วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดูแล้วบ่น: The 9th Life of Louis Drax (2016)

*สปอยนิดหน่อย*

The 9th Life of Louis Drax (2016)
Directed by Alexandre Aja
Cast: Jamie Dornan, Aiden Longworth, Sarah Gadon, Aaron Paul and Oliver Platt

เรื่องราวของ หลุยส์ แดร็กซ์ เด็กน้อยวัย 9 ขวบที่เจอแต่อุบัติเหตุร้ายแรงจนเกือบคร่าชีวิตเขามาไม่รู้กี่หนต่อกี่หน คราวนี้เหตุการณ์รุนแรงขนาดส่งเขาให้นอนนิ่งอยู่ในอาการโคม่า จนคุณหมอ อัลลัน พัสเซล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอาการโคม่าต้องยื่นมาเข้ามาช่วย แต่ไม่ช้า หมอพัสเซล ก็พบเจอกับเหตุการณ์ประหลาดในเชิงสัมผัสที่6 ที่ทดสอบขอบเขตความเชื่อของเขาระหว่าง โลกแฟนตาซี กับ โลกแห่งความจริง ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวเนื่องมาจากเคสของหนูน้อย หลุยส์ แดร็กซ์ ทั้งสิ้น

บอกเลยว่าดูเพราะ เจมี่ กับ แอรอน ฮ่าๆๆๆๆ

หนังสร้างจากนิยายชื่อเดียวกันของ Liz Jensen ซึ่งคิดว่าตัวหนังสืออาจจะสนุกกว่านี้ เรื่องการแฟนตาซีถึงระหว่างภพที่เด็กหลุดไปอยู่ตอนกำลังโคม่า
แต่ถ้าในเรื่องของการไขคดี ปริศนาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นอะไรแบบนั้น หนังทำออกมาได้ดีทีเดียว เหวอนิดหน่อยพอประมาณในเรื่องของบทสรุปรูปคดี แต่ก็ไม่ผลิกล็อกอะไรขนาดนั้น

นี่แปลกใจมากว่า อเล็กซานเดร อาจา ทำหนังแนวนี้ได้ด้วย มันออกจะฟีลกู๊ดนิดๆ บวกอารมณ์ลึกลับ ไขปริศนาคดีแปลกประหลาด ของเด็กน้อยคนนึงที่ตลอดชีวิตเจอแต่อุบัติเหตุชวนให้ตายก็หลายหน ปกติเห็นพี่ อาจา แกทำแต่แนวดาร์กๆอะไรแบบนั้น (อย่าง The Hills Have Eyes หรือ Horns) ...จริงๆจะว่าไป Horns ก็ฟีลกู๊ดเหนือธรรมชาติเหมือนกันนะ แต่เรื่องนั้นแต่ละเหตุการณ์อย่างร้ายอย่างดาร์ก แต่ 9th Life of Louis Drax อันนี้มันเบบี๋มาก เมื่อเทียบกับ Horns

หนังเดินเรื่องเนือยมาก กว่าจะได้ความว่าตกลงหมอสัมผัสจิตใจของเด็กได้ ก็เกินครึ่งเรื่องไปไกลมาก คือลืมไปเลยว่าหนังเรื่องนี้มันมีกลิ่นทริลเลอร์ลึกลับอ่ะ คิดว่าเพราะหนังเสียเวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่าวันวานของเด็ก อย่างช่วงเวลาที่อยู่กับพ่อ หรือตอนเห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน หรือแม้แต่ตอนที่เด็กเข้าพบหมอจิตแพทย์สำหรับเด็กก็เถอะ แต่คือก็เข้าใจได้ เพราะนี่มันเป็นเรื่องราวของเด็กคนนี้น่ะนะ
นี่เป็นข้อเสียอย่างนึงของการไม่รู้มาก่อนว่า หนังมันสร้างมาจากหนังสือที่เกี่ยวกับเด็ก
เพราะนี่คาดหวังไว้ว่า จะเป็นหนังลี้ลับเกี่ยวกับหมอเป็นหลัก เนื่องจากตอนเห็นตัวอย่างมันเน้นเรื่องของหมอ ที่แสดงนำโดย เจมี่ ดอร์แนน ซะมากกว่า ที่จะบอกว่านี่เป็นหนังเกี่ยวกับเด็ก

