในเรื่องนี้ นางรักกัน นางหลงกัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่ฝันกันต่อไป
และเราคิดว่าใจจริงลึกๆแล้ว ทั้งสองคนก็ตัดใจที่จะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปอยู่ด้วยกันเงียบๆตามที่ฝันไว้ไม่ได้หรอก แบบ...ลึกๆแล้วนางเอกมันก็ฝันอยากจะมีหน้ามีตาในสังคม(ความฝันที่สาวส่วนใหญ่ไปแอลเอ.นั่นแหละ) ส่วนพระเอกก็มีความหวังลึกๆว่าจะสร้างตัวให้ยิ่งใหญ่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร(หลังจากโดนน้าฟีลไม่ให้ความสำคัญไปถึง3สัปดาห์กว่าจะได้เจอตัว ฮ่าาๆๆ)
ไปๆมาๆ มันเหมือนกับจะบอกว่า ถ้าฝันที่จะเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทอง มันง่ายกว่าที่จะฝันถึงความสัมพันธ์แสนหวาน...ซึ่งไม่มีวันเป็นจริงได้แน่นอน ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตาม...
อือหื้อออออ จี๊ดดดด มากกกกก
โอเค กลับมาที่ตัวหนัง
รวมๆแล้ว หนังสวยตามสไตล์ หวานฟุ้งพองาม ตลกร้ายเฮฮาบางซีนพอควร
ดนตรีประกอบดีตามท้องเรื่อง นักแสดงดีงามทุกบทบาท
สรุป
9/10
อย่างที่บอก หนังสวย งานลุงอัลเลน ดีงามหมดแหละ แต่ไม่พีคเท่างานบางเรื่องของลุงแก
-------------------------------------------------------------
จบไปแล้วหนึ่งเรื่อง เดินออกจากโรงสกาล่า รีบเดินจ้ำอ้าวยาวๆไปลิโด้โดยไวในรอบถัดไป
(ซึ่งมีเวลา ห่างกันให้พักหายใจแค่ 10 นาทีเท่านั้น)
และก็อีกแล้ว เข้าโรงมาทันดูตัวอย่าง Light Out อีกแล้ว...
โอเค ถ้าจะตามหลอนขนาดนี้ เดี๋ยวดูแกเป็นเรื่องถัดไปก็ได้!!!
Directed by Luca Guadagnino
Cast: Tilda Swinton, Ralph Fiennes, Matthias Schoenaerts and Dakota Johnson
ช่วงเวลาพักร้อนของร็อกสตาร์ชื่อดัง แมร์รีแอนน์ เลน (Tilda Swinton) และแฟนหนุ่มนักทำหนัง พอล (Matthias Schoenaerts) บนเกาะสวรรค์ที่อิตาลีต้องพังทลายไปในพริบตาเมื่อ โปรดิวเซอร์และอดีตคนรัก แฮร์รี่ (Ralph Fiennes) ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการบินมาหาเธอถึงที่พร้อมลูกสาวของเขา เพเนโลปี (Dakota Johnson) ไม่ช้าความหรรษาบนเกาะสวรรค์ก็กลายเป็นหายนะแรงหึง
(คือหนังมันปี2015เพราะฉายตามเทศกาลมาตั้งแต่ปลายปีโน้น ฉายจริงปี2016)
เอาจริงๆเรื่องย่อมันไม่ค่อยมีอะไรหรอก ก็แค่...คู่รักสองคนพักผ่อนอยู่ แล้วรักเก่าก็บินมาเซอร์ไพรส์พร้อมหอบลูกสาวที่เพิ่งรู้จักเมื่อไม่นานมาด้วย แล้วคิดสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ... รักเก่ามาเจอกัน กับปล่อยให้เด็กวัยรุ่นมาเจอหนุ่มเสน่ห์แรง งานนี้ก็มีฟีเจอริ่งข้ามคู่กันสิคะที่รัก ถามได้
แต่ด้วยความธรรมดาของเนื้อเรื่อง สิ่งที่ทำให้ A Bigger Splash โดดเด่นคืองานภาพ งานตัดต่อ และวิธีที่ความลับค่อยๆเผยตัว
คืองานภาพมันสวยยยยย ซะจนแบบ อือหื้อออ อยากไปเที่ยวแบบนี้บ้าง ใช้ชีวิตชิลๆบนเกาะ จะลงน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ จะขับรถเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ ฟินอะไรปานนี้ แต่ฟีลลิ่งสวยๆงามๆ ก็อยู่ได้แค่ครึ่งเรื่องเท่านั้น เมื่อทิศทางของเรื่องมุ่งไปในอารมณ์ดราม่าเข้มข้น ความสวยงามของแสงแดดมันหายไปซะเฉยๆ(ทั้งที่มันก็แสงแดดเดียวกันนั่นแหละ) จนกลายเป็นความรำคาญไปในพริบตา แบบ แดดและแยงตาไปไหน บรรยากาศเครียดได้อีก
