ขอบอกก่อนว่าปกติเป็นคนที่กินขนมอย่างไม่เลือก แพงหรือไม่ฉันไม่เกี่ยง
ถ้าอยากกิน ถ้าวันนั้นไม่มีเงินเหลือแล้วหรืออะไรก็จะไม่หาอะไรแทน ก็ไม่กินมันไปเลย
แต่สำหรับขนมชิ้นจิ๋วอย่าง มาการอง ถือเป็นขนมประเภทแรกที่คิดแล้วคิดอีกว่าจะกินมันดีหรือเปล่า
ชิ้นจิ๋วเดียว 30บาท!! บางร้านก็ 50กว่าบาท หรือมากกว่านั้น กล้องนึงมี6ชิ้น ราคาตั้ง 200up
ไซส์มันไม่สมราคาเลย โยนเข้าปากคำเดียวก็หมดละ 30บาท อื้ม...
ขนาดแค่คัพเค้กบางร้านที่ชิ้นนึง 59บาท ยังมองแล้วมองอีกว่าจะกินคัพเค้ก หรือซื้อเป็นเค้กไปเลยดีน้า
(เลือกจากขนาดของขนม)
สรุปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยกินเจ้าขนมจิ๋วนี้เลย เพราะมัวแต่คิดว่าจะกินหรือไม่ดี ทำไมมันแพงจังน้า ไม่กินดีกว่า << หันหน้าหนีแล้วเดินจากไปแบบหยิ่งๆ
จน กระ ทั่ง ! ! !
เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว คุณอากลับมาจากอังกฤษ เพื่อมาเยี่ยมคุณย่าที่ล้มป่วยกระทันหัน
ปกติเวลาคุณอากลับมาจากต่างประเทศ เขาก็จะมีของมาฝากทุกๆคนเป็นเรื่องธรรมดา อีนี่จะเป็นหนึ่งในเหยื่อของคุณอาที่รอรับของอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยความตื่นเต้น
(เล่านิดนึงว่าตอนเด็กๆ อาเคยซื้อตุ๊กตาเอลโม่หัวเราะได้มาให้ อยากจะบอกว่าเล่นจนถึงทุกวันนี้ ฮ่าๆๆๆ)
รอบนี้คุณอาซื้อเจ้าขนมที่ว่านี้มาฝาก
มันมาเป็นกล่องยาวๆ สภาพกล่องดูเลอค่ามาก อีนี่เปิดดูด้วยความตื่นเต้น(เพราะเป็นของจากอา)
สภาพมันต่างกับข้างนอกกล่องสุดๆ...
มาการองนอนเบียดทับกันอยู่ในกล่อง ฝานึงถูกอีกฝานึงดูดไว้และหลุดออกมาจนเห็นไส้ใน
เห็นปุ๊บรู้เลยว่ามันผ่านการเดินทางมายาวไกล ทั้งยังห่างจากความเย็นมาเป็นเวลาพักใหญ่ๆ เมื่อมาถึงเมืองไทย
ในกล่องมีบัตรของร้าน แล้วก็แผ่นพับบอกสีและรสของมาการองแต่ละชิ้น
อีนี่หยิบดูและอ่านอย่างกับกำลังอ่านคู่มือการประกอบหุ่นยนตร์ของเล่นหรืออะไรสักอย่าง
รสแรกที่เลือกจำได้แม่นว่าเป็นรสกุหลาบ กัดเข้าไปคำแรกแล้วฟินอย่างเหลือหลาย กลิ่นกุหลาบลอยฟุ้งเต็มปากขึ้นมาถึงจมูก ความหวานไม่ได้ทำให้แสบคอหรืออะไรเลย มันกลมกล่อม นุ่มละมุน ว่าแล้วโยนทั้งชิ้นที่เหลือเข้าปากไปอย่างมีความสุข
ตอนแรกก็คิดนะว่า มันก็ไม่ได้หวานแสบไส้อย่างที่ใครว่านี่ แต่พอกลับมากินน้ำอัดลมที่กินอยู่ โอ้...น้ำเปล่าหรือนี่ ทำไมมันไม่รับรู้รสอะไรเลย อื้ม...มันคงจะหว๊านน หวาน แต่เราไม่รู้เอง
แม่บอกว่ามันทำส่วนผสมได้เนียนมาจนความหวานมันไม่แหลมแปร๊บขึ้นมาทำให้เรารู้สึก
หลังจากนั้นแค่สองวัน ก็กินมันจนหมดกล่อง (แบ่งกับแม่นะจ้ะ ไม่ได้กินคนเดียวหมด)
ผ่านมาสามวัน เริ่มรู้สึกอยากกินอีก นี่ฉันเสพติดขนมชนิดนี้แล้วหรอ?!