แต่ก็ไม่ได้ว่าจะไม่สนุกนะ เนือยก็จริง แต่ถ้าทนอยู่กับมันหน่อยก็ถือว่าใช่ได้

นักแสดงขอบอกว่า ซาร่า กาดอน ที่เล่นเป็นแม่ เล่นดีมาก คือดูตั้งแต่ต้นก็รู้ว่านางมีความผิดปกติ แต่หาไม่ได้ว่าทำไม มันดันไปเน้นเรื่องสามีอารมณ์ร้าย กับเด็กที่เจอแต่เรื่องเสี่ยงชีวิต เลยไม่ทันคิดว่านางนี่แหละตัวสำคัญของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้ชีวิตเด็กคนนี้ดูโชคร้ายขนาดนี้ (พอๆ เดี๋ยวสปอยไปมากกว่านี้แล้วจะหมดสนุก)
เจมี่ ดอร์แนน ตอนแรกๆคือตลก คาแร็กเตอร์เขาดูไม่หลุดจากความเป็น มิสเตอร์เกรย์เท่าไหร่ แต่พอตอนไคลแม็กซ์จริงๆที่แบบต้องเลียนแบบท่าทางการพูดของเด็ก คือฮีเล่นดีนะ /เบะปากพยักหน้าชื่นชม

รวมๆแล้วคือดีในระดับที่รับได้
แต่ขอเตือนว่าอย่าไปคาดหวังมาก หนังมันเรื่อยๆ เน้นความสัมพันธ์ของพ่อลูกแบบสุดขั้วมาก
ไอเดียธีมหนังก็ไม่ได้ใหม่อะไร เคยเจอบ่อยๆตามหนังแบบว่าถอดจิต ไปตามจิตคนที่เป็นโคม่าแล้วแบบหลงทาง แล้วคนที่เป็นโคม่าก็สามารถเลือกได้ว่าจะอยู่หรือไป จากคำแนะนำของคนที่รักที่ตามไปช่วย (คุ้นๆมั้ย)
หนังไม่เศร้า ไม่ชวนอมยิ้ม หลอนนิดๆในบางซีน เหวอตอนจบพอประมาณ
เอาเป็นว่าดูจบแล้วก็อยากหาหนังสือมาอ่านเลยทีเดียว (ดีหรือไม่ดีว่ะตกลง ฮ่าๆๆ)

เอาไป...
7/10
พอดี ไม่พีค ไม่เด็ด ดูเพลินๆแก่เหงาแก่เบื่อ จัดว่าดี

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดูแล้วบ่น: Swiss Army Man (2016)

*สปอยนะจ๊ะ*

Swiss Army Man (2016)
Directed by Dan Kwan and Daniel Scheinert
Cast: Paul Dano, Daniel Radcliffe and Mary Elizabeth Winstead

เรื่องราวของ แฮงค์ ชายติดเกาะที่กำลังพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่แล้วเขาก็ได้เจอกับ แมนนี่ ศพขึ้นอืดที่ลอยมาติดหาดเดียวกัน แฮงค์ค้นพบในทันทีว่าศพลอยอืดตัวนี้มีแก๊สเหลือและทรงพลังพอจะพาเข้ากลับแผ่นดินใหญ่ เขาจึงตัดสินใจใช้ศพแทนเรือในการเอาชีวิตรอด ไม่ช้าหลังขึ้นฝั่งได้สำเร็จ แมนนี่กลับสั่งสัญญาณว่ามีชีวิตขึ้นมาซะงั้น แฮงค์จึงสอนวิธีใช้ชีวิตของมนุษย์ ความรัก ความเหงา การเข้าสังคม และทุกๆอย่างกับแมนนี่ใหม่อีกครั้ง ระหว่างนั้นแฮงค์ก็ค่อยๆค้นพบพลังวิเศษจากแมนนี่ที่เป็นประโยชน์ในการเอาตัวรอดในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนแรกที่เห็นตัวอย่างกับเรื่องย่อ แล้วก็เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมและแย่ขนาดว่าคนเดินออกจากโรงกลางเรื่องจากซันแดนซ์ ก็คิดละ หนังมันต้องมีอะไรดีแน่ๆไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เตือนก่อนว่า นี่ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน บางคนอาจไม่ชอบโดยสิ้นเชิง

