ปกติแล้ว เวลาดูหนังเรื่องใดก็ตาม จะจำไม่ค่อยได้ว่าดูในโรงเมื่อไหร่ กับใคร ที่ไหน หรือแม้แต่ความรู้สึกที่นั่งอยู่ในโรงหนังมืดๆก็จะจำไม่ได้
จะมีแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่จำได้ อย่างเช่น ตอนดู The Avergers รอบที่4 ในโรง 4D ที่พารากอน จำได้แม่นมากว่าปวดฉี่ขั้นสุด แต่ไม่อยากออกจากโรงเพราะไม่อยากพลาดตอนใดไป ปัญหาคือ เก้าอี้ที่ขยับไปมาได้ ลมเย็นที่พัดแรงทุกทีที่หนังมันตื่นเต้นหรือฉากฐานทัพบนฟ้ากำลังล่มสลาย ที่สำคัญไอ้ลมที่เป่าข้างหูทำให้ตกใจเวลาฮอว์คอายยิงธนูก็ยิ่งทำให้ปวดฉี่ สุดท้ายแล้วก็ดูหนังไม่สนุกแม้จะเป็นโรง 4D เพราะอาการปวดฉี่นี่แหละ
นั้นเป็นแค่ตัวอย่างโง่ๆที่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำก่อนดูหนัง
(ดันซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นอีกด้วยนะ ฝืนกินเพราะเสียดาย โง่จริงๆ)
แต่ที่จะมาเล่าวันนี้มันเป็นประสบการณ์แสนหรรษา ที่ไม่หรรษาเลยหลังจากดูหนังจบ
เรื่องเกิดขึ้นตอนอยู่ ม.6 กลับจากค่ายสุดท้ายในชีวิตนักเรียนกระโปรงสุ่ม มันเป็นเวลาบ่ายโมงซึ่งผู้คนยังนั่งทำงานตากแอร์กันอยู่ในออฟฟิศ นั่นรวมถึงแม่ฉันด้วย พ่อเลยชวนไปดูหนังระหว่างรอ และหนังผู้โชคดีที่กลายเป็นตัวฆ่าเวลาก็คือ Up in the Air (2009) ของ คู่พ่อลูก Reitman (พ่อสร้าง ลูกกำกับ)
จริงๆมันไม่ได้บังเอิญหรอก ก็ดูๆไว้อยู่แล้วว่าหนังมันน่าสนใจ แค่หาจังหวะเวลาในการดูให้ดีเท่านั้นเอง
ตอนนั้นยังเป็นเด็กโข่งใช้เงินไม่บันยะบันยัง ซื้อชาเขียวปั้นร้านกาแฟชื่อดังแพงหูฉีกเข้าไปกินในโรงหนัง (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นลิโด้ ไม่ก็โรงหนังสยามก่อนที่ไฟไหม้)
ขอบอกก่อนว่า Up in the Air เป็นหนังในดวงใจ ที่ชอบ และสนุกทุกครั้งเวลาที่ดู(บางคนอาจไม่เห็นว่ามันสนุก) แต่ถึงอย่างนั้น วันที่ได้ดูในโรงพร้อมชาเขียวแสนแพง กลับไม่มีความสนุกเลยสักนิด
จู่ๆท้องไส้ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ด้วยความที่นั่งอยู่ในโรงหนัง มีเสื้อกันหนาวหนาๆสร้างความอุ่นสบาย ชาเขียวแสนอร่อย เลยไม่คิดว่ามันร้ายแรง คงแค่หิว(ยังไม่ได้กินข้าว) ระหว่างนั้น George Clooney, Vera Farmiga และ Anna Kendrick ก็กำลังทำตัวเนียนเข้าไปเที่ยวในปาร์ตี้ของคนอื่น
ทุกครั้งที่มีเสียงเครื่องบินในหนัง ผีเสื้อในท้องก็กระพือปีกกันอย่างสนุกสนาน แต่แรงกระพือมันเหมือนปีกถูกติดกาว บินไม่ขึ้น ชนผนังท้องไส้อยู่นั่นแหละ ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกว่ามันร้ายแรง เพราะอยู่ในท่านั่ง
แต่มันก็ทำให้ดูหนังไม่สนุกอยู่ดี...
เมื่อพระเอกยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางสนามบิน เครดิตจบขึ้น ไฟโรงหนังสว่าง ผู้ชมที่มีอยู่น้อยนิดก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างงัวเงีย บางคนเหมือนหลับ บางคนเหมือนดีใจที่หนังจบ พ่อลูกคู่นี้เป็นหนึ่งในพวกงัวเงีย จำไม่ได้ว่าพ่อหลับมั้ย แต่อีนี่นั่งหน้าบูดเป็นตูดบาบูนอย่างเซ็งจิตสุดขีด หนังสนุกจริง ดาราดี(ชอบตรงนี้) แต่อาการแปลกๆในท้องมันทำให้ประสาทกิน ตอนที่เครดิตฉาย มีเวลาคิดกับตัวเองแวบนึงว่านี่ฉันเป็นอะไร? แต่ก็ไม่สนใจเพราะลุกเดินออกจากโรงซะก่อน
ตอนนัั้นเอง อาการประหลาดทั้งหลายก็รวมตัวกันเป็นก้อน แล้วพุ่งพรวดออกมาจากปากอย่างห้ามไม่ได้ อ้วกสีเขียว(ขออภัยที่บรรยายเห็นภาพเกินไป) พุ่งลงพื้นตรงกำแพงทางเดินข้างโรงหนัง(ขออภัยอีกเช่นกันที่ทำสถานที่เลอะ) อยากหยุดตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ออกจากสยาม ไปรับแม่ และไปโรง'บาล
ระหว่างทางก็ยังอ้วกอยู่...
ที่ตลกก็คือ ผู้ชมที่ร่วมชะตากรรมกันในโรงต่างมองอีนี่ด้วยสีหน้าทำนองว่า
"หนังแย่ขนาดนั้นเลย?"
"อีเด็กนี่เป็นอะไร?"
"ชาเขียวบูดหรือเปล่า?"
ไม่มีใครคิดเลยหรอว่าฉันอาจจะไม่สบายหรืออะไร *ร้องไห้น้ำตาเป็นหยดน้ำยักษ์*
จำได้ว่าได้ยินสาวนางนึงที่มากับแฟนหนุ่มพูดว่า "น้องเค้าเมาเครื่องบินหรอเธอ"
เอ่อะ...
เป็นฝันร้ายที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ และทุกครั้งทีเห็นชื่อหนังเรื่องนี้ อ้วกสีเขียว ก็จะปรากฎในหัว(อี๋)
คำตอบของอาการบ้านี่คือ: แพ้อาหารอย่างรุนแรง คาดว่าเพราะกินสิ่งผิดสำแดงอย่าง ทาโร่กรอบ+ไอติมกะทิ ตอนกลับจากค่าย มันควรกินแยกกัน อีนี่เอามารวมกัน น่าแปลกใจที่เพื่อนหลายคนก็กินแต่ไม่มีใครเป็น (จำได้ลางๆว่ามีเพื่อนซี้คนนึงก็เป็นนะ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น