*คาดว่ามีสปอยนะคะยู*
The Witch (2015) / The VVitch: A New-England Folktale
Directed by Robert Eggers
Cast: Anya Taylor-Joy, Ralph Ineson, Kate Dickie and Harvey Scrimshaw
ครอบครัวเล็กๆที่มาตั้งถิ่นฐานใน นิว อิงแลนด์ ราวๆปี1630 ความศรัทธาอันแรงกล้าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเดียวที่ทำให้พวกเขาดำเนินชีวิตท่ามกลางป่าเขาแห่งนี้ แต่แล้วเหตุการณ์ก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆเมื่อสมาชิกแรกเกิดของครอบครัวได้หายตัวไป พืชผลเริ่มล้มตาย ความสิ้นหวังส่งให้พวกเขาสวดภาวนาอ้อนวอน เพื่อขอให้เรื่องชั่วร้ายจาก "แม่มด" ผ่านพ้นไป
ชอบวิธีเขียน VVitch ของหนังมากนะ (ชื่อเต็มที่ใช้ในบางประเทศคือ The VVitch: A New-England Folktale) มันกิ๊บเก๋และให้อารมณ์เหมือนคำสาปโลกโบราณดี
สารภาพว่าสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่ที่มีข่าวในเทศกาลหนังซันแดนซ์เมื่อปีที่แล้ว กว่าหนังจะท่องเทศกาลทั่วโลกแล้วได้ฉายจริงก็เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (และกว่าจะเข้าบ้านเราอีก) สุดท้ายก็พลาดและไม่ได้ดูในโรงเลย
หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ แต่เผยเหตุการณ์สำคัญแรกอย่าง ซีนที่เด็กทารกหายตัวไปตั้งแต่10นาทีแรกของหนัง จากนั้นความพีคก็มันก็เริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ ตามสเต็ปการล่อลวงของแม่มดและความชั่วร้ายที่เริ่มครอบงำครอบครัวแสนศรัทธาครอบครัวนี้ ความเจ๋งของมันคือการดึงให้คนดูศตวรรษที่21อย่างเราๆ เข้าไปอยู่ในช่วงเวลาของโลกในศตวรรษที่17ได้อย่างแนบเนียน ทั้งเรื่องดราม่าในครอบครัว ความน่าหวาดกลัวของมนุษย์กับผืนป่าที่ไม่ว่าจะเวลาไหนก็สร้างความขนลุกได้ตลอดเวลา มันเงียบ มันวังเว มันชวนขนลุก
คือก็ไม่มีคนยุคนั้นเหลืออยู่ให้บรรยายบรรยากาศของโลกในยุคนั้นน่ะนะ แต่เดาว่าเรื่องนี้คือใกล้เคียงความเป็นจริงที่สุด จากคำบอกเล่าแบบนิทานพื้นบ้านของยุคมืดที่เต็มไปด้วยความกลัวของมนุษย์กับธรรมชาติที่ไม่รู้จักอะไรแบบนั้น เราไม่มีวันรู้ได้เลยว่าอะไรซ้อนตัวอยู่ในป่า จะก้าวขาเข้าไปดูก็ไม่กล้า พอกล้าเดินเข้าไปดูแล้วไปป๊ะกับปัญหาก็งานเข้าเลยจ้า มันก็แบบ...ถ้าไม่เจอสัตว์ป่าดุร้าย(แล้วตาย) ก็เจอสิ่งเหนือธรรมชาติ(ซึ่งก็ทำให้เราตายได้เช่นกัน)
จะว่าไปนิทานพื้นบ้านมันก็มีเส้นแบ่งบางๆให้เชื่อแหละว่า ภูตผีปีศาจแม่มดวิญญาณ มันมีจริง กับ! เรื่องแต่งทั้งเพ เพื่อให้เด็กๆกลัวและไม่เข้าไปซนในป่าจนหาเรื่องใส่ตัว
เพราะงั้น The Witch น่าจะเป็นแนว "เรื่องลี้ลับมันมีจริงนะเออ แล้วยิ่งเล่นกับครอบครัวที่ศรัทธาในพระเจ้าขนาดนี้แล้ว มันก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวเข้าไปอีก แต่นี่แหละคือสิ่งที่คนดูอยากจะเห็น เรื่องเหนือธรรมชาติที่หลายๆคนเลือกที่จะเชื่อว่ามันเคยมีตัวตน
*สปอย* (ขอเตือนว่าทฤษฎีคิดเองเออเองทั้งนั้น ฮ่าๆๆๆ)
แต่ในอีกแง่นึงแบบตัดเรื่องความเหนือธรรมชาติมนต์ดำออกไปนะ
จะมองว่า The Witch เป็นดราม่าครอบครัวก็ได้ คือเด็กทารกหายตัวไป ลูกชายคนโตโดนล่อลวงจนหลอน ฝาแฝดก็เข้าข่ายโดนผีเข้า ทั้งหมดทั้งมวลนี้สามารถชี้หน้าเป็นความผิดของ ลูกสาวคนโตได้ทั้งสิ้น นางอาจจะเอาเด็กไปฆ่าในป่าเอง ล่อลวง(ลวนลาม)น้องชายตัวเอง วางยาเด็กแฝดแล้วฆ่าเมื่อสบโอกาส
แม่มันกล่าวหาว่านางพยายามยั่วพ่อตัวเอง(จากคำกล่าวหาเรื่องสายตาที่เธอจ้องมองพ่อ) ส่วนอิพ่อก็ปกป้องลูกสาวจากคำกล่าวหาร้ายๆอีก ยิ่งทำให้อิแม่มันเดือดกว่าเดิม และยอมรับอย่างเต็มปากว่า "อีนี่มันเป็นแม่มด!!" นี่เข้าตำราการกล่าวหาหญิงสาวคนนึงว่าเป็นแม่มดสุดๆเลยนะตัวเธอ
คือจริงๆก็น่าคิดนะว่ามันอาจไม่มีมนต์ดำอะไรก็ได้ คือนางอาจจะไปเมาเห็ดพิษในป่าเลยก่อเรื่องไรงี้
(พอๆ เป็นอันจบทฤษฎีคิดเองเออเองแต่เพียงเท่านี้ ฮ่าๆ เดี๋ยวจะเลอะเทอะไปใหญ่)
แต่ที่ว่าไปก็ไม่ได้อธิบายนะว่า บีบนมแพะออกมาเป็นเลือดได้ยังไง(อาจจะป่วยงี้) พืชผลตายเกรี้ยง หรือเรื่องร้ายๆอื่นๆ...
โอเค เชื่อก็ได้ว่าเป็นแม่มด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
ส่วนอื่นๆของหนังคือลงตัวมาก บทพูดภาษาโบราณ จังหวะซีนต่อซีนก็ดี ซาวน์ประกอบและงานภาพหลอนๆ ทั้งหมดคือขบเน้นความน่าขนลุกได้โคตรดี แถมยังคงโทนอารมณ์เดิมได้ตั้งแต่ต้นจนจบเลย
แฟนหนังสยองขวัญแบบหลอนลึก(ที่แบบผีไม่โผล่ทำให้ตกใจ) น่าจะชอบนะ
อีกอย่างที่ต้องชมคือนักแสดง โดยเฉพาะลูกชายคนโต (นักแสดงชื่อ Harvey Scrimshaw) คือเล่นเก่งและหลอนมากสำหรับซีนสุดท้ายของน้อง
สำหรับเราซึ่งชอบเสพหนังหลอน (จงนับว่าเจอคำว่า "หลอน" กี่คำแล้ว ฮ่่าๆๆๆ)
10/10 เลย
มันหลอน มันพีค มันว้าวมาก (ดูจบบอกเลยว่า ว้าว จริงๆ)
ก็บ่นพึมพำ-งึมงำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็ดูหนังแล้วอยากบ่น ไปเที่ยวบ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ =/\=
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ดูแล้วบ่น: Freaks of Nature (2015)
Freaks of Nature (2015)
Directed by Robbie Pickering
Cast: Nicholas Braun, Mackenzie Davis and Josh Fadem
ชีวิตแสนสงบสุขของ มนุษย์ แวมไพร์ และซอมบี้ ในเมืองเล็กๆชื่อ ดิลล์ฟอร์ด กำลังจะกลายเป็นฝันร้ายเมื่อความขัดแย้งทำให้ชาวเมืองทะเลาะกันเอง แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าทุกคนต้องหนีเอาชีวิตรอดเมื่อถูกเอเลี่ยนส์บุกเมือง ตอนนั้นเองที่วัยรุ่น3คน ประกอบด้วย แด๊ก(มนุษย์) แพทรา(แวมไพร์) และ เนด(ซอมบี้) ต้องจับมือกันวางแผนขับไล่เอเลี่ยนส์และกอบกู้ความสงบของเมืองกลับคืนมา
เอาจริงๆคือไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีตัวตนเลยจนกระทั่งวันก่อนเปิดทีวีทิ้งไว้แล้วมันวนมาฉายพอดี ชื่อเรื่องก็ไม่รู้เพราะนอนอ่านหนังสืออยู่ แต่ที่มันดึงดูดความสนใจคือเปิดมา ตัวละครสองคนวิ่งหนีกองทัพแวมไพร์ หนีเข้าบ้านมาป๊ะกับกองทัพซอมบี้ ตะลุมบอนกันเสร็จ เจอเอเลี่ยนส์บุกอีก... เท่านั้นแหละ วางหนังสือแล้วตั้งใจดูทันที ฮ่าๆๆๆ
หนังออกแนวตลกกวนๆคล้ายกับหนังประเภทแบบ Scouts Guide to the Zombie Apocalypse หรือ Cooties อะไรแบบนั้น แต่มันไม่ได้มีแค่ซอมบี้ผีดิบอย่างเดียว และประเด็นของมันไม่ได้อยู่ที่การเอาชีวิตรอดจากเชื้อโรคระบาด แต่แน่นอนว่าความกวนทีนไม่แพ้กันเลย
เรื่องนี้หลักๆแล้วเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของสามเผ่าพันธุ์(ประหลาด) มากกว่า ส่วนเอเลี่ยนส์เป็นตัวร้ายที่บุกมาเก็บทรัพยากรบางอย่าง จนกลายเป็นการจุดชนวนให้พวกคนในเมืองตีกัน
จริงๆมันก็คือประเด็นเดียวกับความขัดแย้งในสังคมที่เห็นได้ทั่วไปนั่นแหละ แต่หนังมันทำออกมาให้เห็นชัดในรูปแบบของ แวมไพร์ กับ ผีดิบนั่นเอง
โดยส่วนตัวชอบคาแร็กเตอร์ของผีดิบเรื่องนี้นะ คือมันเป็นตัวแทนของความไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใครจะแกล้งจะทะเลาะจะกวนประสาทยังไงก็เฉยชา วันๆคิดแต่จะกินสมองแค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว (อยากเป็นซอมบี้ขึ้นมาในทันที) ที่ชอบคือมันกลายเป็นที่พักพิงของเด็กเก่งที่มีปัญหากับที่บ้าน เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสแต่โดนสังคมกลั่นแกล้งและไม่ให้ความเคารพ
ไอ้เด็กที่ว่านี่ก็คือ เนด หนึ่งในวัยรุ่นตัวเอก3คน ที่เป็นซอมบี้นั่นเอง
ที่เจ๋งของ Freaks of Nature คือการจับ แวมไพร์ ซอมบี้ และ เอเลี่ยนส์ มายำรวมกันเป็นเรื่องเดียวแล้วมันออกมาดีซะด้วย ลักษณะมันคล้ายๆหนังเกรดบีโบราณผสมหนังวัยรุ่นยุคใหม่ สองอารมณ์นี้แหละที่ทำให้มันเจ๋ง แถมบทพูดแต่ละอันนี้ตลกร้ายจนบางอันต้องกุมขมับเลย
อีกสิ่งที่กิ๊บเก๋สำหรับเรื่องนี้คือนักแสดง ตัวเด็นๆ3คนอย่าง Nicholas Braun, Mackenzie Davis and Josh Fadem ถือเป็นดารารุ่นใหม่ที่มีระดับความดังไม่มากไม่น้อย (ฉันเคยดูผลงานของ Braun มา 2-3 เรื่องแหละ คาแร็กเตอร์ก็เดิมๆประมาณนี้ ถือไม่ว่าแปลกใหม่ ส่วน Mackenzie Davis เรื่องนี้คือน่ารักนะ สวยมาก)
แต่ที่มันส์กว่าตัวเอก3คนก็คือดาราประกอบ ที่มีทั้ง รุ่นเก๋า Denis Leary, Joan Cusack, Bob Odenkirk คุณพี่ ซอล กู๊ดแมน ทนายตัวแสบจากจักรวาล Braking Bad! เรื่องนี่เมากัญชาทั้งวันเลยจ้า แล้วก็มีสาว Vanessa Hudgens นางเอก High School Musical อดีตแฟน Zac Efron ที่เรื่องนี้เล่นได้แรดมาก ฮ่าๆๆๆ
โดยรวมแล้ว หนังเจ๋งหนังดี ใครที่ชอบหนังซอมบี้(แวมไพร์ เอเลี่ยนส์) สายฮา คือดีมากเรื่องนี้
9/10
เจ๋งมาก ชอบ
Directed by Robbie Pickering
Cast: Nicholas Braun, Mackenzie Davis and Josh Fadem