แล้วมันก็ดีจริงๆ นี่เป็นหนังศพอืดกลับมีชีวิตที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา
คือมันน่าจะจัดอยู่ในประเภทหนังซอมบี้เนอะ แบบศพตายแล้วแต่ยังมีชีวิตงี้
ครึ่งแรกของหนังคือทำงงมาก ความคิดเราสับสนลังเลอยู่ว่า ตกลง แมนนี่ (อิตา แดเนียล เรดคลิฟฟ์ เนี่ยแหละ) มันเป็นศพอืดจริงๆ ที่ แฮงค์ (พอล ดาโน่) มโนเอาเองแล้วก็เชิดมันไปเรื่อยตามความคิดตัวเอง หรือว่า แมนนี่ มันมีความพิเศษพิศดารจริงๆ
ซึ่งท้ายที่สุดเราก็เลือกที่จะเชื่ออย่างหลัง เนื่องจาก...เพราะมันเป็นหนัง ฮ่าๆๆๆ

ไม่ใช่! บ้าหรอ
คือเราเชื่ออย่างหลังเพราะคิดว่า แฮงค์ คงไม่ได้คิดเองเออเองแน่นอน ที่ตัวเองสามารถข้ามฝั่งจากเกาะล้างมายังแผ่นดินใหญ่ได้ (มองในแง่ร้ายจริงๆคือ มันไม่ได้ติดเกาะล้างที่ไหนเลย หนังไม่ได้บอกเรานี่ว่าเกาะนั้นอยู่ส่วนไหน แล้วไหงข้ามฝั่งมาเจอป่าที่ติดกับชุมชนได้ไง)
อีกกรณีนึงคือ แมนนี่ ไล่หมี และแบกแฮงค์ที่บาดเจ็บ ออกมาจากป่าได้ด้วย!
พอมาถึงตรงนี้ก็กังวลล่ะ ว่าหนังจะจบยังไง ซึ่งท้ายที่สุดคือจบดีอย่างที่เราคิดไม่ถึงและชวนยิ้มได้เลย
เรียกง่ายๆว่าหนังทำให้เชื่อได้สนิทใจดีมาก ว่าศพตัวนี้มันมีชีวิตได้จริงๆ ตรงนี้ต้องชมการแสดงของ แดเนียล แล้วก็ พอล ด้วยที่ทำให้เรายืนยันที่จะเชื่อพวกมันได้แม้ว่าตอนใกล้จบจะทำให้ไขว้เขวไปนิดนึง แต่ก็ยังลุ้นให้มันมุ่งไปในทิศทางที่เราคิด

กลับมาที่ประเด็นความสวยงามของหนัง
ท่ามกลางไอเดียบ้าๆ และมุกตลกใต้สะดือที่หนักแน่นไปในเรื่องของการผายลม ที่เป็นทั้งไอเดียดั้งเดิมและแกนหลักของหนังเรื่องนี้
มันมีเรื่องของ ความสัมพันธ์ยังมีเรื่องมิตรภาพระหว่างมนุษย์ ความไว้ใจ ความเหงากับความหมายของความรักที่ไม่จำเป็นต้องเป็นความรักใคร่ และท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ต้องการใครสักคนเป็นที่พึ่งพายามที่เราล้ม
จริงๆแล้วหนังหลายๆเรื่องมันก็พูดถึงแหละ แต่เรื่องนี้มันเน้นได้เป็นอย่างง่ายดาย ด้วยการทำให้เราผูกพันกับตัวละครที่เหลือเพียงสองตัว และฉากธรรมชาติง่ายๆก็ทำหน้าที่ได้ดีในการไม่ดึงความสนใจเราออกจากเรื่องราวของ แฮงค์และแมนนี่
สังเกตดูว่าพอหลุดจากป่ามา เจอชุมชนบ้านเรือน คนดูก็เกิดความลังเลในการเชื่อใจตัวละครแทบจะในทันที