วันก่อนโน่น ได้ไปห้างแล้วซื้อกาแฟ ในร้านมีขายมาการองด้วย ก็ดูราคา...อื้ม 30บาท ต่อชิ้น ใส่ถุงแยกเดี่ยวๆอย่างดี...อื้ม...ไม่ละคะ กาแฟอย่างเดียวพอ
กลับมาบ่นให้แม่ฟัง แม่สวนกลับมาว่า "ก็ทำเองสิ เตาเราก็มี" ... อื้ม ค่ะ โอเคค่ะ (เปิดหาสูตรอย่างรวดเร็ว)
ตอนแรกที่กินก็พอจะเดาได้นะว่ามันเป็นขนมทำจากไข่ขาว แต่ไม่คิดว่าผสมอัลมอนด์ด้วย ทั้งอันทำจากน้ำตาลไอซิ่งอีกต่างหาก อื้มมมมมม โอเค ความหวานมันทำลิ้นฉันหลงไหลและมัวเมามาก
พอศึกษาวิธีทำแล้วก็ดูส่วนผสมต่างๆในแต่ละสูตร...มันดูทำยากจัง ด้วยครัวที่ไม่พร้อมของบ้านฉัน
เตาอบที่แม่ว่าน่ะ แค่ปิ้งขนมปังสามแผ่นก็เต็มละ << เอาน่า เคยทำลาซานญ่าถ้วยเล็กๆได้ละกันน่า
หลังจากที่ได้ลิ้มลอง แล้วก็ศึกษาสูตร รวมถึงที่มาของขนมจิ๋วแสนแพงนี่
ก็ตัดสินใจได้ว่า...
จะลองทำดูเมื่อว่าง และถ้าอยากจะกินขนาดนั้นก็จะตัดสินใจซื้อมันสักครั้งสองครั้งละกัน
ไว้ทำแล้วจะมาอวดในบล็อกใหม่อีกรอบ :)
ก็บ่นพึมพำ-งึมงำไปเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็ดูหนังแล้วอยากบ่น ไปเที่ยวบ้าง ตามแต่อารมณ์และสถานการณ์ =/\=
วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557
แบงค์500 หมดไปภายใน6ชั่วโมงกับห้างห้างเดียว
วันนี้เป็นวันหยุดก็จริง แต่ดันมีงานด่วนแสนร้อนจี้ก้นอยู่
ก็เลยต้องเรียกเพื่อนออกไปทำงานกันข้างนอก (มหาลัยปิดเข้าไปใช้ไม่ได้ แย่ตรงนี้)
และในเมื่อ บ้านฉันอยู่ในเมือง แต่เพื่อนอยู่หอที่รังสิตกันหมด ดังนั้นสถานที่ที่สะดวกจะเจอกันมากที่สุดก็คือ...