ชีวิตแสนสงบสุขของ มนุษย์ แวมไพร์ และซอมบี้ ในเมืองเล็กๆชื่อ ดิลล์ฟอร์ด กำลังจะกลายเป็นฝันร้ายเมื่อความขัดแย้งทำให้ชาวเมืองทะเลาะกันเอง แต่ท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าทุกคนต้องหนีเอาชีวิตรอดเมื่อถูกเอเลี่ยนส์บุกเมือง ตอนนั้นเองที่วัยรุ่น3คน ประกอบด้วย แด๊ก(มนุษย์) แพทรา(แวมไพร์) และ เนด(ซอมบี้) ต้องจับมือกันวางแผนขับไล่เอเลี่ยนส์และกอบกู้ความสงบของเมืองกลับคืนมา
เอาจริงๆคือไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีตัวตนเลยจนกระทั่งวันก่อนเปิดทีวีทิ้งไว้แล้วมันวนมาฉายพอดี ชื่อเรื่องก็ไม่รู้เพราะนอนอ่านหนังสืออยู่ แต่ที่มันดึงดูดความสนใจคือเปิดมา ตัวละครสองคนวิ่งหนีกองทัพแวมไพร์ หนีเข้าบ้านมาป๊ะกับกองทัพซอมบี้ ตะลุมบอนกันเสร็จ เจอเอเลี่ยนส์บุกอีก... เท่านั้นแหละ วางหนังสือแล้วตั้งใจดูทันที ฮ่าๆๆๆ
หนังออกแนวตลกกวนๆคล้ายกับหนังประเภทแบบ Scouts Guide to the Zombie Apocalypse หรือ Cooties อะไรแบบนั้น แต่มันไม่ได้มีแค่ซอมบี้ผีดิบอย่างเดียว และประเด็นของมันไม่ได้อยู่ที่การเอาชีวิตรอดจากเชื้อโรคระบาด แต่แน่นอนว่าความกวนทีนไม่แพ้กันเลย
เรื่องนี้หลักๆแล้วเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของสามเผ่าพันธุ์(ประหลาด) มากกว่า ส่วนเอเลี่ยนส์เป็นตัวร้ายที่บุกมาเก็บทรัพยากรบางอย่าง จนกลายเป็นการจุดชนวนให้พวกคนในเมืองตีกัน
จริงๆมันก็คือประเด็นเดียวกับความขัดแย้งในสังคมที่เห็นได้ทั่วไปนั่นแหละ แต่หนังมันทำออกมาให้เห็นชัดในรูปแบบของ แวมไพร์ กับ ผีดิบนั่นเอง
โดยส่วนตัวชอบคาแร็กเตอร์ของผีดิบเรื่องนี้นะ คือมันเป็นตัวแทนของความไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ใครจะแกล้งจะทะเลาะจะกวนประสาทยังไงก็เฉยชา วันๆคิดแต่จะกินสมองแค่นั้นก็แฮปปี้แล้ว (อยากเป็นซอมบี้ขึ้นมาในทันที) ที่ชอบคือมันกลายเป็นที่พักพิงของเด็กเก่งที่มีปัญหากับที่บ้าน เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสแต่โดนสังคมกลั่นแกล้งและไม่ให้ความเคารพ
ไอ้เด็กที่ว่านี่ก็คือ เนด หนึ่งในวัยรุ่นตัวเอก3คน ที่เป็นซอมบี้นั่นเอง
ที่เจ๋งของ Freaks of Nature คือการจับ แวมไพร์ ซอมบี้ และ เอเลี่ยนส์ มายำรวมกันเป็นเรื่องเดียวแล้วมันออกมาดีซะด้วย ลักษณะมันคล้ายๆหนังเกรดบีโบราณผสมหนังวัยรุ่นยุคใหม่ สองอารมณ์นี้แหละที่ทำให้มันเจ๋ง แถมบทพูดแต่ละอันนี้ตลกร้ายจนบางอันต้องกุมขมับเลย
อีกสิ่งที่กิ๊บเก๋สำหรับเรื่องนี้คือนักแสดง ตัวเด็นๆ3คนอย่าง Nicholas Braun, Mackenzie Davis and Josh Fadem ถือเป็นดารารุ่นใหม่ที่มีระดับความดังไม่มากไม่น้อย (ฉันเคยดูผลงานของ Braun มา 2-3 เรื่องแหละ คาแร็กเตอร์ก็เดิมๆประมาณนี้ ถือไม่ว่าแปลกใหม่ ส่วน Mackenzie Davis เรื่องนี้คือน่ารักนะ สวยมาก)
แต่ที่มันส์กว่าตัวเอก3คนก็คือดาราประกอบ ที่มีทั้ง รุ่นเก๋า Denis Leary, Joan Cusack, Bob Odenkirk คุณพี่ ซอล กู๊ดแมน ทนายตัวแสบจากจักรวาล Braking Bad! เรื่องนี่เมากัญชาทั้งวันเลยจ้า แล้วก็มีสาว Vanessa Hudgens นางเอก High School Musical อดีตแฟน Zac Efron ที่เรื่องนี้เล่นได้แรดมาก ฮ่าๆๆๆ
โดยรวมแล้ว หนังเจ๋งหนังดี ใครที่ชอบหนังซอมบี้(แวมไพร์ เอเลี่ยนส์) สายฮา คือดีมากเรื่องนี้
9/10
เจ๋งมาก ชอบ
วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ดูแล้วบ่น: The Mind's Eye (2015)
*สปอยนะคะที่รัก*
The Mind's Eye (2015)
Directed by Joe Begos
Cast: Graham Skipper, Lauren Ashley Carter and John Speredakos
เรื่องราวของกลุ่มคนผู้มีพลังจิตพิเศษอย่างการสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ถูกจับตัวมาทำการทดลองลับโดย ด๊อกเตอร์สโลแวค จอมโรคจิต ผู้หวังผลจากการทดลองให้ตัวเองมีพลังอย่างคนกลุ่มนี้ ภายหลัง แซค และ เรเชล สองมนุษย์ทดลองสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ ตอนนั้นเองที่เกมไล่ล่าและการล้างแค้นได้เริ่มต้นขึ้น
จริงๆสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่มันปล่อยตัวอย่างออกมา แถมได้เสียงเฮลั่นจากคนดูในเทศกาล Fantastic Fest เมื่อปีที่แล้วอีกต่างหาก
ต้องบอกก่อนว่า Mind's Eye เป็นหนังเกรดไม่ดีมาก น่าจะเรียกว่าเกรดต่ำทุนน้อยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่หนังมันเล่นกับความเป็นสไตล์หนังสยองทุนต่ำยุค80 ที่เสียงเพลงหลอนๆ เอฟเฟคจัดๆ การแสดงล้นๆ ซึ่งโดยรวมแล้วมันออกมาดีจนต้องยกนิ้วให้
คือถ้ามีทุนสูงกว่านี้แล้วเอฟเฟคแจ่มๆ บอกเลยว่าไม่ได้อารมณ์นี้ หนังมันเพอร์เฟคในความกิ๊กก๊อกของมันสุดๆ
พลอตเรื่องค่อนข้างธรรมดาสำหรับความเป็นหนังสยอง-ไซไฟ แต่บวกกับองค์ประกอบที่กล่าวมา มันเลยเป็นหนังที่ดูเพลินๆเรื่องนึงเลยนะ (ติดตรงการแสดงๆล้นๆของมันบางทีก็ก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ก็พอรับได้ๆ โอเค๊ๆ) ชอบตรงที่พลังพิเศษมันดูไม่พิเศษเริดหรูน่ายกย่อง คือถ้าใช้ในทางที่ดีมันก็ได้ แต่จะไม่ใช้เลยแล้วใช้ชีวิตปกติก็ดูจะดีกว่า ในทางกลับกันพอเอาไปใช้ในทางที่เลวก็น่ากลัว จุดประสงค์ของด๊อกเตอร์สโลแวคคือโรคจิตใช้ได้ มันบ้าพลังอยากมีพลังพิเศษ อยากพิสูจน์ว่ามันแกร่งกว่าพวกที่มีโดยธรรมชาติ แต่สุดท้ายความโลภก็ทำให้ด๊อกเตอร์ต้องแพ้(ตามปกติ) และคนที่เก่งที่สุดก็คือ แซค ซึ่งคือพระเอก (แหงอยู่ล่ะ แหม)
Mind's Eye สามารถดูได้สองอารมณ์
1. สยองขวัญ-ไซไฟ หลอนหน่อยๆ ฉากฆ่าแหวะๆ เลือดสาดกระจาย หัวหลุดขาขาด มาครบค่ะ
2. คอมเมดี้ คือมันฮาในความล้น และฉากฆ่าที่บอกไปในข้อแรก พอมันผ่านไปบางทีก็เกิดความฮาได้นิดๆเหมือนกัน (แบบว่า โอ้โห๊ะ หัวกระเด็นไกลจังเลยนะ) แต่ก็ขำขันเบาๆ แล้วก็กลับมาเคร่งเครียดกับเรื่องราวมันได้ต่อ (จริงๆก็ไม่เครียดเลยเหอะ ออกแนวสงสัยและอยากรู้ว่ามันจะเป็นไงต่อมากกว่า)
เอาแบบสั้นๆพอละกันรอบนี้
หนังเจ๋งดี องค์ประกอบจัดจ้าน ดูเพลินๆแก้เบื่อแก้เซ็ง เพิ่มรสชาติให้การดูหนังนิดหน่อย
เอาไป
8/10
เจ๋ง เก๋ ดูจบเบะปากพยักหน้าชื่นชม แต่ไม่พีคอีกเช่นเคย
The Mind's Eye (2015)
Directed by Joe Begos
Cast: Graham Skipper, Lauren Ashley Carter and John Speredakos
เรื่องราวของกลุ่มคนผู้มีพลังจิตพิเศษอย่างการสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ถูกจับตัวมาทำการทดลองลับโดย ด๊อกเตอร์สโลแวค จอมโรคจิต ผู้หวังผลจากการทดลองให้ตัวเองมีพลังอย่างคนกลุ่มนี้ ภายหลัง แซค และ เรเชล สองมนุษย์ทดลองสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จ ตอนนั้นเองที่เกมไล่ล่าและการล้างแค้นได้เริ่มต้นขึ้น
จริงๆสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่มันปล่อยตัวอย่างออกมา แถมได้เสียงเฮลั่นจากคนดูในเทศกาล Fantastic Fest เมื่อปีที่แล้วอีกต่างหาก
ต้องบอกก่อนว่า Mind's Eye เป็นหนังเกรดไม่ดีมาก น่าจะเรียกว่าเกรดต่ำทุนน้อยด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่หนังมันเล่นกับความเป็นสไตล์หนังสยองทุนต่ำยุค80 ที่เสียงเพลงหลอนๆ เอฟเฟคจัดๆ การแสดงล้นๆ ซึ่งโดยรวมแล้วมันออกมาดีจนต้องยกนิ้วให้
คือถ้ามีทุนสูงกว่านี้แล้วเอฟเฟคแจ่มๆ บอกเลยว่าไม่ได้อารมณ์นี้ หนังมันเพอร์เฟคในความกิ๊กก๊อกของมันสุดๆ
พลอตเรื่องค่อนข้างธรรมดาสำหรับความเป็นหนังสยอง-ไซไฟ แต่บวกกับองค์ประกอบที่กล่าวมา มันเลยเป็นหนังที่ดูเพลินๆเรื่องนึงเลยนะ (ติดตรงการแสดงๆล้นๆของมันบางทีก็ก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ก็พอรับได้ๆ โอเค๊ๆ) ชอบตรงที่พลังพิเศษมันดูไม่พิเศษเริดหรูน่ายกย่อง คือถ้าใช้ในทางที่ดีมันก็ได้ แต่จะไม่ใช้เลยแล้วใช้ชีวิตปกติก็ดูจะดีกว่า ในทางกลับกันพอเอาไปใช้ในทางที่เลวก็น่ากลัว จุดประสงค์ของด๊อกเตอร์สโลแวคคือโรคจิตใช้ได้ มันบ้าพลังอยากมีพลังพิเศษ อยากพิสูจน์ว่ามันแกร่งกว่าพวกที่มีโดยธรรมชาติ แต่สุดท้ายความโลภก็ทำให้ด๊อกเตอร์ต้องแพ้(ตามปกติ) และคนที่เก่งที่สุดก็คือ แซค ซึ่งคือพระเอก (แหงอยู่ล่ะ แหม)
Mind's Eye สามารถดูได้สองอารมณ์
1. สยองขวัญ-ไซไฟ หลอนหน่อยๆ ฉากฆ่าแหวะๆ เลือดสาดกระจาย หัวหลุดขาขาด มาครบค่ะ
2. คอมเมดี้ คือมันฮาในความล้น และฉากฆ่าที่บอกไปในข้อแรก พอมันผ่านไปบางทีก็เกิดความฮาได้นิดๆเหมือนกัน (แบบว่า โอ้โห๊ะ หัวกระเด็นไกลจังเลยนะ) แต่ก็ขำขันเบาๆ แล้วก็กลับมาเคร่งเครียดกับเรื่องราวมันได้ต่อ (จริงๆก็ไม่เครียดเลยเหอะ ออกแนวสงสัยและอยากรู้ว่ามันจะเป็นไงต่อมากกว่า)
เอาแบบสั้นๆพอละกันรอบนี้
หนังเจ๋งดี องค์ประกอบจัดจ้าน ดูเพลินๆแก้เบื่อแก้เซ็ง เพิ่มรสชาติให้การดูหนังนิดหน่อย
เอาไป
8/10
เจ๋ง เก๋ ดูจบเบะปากพยักหน้าชื่นชม แต่ไม่พีคอีกเช่นเคย
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ดูแล้วบ่น: Cell (2016)
*สปอยแรง*
Cell (2016)
Directed by Tod Williams
Cast: John Cusack, Samuel L. Jackson and Isabelle Fuhrman
based on the novel by STEPHEN KING!!!