ซึ่งในความสัมพันธ์ของมนุษย์จริงๆ คุณต้องสนิทกับคนคนหนึ่งขนาดไหนกันละที่จะสามารถเล่นมุกบ้าๆพวกนี้ใส่กันได้ แล้วหัวเราะใส่กันอย่างมีความสุข ประมาณว่า "มีไม่กี่คนในโลกหรอกที่คุณสามารถผายลมต่อหน้าเขาได้อย่างหน้าไม่อาย" ขณะเดียวกัน คนแปลกหน้าที่เห็นเพื่อนคู่หนึ่งกำลังเล่นมุกพวกนี้ใส่กัน ก็สามารถเข้าใจได้แบบไม่ติดค้างอะไรว่า "อ้อ ไอ้พวกนี่มันสนิทกันดี" และบางทีก็อาจลืมไปด้วยว่า พฤติกรรมพวกนี้มันควรหรือไม่ควรปฏิบัติในสถานที่ใดบ้าง

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เก๋และเพลินมากคือ เพลงประกอบ
แทบทั้งหมดของหนังเป็นเพลงประกอบแบบ อะแคปเปล่า ที่เร้าใจบ้าง คุ้นหูบ้าง(เช่นเพลง Jurassic Park)
ส่วนเพลงเอ็นเครดิตที่ชื่อ A Better Way คือเพราะมาก!!!! ลองหาฟังแล้วจะเข้าใจ มันเข้ากับอารมณ์หนังในช่วที่นิ่งๆแล้วอ่ะ เป็นการปิดฉากที่นุ่มนวลมาก

สรุปแล้ว ดูเผินๆหนังเหมือนไม่มีอะไร ก็เข้าใจแหละกับคนที่บอกว่า "นี่มันหนังบ้าอะไร?!"
แต่ถ้าอารมณ์ดีๆ นั่งดูเพลินๆไม่คิดอะไร มันเก๋มากนะหนังเรื่องนี้
ความเหวอในการใช้งานอย่างรอบด้านของ แมนนี่ ศพขึ้นอืด คือทั้งฮาและแหวะและ...อื้ม นั่นแหละ
ชอบที่มีคำจำกัดความของหนังว่า "นี่คือหนังที่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาเล่นเป็น มีดสวิสอาร์มี่สารพัดประโยชน์ ให้กับ Castaway (ทอม)แฮงค์ เพื่อให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้"
คิดไปคิดมาก็จริงว่ะ เชื่อว่าคนทำคงตั้งใจตั้งชื่อคาแร็กเตอร์ "แฮงค์" ด้วยแหละ นี่เหมือนคิดต่อยอดจาก Castaway แบบเพี้ยนๆบ้าๆ แต่ดันเวิร์คด้วย ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

สุดท้ายก็
12/10 ละกัน
เดี๋ยว...ให้เกินได้ด้วยหรอ ฮ่าาาา

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดูแล้วบ่น: Sweet Bean (2015)


*พยายามไม่สปอยหนักๆ*


Sweet Bean / [an] (2015)
Directed by Kawase Naomi
Cast: KiKi Kirin, Nagase Masatoshi and Uchida Kyara