ในเมือง
แน่นอนว่า "ในเมือง" ที่แรกที่คิดได้คือสยาม ห้างเซ็นทรัล ที่ใดก็ได้ที่สะดวกจะไปกันที่สุด
สุดท้ายแล้วก็เลือก "เซ็นทรัลลาดพร้าว"
ความบังเอิญและความจำเป็น ทำให้ต้องขับรถไปจอดที่ห้างตั้งแต่เที่ยง พอเห็นค่าจอดรถก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆว่าต้องโดนไปเต็มๆอย่างหน้าตบหัวตัวเองที่เอ๋อเสร่อ เอารถมาจอดที่นี่
เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาแล้วนี่ จะวนรถออกไปจอดที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีประจำก็ใช่ที่ เอาว่ะเท่าไหร่เท่ากัน
ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กะว่าแค่ทำงานแล้วก็กินอะไรง่อยๆ เลยพกมาแค่ 500บาท กับแบงค์ย่อยประมาณ160บาท ก็ราวๆนั้นแหละนะ
(ตอนแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องการใช้รถและค่าจอดรถ)
ตะหงิดใจอยู่เหมือนกันว่าควรจะหยิบมามากกว่านี้ แต่ถือซะว่า หยิบมาแล้ว ประหยัดเอาละกัน พยายามจะไม่ซื้ออะไรสิ้นเปลือง
**แจกแจงก่อนว่า ก่อนออกจากบ้านแวะซื้ออาหารมื้อแรกไปแล้วที่เซเว่น หมดไป 60บาท**
โอเค มาถึงปุ๊บ!! หาที่นั่งรอเพื่อนหลังจากเดินวนรอบห้างสำรวจร้านค้าต่างๆเรียบร้อย
(วินโด้ช็อปปิ้งไปก่อน ไม่ได้มาบ่อยๆ สำรวจซะหน่อยว่ามันมีอะไรยังไงบ้าง)
พอเพื่อนๆมา ก็หาร้านกาแฟนั่งทำงานกันก่อนเลย << ทำไมต้องร้านกาแฟ
1. อีนี่และเพื่อนอยากหากาแฟกิน
2. ร้านกาแฟดูเป็นฟิลที่ควรจะหอบงานมาทำ ไม่ใช่ร้านอาหารหรือศูนย์อาหาร ที่ผู้คนวุ่นวายและฟิลไม่ให้ (พูดง่ายๆว่ากระแดะจะทำงานในร้านกาแฟ)
สุดท้ายก็ลงเอยที่ สตาร์บัค ค่ะ (อะไรนะ? จะประหยัดหรอ?) เสียค่ากาแฟแสนแพงไป 120 หรือ 135 นี่แหละ ไม่ได้สนใจยื่นแตกไปเลย แบงค์ 500 (ทำเหมือนรวยมาก...ถุ้ย)
นั่งสตาร์บัคกันร่วม 2ชั่วโมงโดยประมาณ งานเสร็จก็รีบเผ่นอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่กลัวเขาไล่ หรือเกรงใจใครแต่อย่างใด แต่หิวข้าวมาก ณ จุดนี้
ระหว่างช่วงเวลานี้ ก็แวะดูเคสมือถือ ซื้อผ้าเช็ดหน้ากันไปอยู่พักใหญ่ << ฉันได้ผ้าเช็ดหน้ามา 3ผืน100 (เสียเงินไปอีกอย่างละนะ)
การมากับเพื่อนฝูงแบบนี้ มักจะไม่สามารถหาจุดหมายในการไปร้านอาหารได้แน่ชัด ไม่เคยกำหนดพิกัดกันได้เลยว่าพวกเราจะกินอะไรกันวันนี้ ดังนั้นการเดินเลือกหาร้านอาหารจึงเป็นเรื่องที่ทำกันประจำ
(และเชื่อว่าเป็นเช่นนี้กันทุกคน)