**เน้นเลย ชอบมาก เผื่อใครชอบด้วยจะได้ดูแบบไม่ต้องคิดแบบเรา ฮ่าๆๆๆ**
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเกิดคลื่นสัญญาณประหลาดบางอย่างส่งผ่านมายังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องทุกเครือข่ายทั่วโลก คลื่นประหลาดที่ส่งตรงไปยังสมอง ทำให้มนุษย์เริ่มฆ่าฟันกันเองเป็นจำนวนมากและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดไปในที่สุด เหตุการณ์เลวร้ายทำให้ เคลย์ เป็นห่วงลูกเมียที่เพิ่งติดต่อกันก่อนเกิดเหตุประหลาดเพียงไม่กี่วินาที ว่าพวกเขายังรอดชีวิตอยู่หรือไม่ การออกเดินทางเพื่อตามหาครอบครัวของเขา และเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกกลุ่มนึงจึงได้เริ่มขึ้น
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ครั้งแรกที่เห็นคือโปสเตอร์หน้าโรงหนังซึ่งมีหน้าของ จอห์น คูแซค กับ เฮียนิก ฟิวรี่ แหะหลาอยู่หน้าโปสเตอร์ แล้วก็มีคำว่า Cell อยู่ตรงกลาง ไม่ได้อ่านรายละเอียดอื่นๆเลยว่าใครสร้าง ใครทำ ใครแต่ง ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ สุดท้ายก็มารู้ตอนเลือกที่จะเปิดดู(เพราะดรานั่นแหละ) ว่านี่เป็นหนังสร้างจากนิยายของ สตีเฟ่น คิง แถมเฮียคิงแกยังร่วมเขียนบทหนังด้วยนะ
อ่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ
พอดีวันก่อนเพิ่งทำเควสเกี่ยวกับหนังซอมบี้แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่า มีอีกตั้งหลายเรื่องที่ในเควสไม่ได้กล่าวถึง และก็เพิ่งจะนึกได้อีกเช่นกันว่า เรื่องนี้ก็จัดว่าเป็นหนังซอมบี้สไตล์หนึ่งด้วยเหมือนกัน (เป็นมั้ยไม่รู้ รู้แต่ชื่อหนังภาษาไทยก็ "CELL โทรศัพท์ซอมบี้" แล้วอ่ะ ฮ่าๆๆ)
แต่ลักษณะของซอมบี้ในสไตล์ของ สตีเฟ่น คิง คืออย่างโหด นอกจากจะกินทุกสิ่งที่ขวางหน้าแล้ว (คือมันกินได้เหมือนมนุษย์ปกติ และมันก็กินมนุษย์ด้วยเช่นกัน) มันยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและติดต่อสื่อการกันได้อีกต่างหาก ประมาณว่า หนึ่งตัวเจอเหยื่อ อีกสิบยี่สิบตัวจะแห่กันมาวิ่งไล่ด้วย
ข้อดีของมันคือ ฆ่ายังไงก็ตาย ไม่ต้องเล็งหัวยิงอกก็ได้ เพราะยังไงมันก็ยังเป็นมนุษย์ มันไม่ใช่ผีดิบตายแล้วฟื้น เพียงแต่มันขาดสติและใช้สัญชาตญาณเหมือนสัตว์มากกว่า
ข้อเสียของมันก็คือตรงที่มันไวมากนี่แหละ สู้ทีอย่างเหนื่อย แถมแต่ละตัวนี่มาโหดมาก ถือไม้ถือขวานกันคนละอันแล้วก็วิ่งไล่คนปกติที่ไม่ได้เป็นอย่างพวกมัน
คำว่า "พวกมัน" น่ะ ในทีนี้ก็คือพวกที่ถูกคลื่นประหลาดเล่นงานนั่นแหละ คิดว่ามันเป็นผลทำให้สมองของมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วย (คิดว่าเป็นคลื่นเสียง ดูจากวิธีสื่อสารกับวิธีแพร่ระบาด)
แถมตัวละครในหนังมันยังวิเคราะห์ด้วยว่า คนพวกนี้มันเหมือนนก รับรู้ถึงการปรากฎตัวของเหยื่อพร้อมๆกันและออกล่าพร้อมกัน พวกมันจะเดินทางหรือเคลื่อนไหวไปเป็นกลุ่ม ติดต่อผ่านคลื่นเสียง(เหมือนวิทยุ) พอพระอาทิตย์ตกก็จะรวมตัวกันไปนอนกองเป็นกลุ่มใหญ่
ในอารมณ์หนึ่งมันคล้ายๆกับคอมิกซ์เรื่อง Crossed เหมือนกันนะ แบบมีโรคระบาดแพร่กระจายโดยไร้สาเหตุ คนที่โดนแพร่ก็จะกลายเป็นคนบ้าคลั่งกระหายเลือดไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างโหดสลัด
แต่ Cell ไม่โหดเท่า Crossed หรอก Crossed นี่เวลาฆ่าอย่างโหด ซาดิสสุดๆ แถมฉลาดมีสติพอจะวางแผน วางกับดักอะไรงี้ด้วยนะ
ด้วยความที่มันโหดในระดับนึง แต่ไม่บ้าระห่ำเหมือนหนังซอมบี้ทั่วไป คอหนังที่เสพติดฉากแอ็คชั่นลุ้นระทึกหัวใจเต้นรัว อาจไม่ชอบเรื่องนี้ก็ได้ มันเหมือนจะเป็นหนังซอมบี้ที่โฟกัสกับการเอาชีวิตรอดมากกว่า แบบเจอผู้รอดชีวิตด้วยกัน หลบหลีกพวกบ้าคลั่ง อะไรทำนองนั้น
ขณะเดียวกันมันก็มีปริศนาชิ้นใหญ่อย่าง "สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง" ค่อยกระตุ้นคนดูให้อยากรู้อยู่ตลอดเวลา หนังเหมือนจะบอกเราช่วงนึงแต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบในข้อสงสัยนี้เท่าไหร่ แต่รวมๆแล้ววิธีดำเนินเรื่องค่อนข้างดึงความสนใจเราได้พอควร และโฟกัสกับหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่หลุดไปโลกอื่น(ในหัว)ซะก่อน
ซึ่งน่าเสียดายมากที่ไม่ได้อ่านตัวนิยายมาก่อน ไม่งั้นอาจจะสนุกกว่านี้ หรือเข้าใจมันมากกว่านี้ก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตกลงมันเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้หรือเปล่างี้
แต่จริงๆไม่มีอะไรอธิบายเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในเรื่องของ สตีเฟ่น คิง ได้ทั้งนั้นแหละ สันนิษฐานไปก่อนได้เลยว่า ผีแน่ๆ ลี้ลับแน่ๆ แต่ที่แปลกคือเรื่องนี้มันเป็นไซไฟนิดๆน่ะสิ มีคลื่นความถี่สักอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง โทรศัพท์มือถืออีก เลยยิ่งทำให้สับสนเข้าไปใหญ่ว่าตกลงมันจะเป็นปรากฎการณ์ล้างโลกที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ได้กันแน่
จุดที่ทำให้สับสนที่สุดก็คือ การปรากฎตัวของมนุษย์หน้าเละสวมฮู้ดแดง คือทุกคนในกลุ่มพระเอก(จอห์น คูแซค) ฝันเห็นชายปริศนาคนนี้เหมือนกันหมดแต่อยู่ในคนละเหตุการณ์ คนละฝันร้ายเท่านั้น ตรงนี้เลยทำให้คิดว่า อ้อ มันคือตัวบงการแน่ๆ แต่พระเอกก็อธิบายอยู่ว่ามันเป็นตัวละครในจินตนาการที่มันเคยอ่านเจอ อย่างงี้ก็แปลว่าไม่มีตัวตนน่ะสิ
เรื่องของชายฮู้ดแดงเราเลยคิดเองเออเองว่า สงสัยจะเป็นเพราะผลของคลื่นประหลาดนี่ละมั้ง ที่ทำให้ทุกคนฝันเห็นตัวละครเดียวกัน อาจเป็นไปได้ว่าพระเอกมันสร้างขึ้นมา แล้วส่งคลื่นสมองไปยังคนอื่นๆที่นอนอยู่เลยทำให้ทุกคนเห็นอย่างงี้?
เออมันก็เป็นไปได้นะ (ดูดีมีหลักการขึ้นมาในทันที)
รวมๆแล้ว หนังใช้ได้เลย สนุกชวนติดตาม ไม่ผิดหวังตั้งแต่ต้นจนเกือบจบ
เน้นว่า เกือบจบ ฮ่าๆๆๆ
แฟนนิยาย หรือใครที่คุ้นเคยกับเรื่องราวของ สตีเฟ่น คิง ดีน่าจะเข้าใจบทสรุปของหนังเรื่องนี้ดี
และไม่โวยวายว่า "ทำไมมันจบแบบนี้!!" แน่ๆ ตามสไตล์ของเฮียคิงน่ะนะ
งานภาพก็หนังทริลเลอร์-สยองขวัญทั่วไป ใช้ได้
เล่าเรื่องดี บทดีมาก นักแสดงก็ยอดเยี่ยมตามความสามารถ (อิซาเบล เฟอร์แมน เด็กจาก Orphan เรื่องนี้กิ๊บเก๋ดี สวยด้วย)
สำหรับCell ก็...
9/10
คือหนังดีนะ ชอบ แต่ก็ยังไม่พีคอีกเช่นเคย แถมเสียดายด้วยไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ทั้ง คูแซค และ แจ็คสัน เคยเล่นหนังสร้างจากงานเขียนของ สตีเฟ่น คิง มาแล้ว ใน 1408 เมื่อปี2007 อันนั้นเป็นเรื่องสั้นของคิง ผีหลอนประสาทแท้ๆเลย
- นิยายเรื่อง Cell ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006 เพราะงั้นแนวคิดเรื่องโทรศัพท์มือถือเป็นตัวทำให้คนคลั่น เรียกได้ว่าล้ำมาก เอามาทำเป็นหนังในอีก 10 ปีต่อมาแบบนี้ยังจัดว่าแจ่มเลย
Cell (2016)
Directed by Tod Williams
Cast: John Cusack, Samuel L. Jackson and Isabelle Fuhrman
based on the novel by STEPHEN KING!!!