คืออารมณ์ของหนังมันไปตามสภาพอากาศของหนังจริงๆนะ แบ่งออกเป็น แสงแดดเกาะสวรรค์แสนรื่นรม ก็รื่นเริงและหรรษากันไปในทีแรก ต่อด้วยลมแรงฝุนตลบที่เป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องราวมันเริ่มจะยุ่งขึ้นเรื่อยๆละ แล้วจู่ๆฝนฟ้าพายุก็เข้าตอนที่เรื่องราวมันพีคสุดขีดในช่วงท้ายของหนัง ง่ายๆตามภาษาภาพยนตร์ มันก็คือครบรสทั้ง3องค์นั่นแหละ แต่ที่ชอบคือหนังใช้สภาพอากาศสภาพแวดล้อมของเกาะได้สวยงามมาก และเมื่อบวกกับวิธีตัดต่อของหนังที่เป็นจั้มป์คัต กับดนตรีประกอบแบบแปลกๆ(แบบจำแนวเพลงไม่ได้ รู้แต่ว่าแปลกและให้อารมณ์เหมือนหนังลี้ลับมากกว่า) ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องเลยดูโดดเด่นขึ้นมาและเบียงเบนความสนใจเราจนลืมที่จะนึกและเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
อีกอย่างที่โดดเด่นสุดๆคือตัวละคร
แฮร์รี่ บทของเฮียราล์ฟ เป็นบทที่พูดมากกกก ชิหายเลย คือพูดจนรู้สึกรำคาญแทน แอบหลุดๆหน่อยนึงด้วยว่าแบบมันพูดบ้าอะไรของมันว่ะ คือเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่รู้สึกได้ว่าน่าจะมีบทให้อ่านเกือบครึ่งนึงของบทหนังทั้งหมด ในฉากที่ไม่มีพี่แกอยู่คือรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเงียบเหงา ความวังเวง
ขณะเดียวกัน ตัวละครของเจ๊ทิลด้า กับแฟนหนุ่ม (อีตา Matthias Schoenaerts) ดูมีอะไรอยากจะพูดตลอดเวลา แต่พวกเขากลับสื่อสารกันด้วยท่าทาง (เจ๊ทิลด้าแทบพูดไม่ได้ทั้งเรื่องเพราะในเรื่องคือแกผ่าตัดคอมา) ซึ่งดูเข้าใจกันดีทุกๆอย่างตั้งแต่ส่งสายตา หัวเราะ ร้องไห้
ส่วนตัวละครของดาโกต้า ก็เป็นอะไรที่โนแคร์โนสนมาก ใครจะทำไรก็ทำ ฉันไม่สนและฉันจะคอยสังเกตการณ์อย่างเดียว ดูทุกคนพยายามดิ้นรนสื่อสารกัน และเมื่อถึงเวลาที่นางอยากได้อะไรสักอย่าง (ในที่นี่ก็คือปู้ชาย) นางก็ต้องได้ ยั่วสุดตัวมาก
ซึ่งอยากจะบอกสำหรับใครที่เจอโฆษณาโปรโมทว่า เรื่องนี้ดาโกต้าจัดเปลือยจัดแซ่บร้อนแรงกว่า Fifty Shades ขอบอกว่าผิด นางเปลือยจริง แต่มันไม่ได้ร้อนแรงขนาดนั้น คือมันเซ็กซี่แต่มันออกแนววาบหวิว เหมือนงานอาร์ต ที่ดูๆแล้วเหมือนเราจะเห็นทุกอย่าง แต่เอะมันก็ไม่ได้เห็นอะไรขนาดนั้น (ผิดกับ Fifty ที่หลายๆซีนคือเน้นเหลือเกิน ก็ต่างจุดประสงค์กันนี่นะ) ฉากโป้เปลือยของหนังเรื่องนี้อยากจะบอกว่าสวยมาก ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด
รวมๆแล้วก็ดีงามทุกอย่างเลยนั่นแหละ
คิดไปคิดมาแล้วก็...
10/10 ไปเลยละกัน ไม่คิดเยอะ
คือหนังสวยมาก เทคนิคดีมาก นักแสดงก็ดีงามมาก คือสมใจอยากมากที่ได้เห็น 4 คนนี้แสดงด้วยกัน
พีคมั้ย ไม่พีค แต่ดี เรื่อยๆดี แจ่มดี
ไม่ได้ลำเอียงว่านี่เป็นหนังของดาราโปรดเลยนะ ไม่เล๊ย!!
หนังดีจริงนะจะบอก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น