เรื่องราวของคนทำขนมโดรายากิ ที่ได้พบกับหญิงชราท่าทางแปลกๆผู้กำลังมองหางานทำ เมื่อเธอทิ้งวุ้นถั่วแดงไว้ให้ชิม เขาก็ติดใจในรสชาติจนต้องจ้างเธอมาช่วยทำไส้ขนมโดรายากิให้ จนในที่สุดขนมโดรายากิของเขาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ไม่นานเขาก็ค้นพบว่า ไม่ใช่เพียงสูตรถั่วแดงกวนเท่านั้นที่เขาได้เรียนรู้จากหญิงชราคนนี้

หนังเปิดตัวตั้งแต่เทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี2015 แต่แฟนหนังบ้านเราเพิ่งมีโอกาสได้ดูก็ตอนเทศกาลหนังญี่ปุ่นปี2017นี่แหละ ช้าหน่อยแต่มีโอกาสได้ดูในโรงก็ถือว่าคุ้มมาก

หนังสวยมาก สวยทุกช็อต ต่อให้ถ่ายด้วยมุมแคบขนาดไหนก็สวย
หนังเน้นเรื่องเสียงธรรมชาติมาก แต่ด้วยความที่ปกติเป็นคนหูไม่ดี ได้ยินแค่ข้างเดียว เลยไม่ค่อยได้ยินอะไรละเอียดอ่อนขนาดนี้ แต่หนังถ่ายทอดได้ดีมากจนรู้สึกอิจฉาคนที่มีสภาพการได้ยินดี อิจฉาคุณยายโทคุเอะ ที่มีความสุขง่ายๆจากการฟังเสียงธรรมชาติทั้งที่ชีวิตเธอมันโหดร้ายในระดับที่ถ้าเป็นเราคงยอมแพ้ไปแล้ว

ได้ยินเสียงบอกเล่าว่ามันเป็นหนังหนังฟีลกู๊ดที่สะเทือนใจ ตอนแรกไม่เชื่อ ตอนนี้เชื่อแล้ว ฮ่าๆๆ
เรื่องราวหลังตัวอย่างแสนอบอุ่นกับโปสเตอร์สวยๆที่อบอวนไปด้วยดอกซากุระ คือสะเทือนใจมาก ไม่ได้ร้องไห้แบบนี้นานมากแล้วตั้งแต่ดูหนังแนวๆแบบ เจ้าหมาฮาจิโกะ (เป็นคนสะเทือนใจง่าย /ซับน้ำตาด้วยท่าทางประหนึ่งสาวงาม...ซึ่งไม่ใช่ ฮ่าๆๆๆ) แต่คนอื่นอาจไม่น้ำตาแตกอย่างเราก็ได้นะ

คือไม่คิดว่า เรื่องราวของคนที่สังคมกีดกันไม่ให้ใช้ชีวิตปะปนร่วมกับผู้อื่นมันจะทั้งเศร้าและสวยงามขนาดนี้ได้ในเวลาเดียวกัน ทำเอาคนไม่กล้าสู้กับสังคมอาจต้องถึงกับมองตัวเองแล้วถามว่า "อิสระเสรีภาพของเรามีเยอะขนาดนี้ทำไมไม่ใช้ให้คุ้มค่า ดูคนที่เขาไม่แม้แต่จะได้รับอนุญาตให้มีความทรงจำสิ" คือคุณยายโทคุเอะถูกสังคมรังเกียจ แกเลยก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตอยู่ในมุมที่คนไม่เห็น แกไม่ได้รับอนุญาตให้พกความทรงจำติดตัวด้วยตอนถูกส่งมายังสถานกักกัน แกแสวงหาอิสรภาพมาตลอดชีวิตจนได้ไปขายโดรายากินี่แหละ

เฮ้อ นึกถึงแต่ละซีนของยายโทคุเอะแล้วก็เศร้า แกเป็นเหมือนหน้าประวัติศาสตร์ที่สังคมจงใจจะลืมเลือน ซีนจบของยายแกโคตรตะเตือนใจจจจจ

เท่านี้แหละ มากกว่านี้ก็สปอยเกินละ ฮ่าๆๆ

รวมๆแล้ว หนังสวยมากทั้งภาพและเนื้อเรื่อง
เป็นฟีลกู๊ดที่สะเทือนอารมณ์และอัดแน่นไปด้วยข้อคิดจากชีวิตคนคนหนึ่ง ที่เอาจริงๆคนดูไม่รู้จักเขาเลยนะ แต่กลับอินไปกับเรื่องอย่างกับเราเป็นคนขายโดรายากิซะเอง

สวยขนาดนี้
10/10
เถอะค่ะ เท่านั้นแหละ สั้นๆ จบ.