**เน้นเลย ชอบมาก เผื่อใครชอบด้วยจะได้ดูแบบไม่ต้องคิดแบบเรา ฮ่าๆๆๆ**
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อเกิดคลื่นสัญญาณประหลาดบางอย่างส่งผ่านมายังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องทุกเครือข่ายทั่วโลก คลื่นประหลาดที่ส่งตรงไปยังสมอง ทำให้มนุษย์เริ่มฆ่าฟันกันเองเป็นจำนวนมากและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดไปในที่สุด เหตุการณ์เลวร้ายทำให้ เคลย์ เป็นห่วงลูกเมียที่เพิ่งติดต่อกันก่อนเกิดเหตุประหลาดเพียงไม่กี่วินาที ว่าพวกเขายังรอดชีวิตอยู่หรือไม่ การออกเดินทางเพื่อตามหาครอบครัวของเขา และเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกกลุ่มนึงจึงได้เริ่มขึ้น
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ครั้งแรกที่เห็นคือโปสเตอร์หน้าโรงหนังซึ่งมีหน้าของ จอห์น คูแซค กับ เฮียนิก ฟิวรี่ แหะหลาอยู่หน้าโปสเตอร์ แล้วก็มีคำว่า Cell อยู่ตรงกลาง ไม่ได้อ่านรายละเอียดอื่นๆเลยว่าใครสร้าง ใครทำ ใครแต่ง ยังไม่เคยเห็นแม้แต่ตัวอย่างของหนังเรื่องนี้ สุดท้ายก็มารู้ตอนเลือกที่จะเปิดดู(เพราะดรานั่นแหละ) ว่านี่เป็นหนังสร้างจากนิยายของ สตีเฟ่น คิง แถมเฮียคิงแกยังร่วมเขียนบทหนังด้วยนะ
อ่ะ เข้าเรื่องกันเถอะ
พอดีวันก่อนเพิ่งทำเควสเกี่ยวกับหนังซอมบี้แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่า มีอีกตั้งหลายเรื่องที่ในเควสไม่ได้กล่าวถึง และก็เพิ่งจะนึกได้อีกเช่นกันว่า เรื่องนี้ก็จัดว่าเป็นหนังซอมบี้สไตล์หนึ่งด้วยเหมือนกัน (เป็นมั้ยไม่รู้ รู้แต่ชื่อหนังภาษาไทยก็ "CELL โทรศัพท์ซอมบี้" แล้วอ่ะ ฮ่าๆๆ)
แต่ลักษณะของซอมบี้ในสไตล์ของ สตีเฟ่น คิง คืออย่างโหด นอกจากจะกินทุกสิ่งที่ขวางหน้าแล้ว (คือมันกินได้เหมือนมนุษย์ปกติ และมันก็กินมนุษย์ด้วยเช่นกัน) มันยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วและติดต่อสื่อการกันได้อีกต่างหาก ประมาณว่า หนึ่งตัวเจอเหยื่อ อีกสิบยี่สิบตัวจะแห่กันมาวิ่งไล่ด้วย
ข้อดีของมันคือ ฆ่ายังไงก็ตาย ไม่ต้องเล็งหัวยิงอกก็ได้ เพราะยังไงมันก็ยังเป็นมนุษย์ มันไม่ใช่ผีดิบตายแล้วฟื้น เพียงแต่มันขาดสติและใช้สัญชาตญาณเหมือนสัตว์มากกว่า
ข้อเสียของมันก็คือตรงที่มันไวมากนี่แหละ สู้ทีอย่างเหนื่อย แถมแต่ละตัวนี่มาโหดมาก ถือไม้ถือขวานกันคนละอันแล้วก็วิ่งไล่คนปกติที่ไม่ได้เป็นอย่างพวกมัน
คำว่า "พวกมัน" น่ะ ในทีนี้ก็คือพวกที่ถูกคลื่นประหลาดเล่นงานนั่นแหละ คิดว่ามันเป็นผลทำให้สมองของมนุษย์สามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วย (คิดว่าเป็นคลื่นเสียง ดูจากวิธีสื่อสารกับวิธีแพร่ระบาด)
แถมตัวละครในหนังมันยังวิเคราะห์ด้วยว่า คนพวกนี้มันเหมือนนก รับรู้ถึงการปรากฎตัวของเหยื่อพร้อมๆกันและออกล่าพร้อมกัน พวกมันจะเดินทางหรือเคลื่อนไหวไปเป็นกลุ่ม ติดต่อผ่านคลื่นเสียง(เหมือนวิทยุ) พอพระอาทิตย์ตกก็จะรวมตัวกันไปนอนกองเป็นกลุ่มใหญ่
ในอารมณ์หนึ่งมันคล้ายๆกับคอมิกซ์เรื่อง Crossed เหมือนกันนะ แบบมีโรคระบาดแพร่กระจายโดยไร้สาเหตุ คนที่โดนแพร่ก็จะกลายเป็นคนบ้าคลั่งกระหายเลือดไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างโหดสลัด
แต่ Cell ไม่โหดเท่า Crossed หรอก Crossed นี่เวลาฆ่าอย่างโหด ซาดิสสุดๆ แถมฉลาดมีสติพอจะวางแผน วางกับดักอะไรงี้ด้วยนะ
ด้วยความที่มันโหดในระดับนึง แต่ไม่บ้าระห่ำเหมือนหนังซอมบี้ทั่วไป คอหนังที่เสพติดฉากแอ็คชั่นลุ้นระทึกหัวใจเต้นรัว อาจไม่ชอบเรื่องนี้ก็ได้ มันเหมือนจะเป็นหนังซอมบี้ที่โฟกัสกับการเอาชีวิตรอดมากกว่า แบบเจอผู้รอดชีวิตด้วยกัน หลบหลีกพวกบ้าคลั่ง อะไรทำนองนั้น
ขณะเดียวกันมันก็มีปริศนาชิ้นใหญ่อย่าง "สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง" ค่อยกระตุ้นคนดูให้อยากรู้อยู่ตลอดเวลา หนังเหมือนจะบอกเราช่วงนึงแต่สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบในข้อสงสัยนี้เท่าไหร่ แต่รวมๆแล้ววิธีดำเนินเรื่องค่อนข้างดึงความสนใจเราได้พอควร และโฟกัสกับหนังได้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่หลุดไปโลกอื่น(ในหัว)ซะก่อน
ซึ่งน่าเสียดายมากที่ไม่ได้อ่านตัวนิยายมาก่อน ไม่งั้นอาจจะสนุกกว่านี้ หรือเข้าใจมันมากกว่านี้ก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตกลงมันเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้หรือเปล่างี้
แต่จริงๆไม่มีอะไรอธิบายเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในเรื่องของ สตีเฟ่น คิง ได้ทั้งนั้นแหละ สันนิษฐานไปก่อนได้เลยว่า ผีแน่ๆ ลี้ลับแน่ๆ แต่ที่แปลกคือเรื่องนี้มันเป็นไซไฟนิดๆน่ะสิ มีคลื่นความถี่สักอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง โทรศัพท์มือถืออีก เลยยิ่งทำให้สับสนเข้าไปใหญ่ว่าตกลงมันจะเป็นปรากฎการณ์ล้างโลกที่อธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ได้กันแน่
จุดที่ทำให้สับสนที่สุดก็คือ การปรากฎตัวของมนุษย์หน้าเละสวมฮู้ดแดง คือทุกคนในกลุ่มพระเอก(จอห์น คูแซค) ฝันเห็นชายปริศนาคนนี้เหมือนกันหมดแต่อยู่ในคนละเหตุการณ์ คนละฝันร้ายเท่านั้น ตรงนี้เลยทำให้คิดว่า อ้อ มันคือตัวบงการแน่ๆ แต่พระเอกก็อธิบายอยู่ว่ามันเป็นตัวละครในจินตนาการที่มันเคยอ่านเจอ อย่างงี้ก็แปลว่าไม่มีตัวตนน่ะสิ
เรื่องของชายฮู้ดแดงเราเลยคิดเองเออเองว่า สงสัยจะเป็นเพราะผลของคลื่นประหลาดนี่ละมั้ง ที่ทำให้ทุกคนฝันเห็นตัวละครเดียวกัน อาจเป็นไปได้ว่าพระเอกมันสร้างขึ้นมา แล้วส่งคลื่นสมองไปยังคนอื่นๆที่นอนอยู่เลยทำให้ทุกคนเห็นอย่างงี้?
เออมันก็เป็นไปได้นะ (ดูดีมีหลักการขึ้นมาในทันที)
รวมๆแล้ว หนังใช้ได้เลย สนุกชวนติดตาม ไม่ผิดหวังตั้งแต่ต้นจนเกือบจบ
เน้นว่า เกือบจบ ฮ่าๆๆๆ
แฟนนิยาย หรือใครที่คุ้นเคยกับเรื่องราวของ สตีเฟ่น คิง ดีน่าจะเข้าใจบทสรุปของหนังเรื่องนี้ดี
และไม่โวยวายว่า "ทำไมมันจบแบบนี้!!" แน่ๆ ตามสไตล์ของเฮียคิงน่ะนะ
งานภาพก็หนังทริลเลอร์-สยองขวัญทั่วไป ใช้ได้
เล่าเรื่องดี บทดีมาก นักแสดงก็ยอดเยี่ยมตามความสามารถ (อิซาเบล เฟอร์แมน เด็กจาก Orphan เรื่องนี้กิ๊บเก๋ดี สวยด้วย)
สำหรับCell ก็...
9/10
คือหนังดีนะ ชอบ แต่ก็ยังไม่พีคอีกเช่นเคย แถมเสียดายด้วยไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ทั้ง คูแซค และ แจ็คสัน เคยเล่นหนังสร้างจากงานเขียนของ สตีเฟ่น คิง มาแล้ว ใน 1408 เมื่อปี2007 อันนั้นเป็นเรื่องสั้นของคิง ผีหลอนประสาทแท้ๆเลย
- นิยายเรื่อง Cell ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006 เพราะงั้นแนวคิดเรื่องโทรศัพท์มือถือเป็นตัวทำให้คนคลั่น เรียกได้ว่าล้ำมาก เอามาทำเป็นหนังในอีก 10 ปีต่อมาแบบนี้ยังจัดว่าแจ่มเลย
วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
วันหยุดสุดชิล บ่นควบสองเรื่อง: Cafe Society + A Bigger Splash
ช่วงเวลาวันหยุดแบบนี้เป็นอะไรที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ
ปกติงานที่ทำต่อให้เป็นวันหยุดก็ต้องหนังเขียนงาน ส่วนใหญ่เลยหมกตัวอยู่บ้านพยายามไม่ออกไปไหน อย่างมากอาจจะแบกคอมไปนั่งตามร้านกาแฟ (แต่เมื่อเงินเหลือน้อยก็ไม่ทำ ฮ่าๆๆ)วันนี้เป็นวันหยุดแบบที่ไม่ต้องเร่งรีบเขียนงานอะไรให้ทันเวลา (จริงๆคือเขียนไปแล้วเสร็จแล้วนั่นเอง)
โอกาสดีๆแบบนี้เข้ากับหนังใหม่ที่อยากดูเข้าแบบชนโรงพร้อมกันสองเรื่อง ฉะนั้นอีนี่จึงไม่พลาดโอกาส ติดสอยห้อยตามแม่มาแต่เช้า หาร้านนั่งรอเวลาดูหนังไปชิลๆ!!
ใช่แล้ว หนังสองเรื่องวันนี้ก็คือ Cafe Society ของลุง Woody Allen กับ A Bigger Splash หนังที่เห็นงานภาพสวยตั้งแต่ปล่อยภาพแรก ไปจนถึงตัวอย่างแรก และดึงดูดความสนใจให้อยากดูเพราะดาราอย่าง Ralph Fiennes, Tidla Swinton และแน่นอน Dakota Johnson คนโปรดของฉันนนน (รักนางมากจากเรื่อง Goats ตามมาตลอดจนดังใน Fifty Shades of Grey นี่แหละ)
เพราะงั้นบล็อกนี้จึงจะบ่นถึงหนังทั้งสองเรื่อง เนื่องในโอกาสวันหยุดพิเศษกันไปซะเลยยยยย
ใครสนใจแค่เรื่องไหนก็เลื่อนๆเลือกๆเอานะ
*จะพยายามไม่สปอย ทั้งสองเรื่องเลย*
มีเรื่องขำๆก่อนได้ดู Cafe Society นิดนึง
คือไปดูโรง สกาล่า (นึกบรรยากาศนะ) แล้วมันก็มีตัวอย่างฉายแบบจัดเต็มต่อกันหลายๆเรื่องถูกมะ ก็มีตัวอย่าง Light Out ซึ่งจะเข้าสัปดาห์ถัดไป คือแค่ตัวอย่างปกติในจอคอมก็สยองแล้ว นี่ได้ดูในโรง บรื้อออ
และตอนที่หนังจะเริ่ม ไฟก็หลีดลง ไตเติ้ลขึ้น เพลงหนังลุงอัลเลนขึ้น
จู่ๆไฟทั้งโรงหนังก็สว่างพรึบ! ขึ้นมา... แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว...
นี่ถ้ามาดู Light Out จะหลอนจนดูหนังไม่ได้เลยนะ ฮ่าาๆๆๆๆ
Directed by Woody Allen
Cast: Jeannie Berlin, Steve Carell, Jesse Eisenberg, Blake Lively, Parker Posey, Kristen Stewart, Corey Stoll and Ken Stott
เรื่องราวของ บ๊อบบี้ (Jesse Eisenberg) ผู้เบื่อชีวิตในนิวยอร์กและไม่อยากสานต่อกิจการครอบครัวของพ่อเพราะมันน่าเบื่อเกินไป เลยหอบข้าวของออกจากบ้านบินข้ามประเทศไปยังฮอลลีวู้ดเพื่อร่วมงานกับ น้าชาย ฟีล สเติร์น (Steve Carell) ผู้ทรงอำนาจในวงการจอเงิน แต่แล้วบ๊อบบี้ก็ตกหลุมรักเข้ากับเลขาสาวของฟีล อย่าง วอนนี่ (Kristen Stewart) แต่เมื่อรักไม่สมหวัง บ๊อบบี้จึงบินกลับไปนิวยอร์กเพื่อช่วยกิจการไนท์คลับเปิดใหม่ของพี่ชาย และปลุกปันจนมันกลายเป็นสถานที่สังสรรค์ของไฮโซชั้นสูงในชื่อ Cafe Society
รอคอยเรื่องนี้มาตั้งแต่ประกาศนักแสดง คือจริงๆแล้วตามหนังลุงอัลเลนอยู่ ดูทุกเรื่องของลุงแกอยู่แล้วและแน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่พลาดเช่นกัน
สไตล์หนังก็เหมือนทุกทีบรรยากาศโรแมนติก-คอมเมดี้มาเต็ม ตลกร้ายเช่นเคย ย้อนยุคเช่นเคย(ดูลุงแก่หมกมุ่นกับช่วงเวลาในอดีตที่ทุกอย่างต้องใช้การรอคอย ไม่ใช่เร่งรีบอย่างทุกวันนี้) พูดถึงความสัมพันธ์ชู้สาวฉาวไปทั่วเหมือนเคย(แต่รอบนี้ดูเบาๆไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องวุ่นวายจนน่าปวดหัว)
และอีกอย่างที่เหมือนเดิมคือคาแร็กเตอร์ของตัวละคร โดยเฉพาะตัวเดินเรื่อง ถ้าเป็นสมัยที่ลุงแกยังอายุไม่ใช่เลข80น่ะนะ เชื่อว่าบทของ บ็อบบี้ จะต้องเป็นลุงแน่นอนที่เล่นบทนี้ แต่สำหรับ Jesse Eisenberg ก็ถือว่าดี จริงๆแล้วเหมือนเป็นร่างจำลองของลุงอัลเลนด้วยซ้ำ คือบุคลิกใช่มาก แค่หน้าตาดูร้ายกว่านิดหน่อย (อาจจะติดภาพเวลาทำหน้านิ่งๆเป็นตัวร้ายใน Batman v Superman หรือไม่ก็เรื่อง The Double ที่ดาร์กเหลือเกิน) ซึ่งนับว่าเรื่องนี้เจสซี่เล่นดีนะ ดีมาก เวลายิงมุกจีบหญิงนี่ยังรู้สึกเขินปนขำหน่อยๆเลย
และเช่นเคยอีกเหมือนกัน เพลงเพราะมากกก แจ๊สเต็มสตีม เข้ากับบรรยากาศ แอล.เอ. และ นิวยอร์ก ได้แบบชวนฝัน อย่างกับหลงไปอยู่ในคลับ Cafe Society ในหนังจริงๆเลย (นี่ก็เว่อร์ไป) แต่หนังของ วู้ดดี้ อัลเลน มีมนต์เสน่ห์แบบนี้จริงๆนะ มันให้อารมณ์เหมือนเราได้ไปเดินในนิวยอร์กจริงๆ ลองไปสัมผัสได้จาก Manhattan (1979) กับ Annie Hall (1977) ดูสิ มันเคลิ้มมากเลยนะ เคยถามพ่อด้วยว่ารู้สึกแบบเดียวกันนี้มั้ยเวลาดูสองเรื่องนี้ (พ่อเคยอยู่นิวยอร์กในปีไล่ๆกับหนังของอัลเลนมาก่อน) พ่อบอกว่ามันก็รู้สึกแหละ ในหลายๆซีน แต่ไม่ชอบหนังวู้ดดี้เลยไม่เคยทนดูจนจบ... โอเค๊ ฮ่าาๆๆ (เคยบังคัญให้ดู Midnight in Paris ด้วยนะ นางชอบนะ)
อย่างนึงที่รู้สึกขัดเขินแบบแปลกๆกับหนังเรื่องนี้คือบทของ Kristen Stewart นางแมนเกินกว่าจะเป็นนางเอกหนังหวานสไตล์นี้ ตอนแต่งหญิงจัดๆมีขนเฟอร์บนไหล่ไรงี้ เลยแบบ...อื้มมม ดูไม่เข้าอย่างแรง แต่จริงๆในความที่มันดูไม่เข้ามันก็เป็นประโยชน์นะ คือเพราะบุคลิกของเธอ ในบท วอนนี่ มันไม่เข้ากับการอยู่ในสังคมแบบนี้นั่นแหละ ง่ายๆคือนางเหมาะที่จะคบกับพระเอกมากกว่า แต่ก็อีกแหละ หนัง วู้ดดี้ อัลเลน ซะอย่าง ไม่มีความว่าสมหวังรักหวานชั่วนิรันดรตลอดกาล คือถ้าไม่ตาย ไม่นอกใจ ก็ต้องมีฝ่ายนึงหมดรักไปซะดื้อๆ
ซึ่งเราชอบคอนเซปของเรื่องนี้คือ ที่ว่า "ความฝันก็คือความฝัน" (ไม่รู้แปลถูกมั้ย จำไม่ได้ว่ามันพูดไรแบบเป๊ะๆ) คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต สิ่งที่เราฝันหวานถึงและรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ มันก็ได้แต่ฝันนั่นแหละ เหมือนกับความสัมพันธ์ของคู่พระนางในเรื่องนี้ นางรักกัน นางหลงกัน แต่มันเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่ฝันกันต่อไป
และเราคิดว่าใจจริงลึกๆแล้ว ทั้งสองคนก็ตัดใจที่จะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปอยู่ด้วยกันเงียบๆตามที่ฝันไว้ไม่ได้หรอก แบบ...ลึกๆแล้วนางเอกมันก็ฝันอยากจะมีหน้ามีตาในสังคม(ความฝันที่สาวส่วนใหญ่ไปแอลเอ.นั่นแหละ) ส่วนพระเอกก็มีความหวังลึกๆว่าจะสร้างตัวให้ยิ่งใหญ่ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาใคร(หลังจากโดนน้าฟีลไม่ให้ความสำคัญไปถึง3สัปดาห์กว่าจะได้เจอตัว ฮ่าาๆๆ)
ไปๆมาๆ มันเหมือนกับจะบอกว่า ถ้าฝันที่จะเจริญก้าวหน้า มีเงินมีทอง มันง่ายกว่าที่จะฝันถึงความสัมพันธ์แสนหวาน...ซึ่งไม่มีวันเป็นจริงได้แน่นอน ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ตาม...
อือหื้อออออ จี๊ดดดด มากกกกก
โอเค กลับมาที่ตัวหนัง
รวมๆแล้ว หนังสวยตามสไตล์ หวานฟุ้งพองาม ตลกร้ายเฮฮาบางซีนพอควร
ดนตรีประกอบดีตามท้องเรื่อง นักแสดงดีงามทุกบทบาท
สรุป
9/10
อย่างที่บอก หนังสวย งานลุงอัลเลน ดีงามหมดแหละ แต่ไม่พีคเท่างานบางเรื่องของลุงแก
-------------------------------------------------------------
จบไปแล้วหนึ่งเรื่อง เดินออกจากโรงสกาล่า รีบเดินจ้ำอ้าวยาวๆไปลิโด้โดยไวในรอบถัดไป
(ซึ่งมีเวลา ห่างกันให้พักหายใจแค่ 10 นาทีเท่านั้น)
และก็อีกแล้ว เข้าโรงมาทันดูตัวอย่าง Light Out อีกแล้ว...
โอเค ถ้าจะตามหลอนขนาดนี้ เดี๋ยวดูแกเป็นเรื่องถัดไปก็ได้!!!
Directed by Luca Guadagnino
Cast: Tilda Swinton, Ralph Fiennes, Matthias Schoenaerts and Dakota Johnson
ช่วงเวลาพักร้อนของร็อกสตาร์ชื่อดัง แมร์รีแอนน์ เลน (Tilda Swinton) และแฟนหนุ่มนักทำหนัง พอล (Matthias Schoenaerts) บนเกาะสวรรค์ที่อิตาลีต้องพังทลายไปในพริบตาเมื่อ โปรดิวเซอร์และอดีตคนรัก แฮร์รี่ (Ralph Fiennes) ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการบินมาหาเธอถึงที่พร้อมลูกสาวของเขา เพเนโลปี (Dakota Johnson) ไม่ช้าความหรรษาบนเกาะสวรรค์ก็กลายเป็นหายนะแรงหึง
(คือหนังมันปี2015เพราะฉายตามเทศกาลมาตั้งแต่ปลายปีโน้น ฉายจริงปี2016)
เอาจริงๆเรื่องย่อมันไม่ค่อยมีอะไรหรอก ก็แค่...คู่รักสองคนพักผ่อนอยู่ แล้วรักเก่าก็บินมาเซอร์ไพรส์พร้อมหอบลูกสาวที่เพิ่งรู้จักเมื่อไม่นานมาด้วย แล้วคิดสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อ... รักเก่ามาเจอกัน กับปล่อยให้เด็กวัยรุ่นมาเจอหนุ่มเสน่ห์แรง งานนี้ก็มีฟีเจอริ่งข้ามคู่กันสิคะที่รัก ถามได้
แต่ด้วยความธรรมดาของเนื้อเรื่อง สิ่งที่ทำให้ A Bigger Splash โดดเด่นคืองานภาพ งานตัดต่อ และวิธีที่ความลับค่อยๆเผยตัว
คืองานภาพมันสวยยยยย ซะจนแบบ อือหื้อออ อยากไปเที่ยวแบบนี้บ้าง ใช้ชีวิตชิลๆบนเกาะ จะลงน้ำเมื่อไหร่ก็ได้ จะขับรถเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ ฟินอะไรปานนี้ แต่ฟีลลิ่งสวยๆงามๆ ก็อยู่ได้แค่ครึ่งเรื่องเท่านั้น เมื่อทิศทางของเรื่องมุ่งไปในอารมณ์ดราม่าเข้มข้น ความสวยงามของแสงแดดมันหายไปซะเฉยๆ(ทั้งที่มันก็แสงแดดเดียวกันนั่นแหละ) จนกลายเป็นความรำคาญไปในพริบตา แบบ แดดและแยงตาไปไหน บรรยากาศเครียดได้อีก
คืออารมณ์ของหนังมันไปตามสภาพอากาศของหนังจริงๆนะ แบ่งออกเป็น แสงแดดเกาะสวรรค์แสนรื่นรม ก็รื่นเริงและหรรษากันไปในทีแรก ต่อด้วยลมแรงฝุนตลบที่เป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องราวมันเริ่มจะยุ่งขึ้นเรื่อยๆละ แล้วจู่ๆฝนฟ้าพายุก็เข้าตอนที่เรื่องราวมันพีคสุดขีดในช่วงท้ายของหนัง ง่ายๆตามภาษาภาพยนตร์ มันก็คือครบรสทั้ง3องค์นั่นแหละ แต่ที่ชอบคือหนังใช้สภาพอากาศสภาพแวดล้อมของเกาะได้สวยงามมาก และเมื่อบวกกับวิธีตัดต่อของหนังที่เป็นจั้มป์คัต กับดนตรีประกอบแบบแปลกๆ(แบบจำแนวเพลงไม่ได้ รู้แต่ว่าแปลกและให้อารมณ์เหมือนหนังลี้ลับมากกว่า) ความน่าสนใจของเนื้อเรื่องเลยดูโดดเด่นขึ้นมาและเบียงเบนความสนใจเราจนลืมที่จะนึกและเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป
อีกอย่างที่โดดเด่นสุดๆคือตัวละคร
แฮร์รี่ บทของเฮียราล์ฟ เป็นบทที่พูดมากกกก ชิหายเลย คือพูดจนรู้สึกรำคาญแทน แอบหลุดๆหน่อยนึงด้วยว่าแบบมันพูดบ้าอะไรของมันว่ะ คือเป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่รู้สึกได้ว่าน่าจะมีบทให้อ่านเกือบครึ่งนึงของบทหนังทั้งหมด ในฉากที่ไม่มีพี่แกอยู่คือรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเงียบเหงา ความวังเวง
ขณะเดียวกัน ตัวละครของเจ๊ทิลด้า กับแฟนหนุ่ม (อีตา Matthias Schoenaerts) ดูมีอะไรอยากจะพูดตลอดเวลา แต่พวกเขากลับสื่อสารกันด้วยท่าทาง (เจ๊ทิลด้าแทบพูดไม่ได้ทั้งเรื่องเพราะในเรื่องคือแกผ่าตัดคอมา) ซึ่งดูเข้าใจกันดีทุกๆอย่างตั้งแต่ส่งสายตา หัวเราะ ร้องไห้
ส่วนตัวละครของดาโกต้า ก็เป็นอะไรที่โนแคร์โนสนมาก ใครจะทำไรก็ทำ ฉันไม่สนและฉันจะคอยสังเกตการณ์อย่างเดียว ดูทุกคนพยายามดิ้นรนสื่อสารกัน และเมื่อถึงเวลาที่นางอยากได้อะไรสักอย่าง (ในที่นี่ก็คือปู้ชาย) นางก็ต้องได้ ยั่วสุดตัวมาก
ซึ่งอยากจะบอกสำหรับใครที่เจอโฆษณาโปรโมทว่า เรื่องนี้ดาโกต้าจัดเปลือยจัดแซ่บร้อนแรงกว่า Fifty Shades ขอบอกว่าผิด นางเปลือยจริง แต่มันไม่ได้ร้อนแรงขนาดนั้น คือมันเซ็กซี่แต่มันออกแนววาบหวิว เหมือนงานอาร์ต ที่ดูๆแล้วเหมือนเราจะเห็นทุกอย่าง แต่เอะมันก็ไม่ได้เห็นอะไรขนาดนั้น (ผิดกับ Fifty ที่หลายๆซีนคือเน้นเหลือเกิน ก็ต่างจุดประสงค์กันนี่นะ) ฉากโป้เปลือยของหนังเรื่องนี้อยากจะบอกว่าสวยมาก ไม่น่าเกลียดเลยสักนิด
รวมๆแล้วก็ดีงามทุกอย่างเลยนั่นแหละ
คิดไปคิดมาแล้วก็...