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ดูแล้วบ่น: Fifty Shades Darker (2017)

*ไม่คิดว่าจะสปอยสำหรับคนอ่านหนังสือแล้ว แต่อาจสปอยสำหรับคนไม่เคย*

Fifty Shades Darker (2017)
Directed by James Foley
Cast: Dakota Johnson, Jamie Dornan, Eric Johnson, Bella Heathcote, Marcia Gay Harden and Kim Basinger

เรื่องราวต่อจากภาคที่แล้ว โดยลงลึกดีเทลความสัมพัน์ของแอนากับคริสเทียน และวิธีที่เธอจะสอนให้เขารู้จักกับความสัมพันธ์ปกติที่ไม่ใช่สถานะแบบ เจ้านาย-ทาส ขณะเดียวกันความลับในอดีตของคริสเตียนก็กำลังกลับมารุกรานความสัมพัน์ปัจจุบันของเขา พร้อมทั้งยังเจอศัตรูตัวใหม่ที่สะสมความแค้นไว้เต็มอก

กำลังพยายามคิดว่า เรื่องแรกที่ดูในโรงปีนี้คืออะไร
(เรื่องสุดท้ายปีที่แล้วคือ Rogue One แล้วก็ไม่ได้มาบ่นด้วย ลืม ฮ่าๆๆ)
แล้วก็คิดได้ว่า เออว่ะ วันนี้เข้าโรงรอบแรกของปี2017 ประเดิมฟิฟตี้เลย ฮ่าาๆๆ

ก็รู้นะว่าหนังเรื่องนี้หลายคนไม่ชอบ แต่ในฐานะที่ฟินกับนิยายมาก่อน เราไม่สนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น และจะบอกว่านี่มันเป็นหนังรักที่ดีเรื่องนึงเลยล่ะ

มันดีในแง่หนังโรแมนติกที่ทำหน้าที่ให้เราได้เสือกความสัมพันธ์ชาวบ้าน ซึ่งก็ไม่แปลกที่เนื้อเรื่องของมันจะบางเบามาก เพราะมันไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องราวความรักของคนสองคนที่หลงไหลต่อกันแบบไม่แคร์สิ่งใดในโลก หนังโรแมนติกหลายๆเรื่องก็เป็นลักษณะนี้ แต่ไม่มีจุดขายเป็นฉากเซ็กซ์แสนเร้าร้อนนั่นเอง แต่นอกจากจุดขายและการเสือกเรื่องความสัมพันธ์ เห็นได้ชัดว่าภาคนี้พยายามเน้นอุปสรรคที่จะมาเป็นตัวขัดขวางมากแบบเกินเหตุ อย่างการถ่ายให้เห็น เลย์ล่า แบบไกลๆในตอนแรก หรือการเน้นมุมมองบุคคลที่3ซึ่งเป็น แจ็ค ไฮด์ (ใครอ่านหนังสือก็รู่หน้าที่ของไฮด์ดีเนอะว่ามันสำคัญยังไงในภาค3)

พูดถึงฉากเซ็กซ์ เราว่า เจมส์ โฟลีย์ พยายามทำให้มันซอฟลงมากๆแล้วนะ คือการไม่ให้ความสำคัญกับมันจนเกินไป มีการตัดบทบ้าง ถ่ายซึบซับไม่แช่(แบบภาคแรก) และเพลงประกอบก็ทำหน้าที่ให้ความเพลิดเพลิน (บางซีนก็ดูซุกซนแบบลามก) มากกว่าช่วยชั่วยุคารมณ์คนดู ซึ่งผิดแนวกับภาคแรกมากๆ
เห็นได้ชัดว่าเป็นเครดิตของผู้กำกับ เพราะคนทำเพลงก็ แดนนี่ เอลฟ์แมน คนเดิม ฮ่าๆๆๆๆ