10/10 ไปเลยละกัน ไม่คิดเยอะ
คือหนังสวยมาก เทคนิคดีมาก นักแสดงก็ดีงามมาก คือสมใจอยากมากที่ได้เห็น 4 คนนี้แสดงด้วยกัน
พีคมั้ย ไม่พีค แต่ดี เรื่อยๆดี แจ่มดี
ไม่ได้ลำเอียงว่านี่เป็นหนังของดาราโปรดเลยนะ ไม่เล๊ย!!
หนังดีจริงนะจะบอก
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ดูแล้วบ่น: The Conjuring 2 (2016)
The Conjuring 2 (2016)
Directed by James Wan
Cast: Patrick Wilson, Vera Farming, Madison Wolfe and Frances O'Connor
คู่สามีภรรยาวอร์เรน มือไล่ผีจากภาคที่แล้ว ได้เจอกับภารกิจใหม่ที่ท้าทายและน่ากลัวกว่าเดิมทางตอนเหนือของลอนดอน พวกเขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่รังควานครอบครัวของซิงเกิ้ลมัมกับลูกๆทั้งสี่คน สิ่งที่ปีศาจร้ายหมายตาก็คือ เจเน็ต ลูกสาวคนรองของบ้านที่สื่อสารกับพวกมันได้นั่นเอง
เรื่องย่อคร่าวๆก็ประมาณนั้น เหตุประหลาดในบ้านโทรมๆหลังนึงที่อังกฤษคืออีกหนึ่งภารกิจช่วยเหลือผู้คนที่กำลังทุกข์ร้อนของคู่สามีภรรยา เอ็ด และ ลอร์เลน วอร์เรน มือปราบวิญญาณร้ายคนดังที่พวกเราคุ้นเคยจากเรื่องเล่าบนอินเตอร์เน็ตและแน่นอนกับ The Conjuring ภาคแรก ซึ่งเราก็ได้เห็นกันไปแล้วว่าทั้งคู่สามารถทำอะไรได้บ้าง
ด้วยเหตุที่เราคุ้นเคยกับทั้งสองคนดี ดังนั้นก็พอจะเดากันได้แบบไม่ต้องคิดเยอะว่าการที่สองคนนี้ไปปรากฎในบ้านที่ลอนดอนต้องไม่ได้ไปเพื่อสังเกตการณ์เฉยๆแน่ว่าบ้านหลังนี้มีสิ่งผิดปกติจริงหรือเปล่า แต่มันจะต้องมีเหตุบางอย่างที่ร้ายแรงจนสามีภรรยาวอร์เรนต้องยื่นมือเข้าไปช่วย โดยไม่ต้องรอความเห็นจากทางโบสถ์ (อย่างที่พวกเขาอ้างเสมอ และจะว่าไปก็อย่างที่หนังทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการไล่ผีอ้างนั่นแหละ ซึ่งบางเรื่องก็อ้างระดับศาสนจักรกันเลยทีเดียว)
ตอนแรกก็คิดๆอยู่ว่าหนังคงจะเดาได้และน่าเบื่อ เพราะอย่างน้อยเราก็คุ้นเคยกับฝีมือการกำกับของ เจมส์ วาน พอควร แถมเรื่องแนวๆไล่ผีก็เจอบ่อยแล้ว (จริงๆคือดูทุกเรื่องที่มีออกมาไม่ว่ามันจะดูเกรดบีแค่ไหนก็ตาม ฮ่าๆๆ)
แต่ที่เหลือเชื่อคือหนังไม่น่าเบื่อเลย แถมจังหวะยังชวนลุ้นตลอดเวลา โชคดีที่พี่วานแกไม่นิยม Jump Scare (หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่ายๆก็คือ ผีตุ้งแช่ แบบที่หลอกให้ตกใจด้วยภาพและเสียงนั่นแหละ) เพราะงั้นแต่ละฉากที่ลุ้นจนต้องยกเสื้อกันหนาวขึ้นมาปิดครึ่งหน้า (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะปิดทำไม ไม่ได้ช่วยเลย) มันไม่มีสักฉากที่ทำให้สะดุ้งตกใจ (กราบพี่วานงามๆ) แต่มันกลับหลอนจนต้องหรี่ตาดูพลางคิดในใจ "เกือบเล่นกูแล้ววว" แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรและกลับเข้าเรื่องราวได้ดี
คือถ้าสะดุ้งตกใจ อารมณ์จะตามเรื่องต่อบางทีก็แบบสะดุ้งหายไปด้วย (อิดวกกก จะหลอกกันทำไม งี้)
แต่ยอมรับว่าฉากหลอนๆคือแม่งหลอนมาก โดยเฉพาะฉากรถของเล่น ฉากเพลงคริสมาส(คิดดูว่าผีปีศาจหลอกด้วยการเปิดเพลงคริสมาสมันน่ากลัวขนาดไหน เพลงวัดมันยังเปิดให้ฟังเลยเออ!) และฉากที่เป็นรูปแม่ชี...คือแบบ ใครสั่งใครสอนให้ฝันร้ายแล้ววาดรูปออกมาเหมือนจริงขนาดนี้คะ แล้วใครสอนให้แกแขวนมันไว้หลังประตูมืดๆ!!! (ตกใจยิ่งกว่า jump scare อีก อีบ้า) แล้วยังมีน่ามาบอกว่าวาดไม่สวยอีกนะ เอ็ดคะ แนะนำให้แขวนไว้ใกล้หน้าต่างแล้วหาสปอตไลท์มาเสริมด้วยนะ ช่วยเห็นแก่ลูกเมียในบ้านพี่ด้วยค่ะ
อีกอย่างที่รู้สึกชอบมากกว่าภาคก่อนคือการเปลี่ยนให้มันกลายเป็นหนังไล่ผีแบบเต็มตัว ไม่ใช่หนังบ้านหลอกวิญญาณหลอน ที่แบบมีผนังลับ มีโพรงใต้บ้านอย่างเรื่องที่แล้ว แถมยังเน้นพวกเทคนิคหลอกหลอนในบ้านอะไรประมาณนั้น แต่เรื่องนี้เน้นให้เห็นมากกว่าว่าเด็กถูกสิงนะ เสียงเปลี่ยน หน้าเปลี่ยน มีภาพหลอนที่คนทั้งบ้าน และเพื่อนบ้าน และตำรวจ ก็เห็นเหมือนกันหมด
พูดง่ายๆคือมันให้อารมณ์คล้ายๆกับ The Exorcist ขึ้นมานิดนึง แต่แบบฮาร์ดคอร์กว่าเรื่องวิธีการหลอกหลอนคนในบ้าน และไม่ได้มีบรรยากาศคลาสสิกขนาด The Exorcist ที่เป็นบาทหลวงมาไล่ผีปีศาจจริงๆนั่นเอง
อีกอย่างที่ชอบ (หลายอย่างจริงวุ้ย) คือบรรยากาศมุ้งมิ้งอบอุ่นแบบครอบครัว ทั้งจากครอบครัววอร์เรน และครอบครัวฮอดจ์สัน ซึ่งมันให้อารมณ์ปลอบใจที่ดีว่า ระหว่างสู้กับสิ่งร้ายๆพวกเขาก็เก็บเกี่ยวความสุขได้จากกันและกันในครอบครัว รวมถึงโมเม้นหลังจากที่เรื่องบ้าๆมันผ่านไปแล้ว หนังทำให้เราอุ่นใจกับภาพที่พวกเขากลับไปมีชีวิตแสนสุขอีกครั้งได้ ซึ่งหนังไล่ผีเรื่องอื่นๆส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ทำให้เห็นภาพตรงนี้ ส่วนใหญ่ไล่ผีเสร็จก็จบ
มันก็มีข้อดีต่างกันไป ให้เห็นภาพก็ชวนอมยิ้มดี ไม่เห็นและตัดจบไปหลังจากภารกิจไล่ผีเสร็จก็ดีตรงที่อย่างน้อยก็รู้ว่ามันจบด้วยดี (แต่อีนี่คือโรคจิตอ่ะ อยากรู้ว่าแล้วพวกเขากลับไปใช้ชีวิตปกติได้มั้ยงี้)
รวมๆแล้ว
หนังทำหน้าที่เป็นหนังภาคต่อที่ดี จังหวะเจ๋งมาก ไม่หลอกให้กลัวแต่สร้างบรรยากาศชวนหลอนได้ดีสุดๆ
รอบนี้ดูจะมีลูกเล่นอย่าง Long-Take มากกว่าเดิม มีลูกเล่นอย่างการมองสลับไปมา ซึ่งให้อารมณ์แบบ "เมื่อไหร่แกจะหยุดหันไปหันมาซะที! กลัววว" แต่ก็ไม่มีอะไรโผล่มาตุ้งแช่ใส่นะ (อันนี้ไม่แน่ใจว่าภาคแรกหรือหนังเรื่องอื่นๆของพี่วานแกมีมั้ย จำไม่ได้ ถ้าผิดก็ขออภัย)
บทดี เพลงเพราะ(มาก)
สำหรับหนังหลอนที่สนุกเรื่องนี้ก็...
9/10 นะ
**คิดเรื่อยเปื่อย**
ในหนังจะใช้เพลง Cant' Help Falling In Love ของ Elvis Presley จนติดหู ร้องไปตลอดทางขี่รถกลับบ้าน (กลางฝนด้วย ได้ฟีลชะมัด ปากนี่สั่นเลย)
คือเพลงเหมาะมากกับคู่สามีภรรยาวอร์เรน แต่มาคิดๆดู ท่อนที่ร้องว่า
Take my hand...Take my whole life, too...For I can't help falling in love with you
ตามความหมายของเพลงก็ใช่แหละ ซึ้งดี
แต่คิดในแง่ของหนังไล่ผี (ขอเตือนว่าคิดเรื่อยเปื่อยจริงๆ ไร้ตรรกะไร้สาระมาก)
Take my hand = ปีศาจเชิญชวนให้จับมือ (เด็กหรือใครก็ตามที่สัมผัสมันได้)
Take my whole life, too = เมื่อสัมผัสกับปีศาจได้ มันสามารถเอาทั้งชีวิตคุณไปได้เลย (ฆ่าให้ตายนั่นเอง)
For I can't help falling in love with you = ช่วยไม่ได้ที่ปีศาจจะหลงคุณ (มันจะหลงอะไรขนาดอยากจะพรากชีวิตเด็กไปกับมันล่ะ)
บอกแล้วคิดเรื่อยเปื่อยจริงๆ สมองตูคิดบ้าอะไรเนี่ย
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559
ดูแล้วบ่น: Batman v Superman (2016)
*สปอยแน่นอน เตือนแล้วนะ*
Batman v Superman: Dawn of Justice (2016)
Directed by Zack Snyder
Cast: Ben Affleck, Henry Cavill, Amy Adams, Jesse Eisenberg, Gal Gadot, Jeremy Irons, Laurence Fishburne and Diane Lane
ไม่ค่อยจะอยากเขียนเรื่องย่อ เนื่องจาก...หนังมันไม่มีเรื่องราวอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจะให้เล่าจริงๆนะ เพิ่งจะนึกได้ตอนเริ่มบ่นในบล็อกนี่แหละ ว่าเอ่อ...แล้วตูจะเล่าเรื่องย่ออย่างไรดีน้อ
เอาแบบสั้นๆง่ายๆ แบบไม่ต้องไปหาเรื่องย่ออะไรอ่านให้ปวดหัวเพิ่มความยากลำบากในชีวิต
คือ บรูซ เวย์น โกรธเคืองที่ซูเปอร์แมนพังเมืองราบเป็นหน้ากลอง (ลึกๆคือโกรธที่พังตึกพี่แกเละเป็นจุลนั่นแหละ ทำคนงานพี่แกตายงี้) เวลาต่อมาพี่แกเลย พยายามคิดหาวิธีที่จะปราบซูเปอร์แมน เพราะเกรงว่าพลังของเขาจะเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ (แค่คิดจะล้างโลกพี่ซูปก็ทำได้ในพริบตาเลยนะ!)
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมหาศึกครั้งใหญ่ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ (เสียงเซอร์ราวน์แบบอลังการ)
แน่นอนว่าในตัวอย่างเผยทั้ง เล็กซ์ ลูเธอร์ และ ดูมส์เดย์ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดไรให้ซับซ่อน อีสองตัวนี่แหละตัวร้ายของเรื่อง ที่ทำให้พี่แบทกับพี่ซูปแกหันมาจับมือกันเพื่อปราบเหล่าร้าย แถมได้ผู้ช่วยสาวสวยเสริมทัพอีกแรงอย่าง วอนเดอร์ วูแมนนนนน!!! (เอาจริงนะ ทั้งเรื่องเลยนะ อิเจ้เท่สุดอะไรสุด ปรากฎตัวมาทำสตันนิ่งตลอด)
โดยรวมแล้ว หลายส่วนเหมือนกันที่ค่อนข้างแปลกใจ และไม่เหมือนในตัวอย่าง ซึ่งในทางกลับกัน ตัวอย่างมันสนุกกว่าหนังจริงเยอะเลย คือ วิธีการตัดต่อมันเล่าเรื่องกันไปคนละแบบ พอมาเจอหนังจริงที่เรียบเรียงภาพและเหตุการณ์ต่างจากตัวอย่าง คราวนี้เลยยุ่งหนักเลย บางซีนนี่ถึงขั้นตั้งคำถามว่า เอ็งจะใส่มาทำไมมมมม โดยเฉพาะฉากที่มันฝันเฟื่องระหว่างรอข้อมูล แล้วจู่ๆก็มีใครไม่รู้จากอนาคตมาบอกข้อความซัมติ้ง... คือถ้าเคยอ่านคอมิกซ์อาจจะรู้ว่าทำไม และคนนั้นเป็นใคร แต่ฉันไม่เคยอ่านจริงจัง เคยอ่านบางถ้าเจอ และเคยดูเป็นการ์ตูน Justice League ในช่อง การ์ตูนเน็ตเวิร์ค อะไรงี้ ซึ่ง...ก็พอจะเดาได้แหละ ว่ามันต้องเป็นฮีโร่สักตัวจากอนาคต แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะมาบอกสิ่งที่ "คนดู" รู้อยู่แล้วทำไม (อันนี้ต้องไปหาคำตอบเอาเองนะว่ามันพูดอะไร)
ซึ่งถามว่าสนุกมั้ย สนุกนะ เราชอบเลยล่ะ เฮนรี่ คาวิลล์ ภาคนี้หล่อดี ดูเท่กว่า Man of Steel เยอะเลย
(เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ล่ะ)
คือในบางอารมณ์ภาพของ แบทแมน กับ ซูเปอร์แมน ในการ์ตูน JL ที่เคยดูมันแว๊บเข้ามาในหัวเลย
บางมุกก็ฮาดี แต่ฮาแบบยิ้มๆขำๆ (ไม่ได้ก๊ากแบบมาร์เวล) แล้วก็ผ่านไปเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
อย่างนึงที่สนุกคือฉากสู้อันแสนจะวินาศสันตะโร เรียกได้ว่าบู๊มันส์สะใจมั้ย? ใช่ มันส์ แอบมีอารมณ์ดูไม่รู้เรื่องอยู่นิดหน่อย เพราะมันอึกทึกครึกโครมควันโขมงซะจนดูไม่ทัน (นี่เลือกใช้คำเว่อร์วังมากตามความตูมตามของเรื่องเลยทีเดียว)
เลยกลายเป็นว่าหนังเน้นความบู๊ เน้นการปะทะกันระหว่างฮีโร่กับฮีโร่ หรือ ฮีโร่กับตัวร้าย เส้นเรื่องหลักจริงๆที่หนังควรจะเล่า กลับหายไปกลายเป็นเส้นบางๆที่ถูกดำเนินเรื่องไปแบบ...เป็นอะไรที่คนรู้อยู่แล้วประมาณนั้น นั่นแหละข้อเสีย หนังเล่าเหมือนว่าคนดูจะต้องรู้อยู่แล้วว่า อ๋อ ไอ้นี่นะ มันเป็นใครนะ ไอ้มนุษย์ประหลาดในแฟ้มของลูเธอร์มันคือฮีโร่คนนี้นี่หว่า!
เราเชื่อว่าหลายคนที่อยากดูหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แฟนคอมิกซ์ และต้องผิดหวังเมื่อหนังมันเล่าแบบเอาใจแต่แฟนคอมิกซ์จริงจัง ไม่ปูพื้น ไม่เล่าเรื่องใดๆให้รู้ทั้งสิ้น เปิดเรื่องมา เล่ากันแบบโจ๊ะๆมาก พ่อแม่เวย์น ตายนะ เกิดศึกระหว่าง ซูเปอร์แมนกับนายพลซอร์ด บ้านเมืองพังพินาศ แล้วก็ตามมาด้วยปมที่ใครสักคนพยายามใส่ร้ายป้ายสีซูเปอร์แมนให้ดูกลายเป็นอาชญากรบ้าพลัง ไม่ใช่ฮีโร่ผู้เป็นดั่งพระเจ้า
เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจที่หนังจะได้เสียงตอบรับทั้งดีและไม่ดี (ได้มะเขือเทศเน่าไปนี่ตกใจมาก)
อย่างนึงที่รู้สึกได้กับหนังเรื่องนี้คือ มันมีความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเองมากเกินไป พยายามใส่ปม ใส่เบาะแส อะไรต่างๆนาๆ ให้สามารถนำพาไปยังหนังเรื่องอื่นๆที่จะตามมา อันได้แก่ วอนเดอร์วูแมน อควาแมน และ Justice League ในภายหลัง ( เดอะแฟลช กับ ไซบอร์ก จะมีมั้ย ไม่แน่ใจ เดอะแฟลชน่าจะมี ส่วนกรีนแลนเทิร์นก็ได้ยินแว่วๆว่าจะทำ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เกี่ยวกับกรีนแลนเทิร์น) การใส่ปมพวกนี้เยอะไป มันเลยทำให้รู้สึกหนังถูกยัดเยียด และไม่เหลือเวลาที่จะเล่าเรื่องของ แบทแมน และ ซูเปอร์แมน แบบจริงๆจังๆ ซึ่งเราว่าถ้าตัดเบาะแสที่ทิ้งไว้เยอะแยะออกนะ หนังอาจจะเหลือเรื่องให้เล่าจริงๆแค่แบบ 2ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 2ชั่วโมงครึ่ง ประมาณนั้น (ไม่รู้นะเดามั่วไปงั้น)
คือก็เข้าใจฝีมือผู้กำกับคนนี้แหละนะ ตั้งแต่ 300, Watchmen และ Sucker Punch คือบทจะยืดก็ยืดดดด ซะ พูดบ้าไรกันว่ะ บทจะตัดก็ฉึบฉับ... (โดยส่วนตัวเกลียด Sucker Punch สุด)
ดีงามจริงๆคือ Dawn of the Dead กับ Man of Steel ซึ่ง...ก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ดีที่สุดในงานของพี่แกแล้วแหละ (ซึ่งก็อีกแหละ DotD คือไม่ดีเท่าของเก่า ส่วน MoS บางช่วงก็ชวนหลับเสียไม่มี)
มาถึงตัวละครแต่ละตัวกันดีกว่า
ซูเปอร์แมน ดีงามพระรามแปดมาก บทจะเท่ก็เท่ซะ บทจะพระเจ้าก็แสงเรืองรอง บทจะกลายเป็นมนุษย์เพราะคริปโตไนท์ ก็ดูน่าสงสารสุด
แบทแมน ...เอิ่ม...อ้วน...อ่ะ! มันอ้วนอ่ะ มันตัวใหญ่ไปอ่ะ ! หูสั้นด้วย อย่างกับแมวอ้วน ไม่ใช่มนุษย์ค้างคาว! แต่เข้าใจแหละ วางเรื่องไว้ว่าเป็นแบทแมนตอนแก่ ปราบเหล่าร้ายมาตั้ง 20 ปี แถมโรบินก็ทำท่าว่าจะถูกปิดฉากไปแล้วด้วย (เดาจากชุดในตู้กระจก) นับว่าพี่เบนแกเล่นบทนี้ใช้ได้ อคติแง่ลบน้อยลงจากตอนรู้ข่าวนิดนึง แต่ไม่ถือว่าดีจนประทับใจ (พี่ลงทุนฟิตหุ่นมาเฟิร์มไปค่ะ)
เล็กซ์ ลูเธอร์ คือชอบมาก (ชอบเจสซี่แสดงแหละจริงๆแล้ว) ลูเธอร์เรื่องนี้ดูหลุดความเป็นลูเธอร์ไปหน่อย (อ้างอิงจากหนัง Superman ภาคเก่าทั้งหมดที่ ยีน แฮ๊คแมน เล่น รวมถึงภาคที่ เควิน สเปซี่เล่นด้วย) เรื่องนี้ลูเธอร์ดูแบบ โรคจิต ประสาท ดูเป็นเด็กเรียกร้องความสนใจ ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเห็นพระเจ้าตีกับมนุษย์ที่ตั้งตนเป็นอัศวินแห่งรัตติกาล ได้ทำพระเจ้าเจ็บ ได้ทำพระเจ้าเสียใจ แค่นี้เฮียก็แฮปปี้แล้วววว (บ้าดี) เสียดายว่าหนังไม่ใส่เหตุผลให้ลูเธอร์เลยว่า ทำไมถึงอยากให้มันสู้กัน (นอกจากที่เห็นเรื่องความสะใจ) คือจู่ๆอีตัวละครนี้ก็โผล่มาแบบ ฉันจะเอาหินคริปโตไนท์ก้อนใหญ่อ่ะ มาทำอาวุธไว้สู้กับซูเปอร์แมนอ่ะ แกไม่ให้ฉันหรอ ระเบิดแม่งเลย (สว.โดนสอยซะงั้น)
โลอิส เลน...ไม่พูดถึงนางก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีนางนี่หนังไม่จบนะเออ !!! คือ สังเกตตั้งแต่ภาคก่อนๆแล้ว นางคือตัวปัญหา คือหายนะของซูเปอร์แมน และรู้สึกเหมือนงานนี้นางจะเสี่ยงตายเกินหน้าที่มากกว่าปกติไปหน่อยนะ
สรุปเถอะนะที่รัก
หนังมีความดีงามในแง่มุมเล็กๆ ที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าจุดไหนบ้าง เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว...
หนังมันเล่าเรื่องแบบฉากต่อฉากจนมึน จนไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นเรื่องหลักและการเชื่อมต่อมันอยู่ตรงไหน คือโอเคแหละ มันทำให้หนังดำเนินเรื่องไปได้ แต่ขาดจุดเชื่อมโยงที่ทำให้คนดู(ผู้ไม่เก๊ดว่าไอ้พวกนี้มันคือใครและมันทำอะไรกัน) งงไปตามๆกัน พองงฉากนี้ ต่อไปอีกฉาก เอ้า ยังไม่ทันเข้าใจก็งงต่อ
เกลียดการคืนดีกันของฮีโร่มาก นี่ถ้าแม่ไม่ชื่อมาร์ธานี่ถึงตายเลยนะแกเอ๊ย ฮ่าาาๆๆๆๆๆ
สำหรับเรื่องนี้
7/10
คะแนนความชอบ หักส่วนที่พล็อตเรื่อง การเล่าเรื่อง ที่...ไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวมันดูเร้าใจเลย
(และที่สำคัญคือทำร้ายซูเปอร์แมน แย่มากอันนี้ ฮ่าๆๆ)
Batman v Superman: Dawn of Justice (2016)
Directed by Zack Snyder
Cast: Ben Affleck, Henry Cavill, Amy Adams, Jesse Eisenberg, Gal Gadot, Jeremy Irons, Laurence Fishburne and Diane Lane
ไม่ค่อยจะอยากเขียนเรื่องย่อ เนื่องจาก...หนังมันไม่มีเรื่องราวอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจะให้เล่าจริงๆนะ เพิ่งจะนึกได้ตอนเริ่มบ่นในบล็อกนี่แหละ ว่าเอ่อ...แล้วตูจะเล่าเรื่องย่ออย่างไรดีน้อ
เอาแบบสั้นๆง่ายๆ แบบไม่ต้องไปหาเรื่องย่ออะไรอ่านให้ปวดหัวเพิ่มความยากลำบากในชีวิต
คือ บรูซ เวย์น โกรธเคืองที่ซูเปอร์แมนพังเมืองราบเป็นหน้ากลอง (ลึกๆคือโกรธที่พังตึกพี่แกเละเป็นจุลนั่นแหละ ทำคนงานพี่แกตายงี้) เวลาต่อมาพี่แกเลย พยายามคิดหาวิธีที่จะปราบซูเปอร์แมน เพราะเกรงว่าพลังของเขาจะเป็นภัยต่อมวลมนุษย์ (แค่คิดจะล้างโลกพี่ซูปก็ทำได้ในพริบตาเลยนะ!)