ซึ่งเป็นสิ่งนึงที่เราชอบในหนังชุดนี้ เพลงประกอบคือเพลินมาก สมูทมาก

สิ่งที่น่าชื่นชมในภาคนี้คือการตัดรายละเอียดบางอย่างจากนิยายออกไปได้แบบพอเหมาะ ไม่รู้สึกว่าขาดหายเท่าไหร่ แม้จะเสียดายที่ไม่ได้เห็นพี่ชายของเคท ไม่เห็นฉากกุ๊กกิ๊กตอนไปซื้อรถซาป หรือดีเทลตรงการขอแต่งงานที่ผิดจากในหนังสือแบบคนละเรื่อง แต่ก็น่ารักดี เหมาะกับตัวนักแสดงมากกว่า

ด้วยความที่ ความสัมพันธ์ของแอนา กับ คริสเทียน ไม่มีกฏ เลยไม่มีความตึงเครียดอย่างภาคแรก ตรงนี้ในหนังสือก็เป็นแบบนี้นะ เล่ม2คืออารมณ์สนุกสนาน มีโม้เม้นฟินๆของทั้งคู่เยอะมาก(ที่ไม่เกี่ยวกับเซ็กซ์) ซึ่งหนังพรีเซ็นได้ดีกว่าในหนังสือมาก ในลักษณะที่อุส่าห์ตัดบางฉากออกไปแล้วด้วยนะ คือหนังเพิ่มรายละเอียดจากฉากที่เลือกมาใช้แทน อย่างตอนไปล่องเรือ และมีแอบแทรกปริศนาสำหรับภาค3ไว้ด้วย

พูดถึงตัวนักแสดง เรื่องนี้ เจมี่ กับ ดาโกต้า ค่อนข้างกันเองมากกว่าภาคที่แล้วนะ ความกันเองในที่นี่คือมันมีความรู้สึกว่าทั้งคู่ใส่ความเป็นตัวเอง แบบ บุคลิกของพวกเขาเวลาอยู่นอกจอ ลงมาในตัวละครเยอะกว่าภาคที่แล้ว (ในฐานะเป็นติ่งดาโกต้า แล้วดูหนังมาหลายก็พอจะจับทางบุคลิกนางถูก)
ส่วนนักแสดงรุ่นเก๋าที่รอชมนางตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าจะมาแสดง อย่าง คิม บาซิงเจอร์ คือนางเด็ดมาก ทุกซีนที่ปรากฎตัวคือแทบจะฆ่านักแสดงรุ่นน้องที่ร่วมฉากเดียวกัน ตอนนางปะทะกับ มาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน (เกรซ แม่ของคริสเตียน) คือเด็ดมาก ทั้งคู่ทรงพลังมากเมื่อป๊ะกัน (อาจจะเว่อร์ไปเอง แต่รู้สึกงี้จริงๆนะ)

รวมๆแล้ว หนังโอเคเลย ถือว่าดัดแปลงจากนิยายได้ดีในระดับที่รับได้
เห็นชัดว่าสไตล์หนังเปลี่ยนไปจากการเปลี่ยนผู้กำกับ (ซึ่งไม่ปลื้มเจ้ แซม เทย์เลอร์-จอห์นสัน อย่างแรงในการพรีเซ็นภาคแรก)
นักแสดงคือดี คือฟินมาก
ฉันเป็นติ่งดาโกต้า ฉันอิ่มเอมมากพูดเลย ฮ่าาาาๆๆๆๆ

ไม่แยกหนังแยกนิยายนะ เอาไป...
9/10
มันยังขาดเสน่ห์ของนิยายเรื่องนี้อยู่ดีในบางอารมณ์ แต่ถือว่าดีมากแล้ว