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมหาศึกครั้งใหญ่ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ (เสียงเซอร์ราวน์แบบอลังการ)
แน่นอนว่าในตัวอย่างเผยทั้ง เล็กซ์ ลูเธอร์ และ ดูมส์เดย์ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดไรให้ซับซ่อน อีสองตัวนี่แหละตัวร้ายของเรื่อง ที่ทำให้พี่แบทกับพี่ซูปแกหันมาจับมือกันเพื่อปราบเหล่าร้าย แถมได้ผู้ช่วยสาวสวยเสริมทัพอีกแรงอย่าง วอนเดอร์ วูแมนนนนน!!! (เอาจริงนะ ทั้งเรื่องเลยนะ อิเจ้เท่สุดอะไรสุด ปรากฎตัวมาทำสตันนิ่งตลอด)
โดยรวมแล้ว หลายส่วนเหมือนกันที่ค่อนข้างแปลกใจ และไม่เหมือนในตัวอย่าง ซึ่งในทางกลับกัน ตัวอย่างมันสนุกกว่าหนังจริงเยอะเลย คือ วิธีการตัดต่อมันเล่าเรื่องกันไปคนละแบบ พอมาเจอหนังจริงที่เรียบเรียงภาพและเหตุการณ์ต่างจากตัวอย่าง คราวนี้เลยยุ่งหนักเลย บางซีนนี่ถึงขั้นตั้งคำถามว่า เอ็งจะใส่มาทำไมมมมม โดยเฉพาะฉากที่มันฝันเฟื่องระหว่างรอข้อมูล แล้วจู่ๆก็มีใครไม่รู้จากอนาคตมาบอกข้อความซัมติ้ง... คือถ้าเคยอ่านคอมิกซ์อาจจะรู้ว่าทำไม และคนนั้นเป็นใคร แต่ฉันไม่เคยอ่านจริงจัง เคยอ่านบางถ้าเจอ และเคยดูเป็นการ์ตูน Justice League ในช่อง การ์ตูนเน็ตเวิร์ค อะไรงี้ ซึ่ง...ก็พอจะเดาได้แหละ ว่ามันต้องเป็นฮีโร่สักตัวจากอนาคต แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจะมาบอกสิ่งที่ "คนดู" รู้อยู่แล้วทำไม (อันนี้ต้องไปหาคำตอบเอาเองนะว่ามันพูดอะไร)
ซึ่งถามว่าสนุกมั้ย สนุกนะ เราชอบเลยล่ะ เฮนรี่ คาวิลล์ ภาคนี้หล่อดี ดูเท่กว่า Man of Steel เยอะเลย
(เดี๋ยวๆ ไม่ใช่ล่ะ)
คือในบางอารมณ์ภาพของ แบทแมน กับ ซูเปอร์แมน ในการ์ตูน JL ที่เคยดูมันแว๊บเข้ามาในหัวเลย
บางมุกก็ฮาดี แต่ฮาแบบยิ้มๆขำๆ (ไม่ได้ก๊ากแบบมาร์เวล) แล้วก็ผ่านไปเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว
อย่างนึงที่สนุกคือฉากสู้อันแสนจะวินาศสันตะโร เรียกได้ว่าบู๊มันส์สะใจมั้ย? ใช่ มันส์ แอบมีอารมณ์ดูไม่รู้เรื่องอยู่นิดหน่อย เพราะมันอึกทึกครึกโครมควันโขมงซะจนดูไม่ทัน (นี่เลือกใช้คำเว่อร์วังมากตามความตูมตามของเรื่องเลยทีเดียว)
เลยกลายเป็นว่าหนังเน้นความบู๊ เน้นการปะทะกันระหว่างฮีโร่กับฮีโร่ หรือ ฮีโร่กับตัวร้าย เส้นเรื่องหลักจริงๆที่หนังควรจะเล่า กลับหายไปกลายเป็นเส้นบางๆที่ถูกดำเนินเรื่องไปแบบ...เป็นอะไรที่คนรู้อยู่แล้วประมาณนั้น นั่นแหละข้อเสีย หนังเล่าเหมือนว่าคนดูจะต้องรู้อยู่แล้วว่า อ๋อ ไอ้นี่นะ มันเป็นใครนะ ไอ้มนุษย์ประหลาดในแฟ้มของลูเธอร์มันคือฮีโร่คนนี้นี่หว่า!
เราเชื่อว่าหลายคนที่อยากดูหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่แฟนคอมิกซ์ และต้องผิดหวังเมื่อหนังมันเล่าแบบเอาใจแต่แฟนคอมิกซ์จริงจัง ไม่ปูพื้น ไม่เล่าเรื่องใดๆให้รู้ทั้งสิ้น เปิดเรื่องมา เล่ากันแบบโจ๊ะๆมาก พ่อแม่เวย์น ตายนะ เกิดศึกระหว่าง ซูเปอร์แมนกับนายพลซอร์ด บ้านเมืองพังพินาศ แล้วก็ตามมาด้วยปมที่ใครสักคนพยายามใส่ร้ายป้ายสีซูเปอร์แมนให้ดูกลายเป็นอาชญากรบ้าพลัง ไม่ใช่ฮีโร่ผู้เป็นดั่งพระเจ้า
เพราะงั้นจึงไม่แปลกใจที่หนังจะได้เสียงตอบรับทั้งดีและไม่ดี (ได้มะเขือเทศเน่าไปนี่ตกใจมาก)
อย่างนึงที่รู้สึกได้กับหนังเรื่องนี้คือ มันมีความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเองมากเกินไป พยายามใส่ปม ใส่เบาะแส อะไรต่างๆนาๆ ให้สามารถนำพาไปยังหนังเรื่องอื่นๆที่จะตามมา อันได้แก่ วอนเดอร์วูแมน อควาแมน และ Justice League ในภายหลัง ( เดอะแฟลช กับ ไซบอร์ก จะมีมั้ย ไม่แน่ใจ เดอะแฟลชน่าจะมี ส่วนกรีนแลนเทิร์นก็ได้ยินแว่วๆว่าจะทำ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เกี่ยวกับกรีนแลนเทิร์น) การใส่ปมพวกนี้เยอะไป มันเลยทำให้รู้สึกหนังถูกยัดเยียด และไม่เหลือเวลาที่จะเล่าเรื่องของ แบทแมน และ ซูเปอร์แมน แบบจริงๆจังๆ ซึ่งเราว่าถ้าตัดเบาะแสที่ทิ้งไว้เยอะแยะออกนะ หนังอาจจะเหลือเรื่องให้เล่าจริงๆแค่แบบ 2ชั่วโมง แทนที่จะเป็น 2ชั่วโมงครึ่ง ประมาณนั้น (ไม่รู้นะเดามั่วไปงั้น)
คือก็เข้าใจฝีมือผู้กำกับคนนี้แหละนะ ตั้งแต่ 300, Watchmen และ Sucker Punch คือบทจะยืดก็ยืดดดด ซะ พูดบ้าไรกันว่ะ บทจะตัดก็ฉึบฉับ... (โดยส่วนตัวเกลียด Sucker Punch สุด)
ดีงามจริงๆคือ Dawn of the Dead กับ Man of Steel ซึ่ง...ก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ดีที่สุดในงานของพี่แกแล้วแหละ (ซึ่งก็อีกแหละ DotD คือไม่ดีเท่าของเก่า ส่วน MoS บางช่วงก็ชวนหลับเสียไม่มี)
มาถึงตัวละครแต่ละตัวกันดีกว่า
ซูเปอร์แมน ดีงามพระรามแปดมาก บทจะเท่ก็เท่ซะ บทจะพระเจ้าก็แสงเรืองรอง บทจะกลายเป็นมนุษย์เพราะคริปโตไนท์ ก็ดูน่าสงสารสุด
แบทแมน ...เอิ่ม...อ้วน...อ่ะ! มันอ้วนอ่ะ มันตัวใหญ่ไปอ่ะ ! หูสั้นด้วย อย่างกับแมวอ้วน ไม่ใช่มนุษย์ค้างคาว! แต่เข้าใจแหละ วางเรื่องไว้ว่าเป็นแบทแมนตอนแก่ ปราบเหล่าร้ายมาตั้ง 20 ปี แถมโรบินก็ทำท่าว่าจะถูกปิดฉากไปแล้วด้วย (เดาจากชุดในตู้กระจก) นับว่าพี่เบนแกเล่นบทนี้ใช้ได้ อคติแง่ลบน้อยลงจากตอนรู้ข่าวนิดนึง แต่ไม่ถือว่าดีจนประทับใจ (พี่ลงทุนฟิตหุ่นมาเฟิร์มไปค่ะ)
เล็กซ์ ลูเธอร์ คือชอบมาก (ชอบเจสซี่แสดงแหละจริงๆแล้ว) ลูเธอร์เรื่องนี้ดูหลุดความเป็นลูเธอร์ไปหน่อย (อ้างอิงจากหนัง Superman ภาคเก่าทั้งหมดที่ ยีน แฮ๊คแมน เล่น รวมถึงภาคที่ เควิน สเปซี่เล่นด้วย) เรื่องนี้ลูเธอร์ดูแบบ โรคจิต ประสาท ดูเป็นเด็กเรียกร้องความสนใจ ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเห็นพระเจ้าตีกับมนุษย์ที่ตั้งตนเป็นอัศวินแห่งรัตติกาล ได้ทำพระเจ้าเจ็บ ได้ทำพระเจ้าเสียใจ แค่นี้เฮียก็แฮปปี้แล้วววว (บ้าดี) เสียดายว่าหนังไม่ใส่เหตุผลให้ลูเธอร์เลยว่า ทำไมถึงอยากให้มันสู้กัน (นอกจากที่เห็นเรื่องความสะใจ) คือจู่ๆอีตัวละครนี้ก็โผล่มาแบบ ฉันจะเอาหินคริปโตไนท์ก้อนใหญ่อ่ะ มาทำอาวุธไว้สู้กับซูเปอร์แมนอ่ะ แกไม่ให้ฉันหรอ ระเบิดแม่งเลย (สว.โดนสอยซะงั้น)
โลอิส เลน...ไม่พูดถึงนางก็ไม่ได้ ถ้าไม่มีนางนี่หนังไม่จบนะเออ !!! คือ สังเกตตั้งแต่ภาคก่อนๆแล้ว นางคือตัวปัญหา คือหายนะของซูเปอร์แมน และรู้สึกเหมือนงานนี้นางจะเสี่ยงตายเกินหน้าที่มากกว่าปกติไปหน่อยนะ
สรุปเถอะนะที่รัก
หนังมีความดีงามในแง่มุมเล็กๆ ที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าจุดไหนบ้าง เนื่องจากส่วนใหญ่แล้ว...
หนังมันเล่าเรื่องแบบฉากต่อฉากจนมึน จนไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นเรื่องหลักและการเชื่อมต่อมันอยู่ตรงไหน คือโอเคแหละ มันทำให้หนังดำเนินเรื่องไปได้ แต่ขาดจุดเชื่อมโยงที่ทำให้คนดู(ผู้ไม่เก๊ดว่าไอ้พวกนี้มันคือใครและมันทำอะไรกัน) งงไปตามๆกัน พองงฉากนี้ ต่อไปอีกฉาก เอ้า ยังไม่ทันเข้าใจก็งงต่อ
เกลียดการคืนดีกันของฮีโร่มาก นี่ถ้าแม่ไม่ชื่อมาร์ธานี่ถึงตายเลยนะแกเอ๊ย ฮ่าาาๆๆๆๆๆ
สำหรับเรื่องนี้
7/10
คะแนนความชอบ หักส่วนที่พล็อตเรื่อง การเล่าเรื่อง ที่...ไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวมันดูเร้าใจเลย
(และที่สำคัญคือทำร้ายซูเปอร์แมน แย่มากอันนี้ ฮ่าๆๆ)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)