ปัจจัยในการเลือกร้านมีเพียงประเด็นเดียวคือ ต้องไม่เกินงบมากจนเกินไป
แล้วทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้า ฟูจิ...มันก็อยู่ในงบที่พอรับได้น่ะนะ (พยายามปลอบใจตัวเอง)
รอคิว เข้าไปนั่งเลือกเมนูกันได้สักพัก...เกิดอยากจะออกไปกินชาบูชิกันเสียอย่างนั้น เพื่อนนึกได้ลางๆว่ามันอยู่ในช่วงโปร มา4จ่าย3
สุดท้าย...ทุกคนปิดเมนูร้านฟูจิ และลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เนียนๆ ลอยๆ เพราะเปลี่ยนใจกันกระทันหันเสียอย่างนั้น ใครจะงงยังไง ไม่รู้ เดินกันด้วยความหน้ามืดตรงไปหาชาบูชิกันอย่างรวดเร็ว
แค่ป้าย มา4จ่าย3 หน้าร้านก็ทำฉันกับเพื่อนร้องวู๊ว๊ากัน อย่างกับเจอของแจกฟรี ว่าแล้วก็ต่อคิวรอกินกันเรียบร้อย เข้าไปถึงได้นั่งปุ๊บ น้ำซุปยังไม่เสิร์ฟ ทุกคนก็หยิบอาหารมากันเสมือนไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากมาสามวันสามคืน
นั่งอยู่ชาบูชิกันเต็มเวลา อย่างใช้สิทธิ์ให้คุ้มค่า ระหว่างออกมาจ่ายตังค์มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี ตอนจ่ายเลยยื่นกระเป๋าตังค์ให้เพื่อนไป
เมื่อรู้ว่าต้องเสียเท่าใด สมองก็เร่งประมวลผลอย่างรวดเร็ว ตื่นตัวจากความมึนตอนรับโทรศัพท์ แหวกกระเป๋าเงินดูอย่างรู้ผลอยู่แล้วในใจ...
โอ้นั่นไง...ไม่เหลืออะไรเลยยยยยย (จงเปิดเพลงประกอบ ปราสาททราย - สุรสีห์ อิทธิกุล) <<เว่อร์จริงๆ
ต้องบอกว่าโชคดีอย่างมาก ที่บุพการีมาหาที่ห้าง(นัดเจอกันเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน)
ไม่เช่นนั้นพูดเลย...ว่าไม่มีค่าจอดรถ...
โดนไปตามระเบียบ จอดตั้งแต่เที่ยงยัน6โมงครึ่ง << 190บาท เจ้าค่ะ
สรุป...เงินจำนวน 500บาท กับ 100-200 โดยประมาณที่เป็นแบงค์ย่อย ไม่พอค่ะวันนี้
ถามว่าจะทำให้พอได้มั้ย มันก็ได้แหละ ก็แค่...ไม่ซื้อสตาร์บัค กับ ไม่กินชาบูชิ << ผ้าเช็ดหน้าไม่นับเพราะจำเป็น
แต่ก็ตามใจตัวเอง และปลอบไปอย่างโง่ๆว่า "เอาเถอะ ไม่ได้มาบ่อยๆ ไม่ได้กินดีเกินตัวแบบนี้ทุกวัน"
แล้วก็ถือซะว่า กินแบบแสนจะง่อย ข้าวไข่เจียวจานน้อยๆ30บาท หรือไม่ก็ มาม่าแสนเบสิก วันอื่นทดแทนละกัน
สุดท้ายแล้วก็มานั่งคิด
นี่ขนาดว่ามีแค่ไม่ถึง1000 ยังหมดตัวขนาดนี้โดยที่ทำแวะนั่งแค่2ร้าน(ชาบูชิกับสตาร์บัค) ซื้อผ้าเช็ดหน้า และเสียค่าจอดรถ
แล้วพวกที่มาเดินห้าง ซื้อคริสปี้ครีม กินอาฟเตอร์ยู แวะเข้าร้านแล้วมีถุงหิ้วกลับออกมา หรือแม้กระทั่งพวกล่าของลดราคาในห้าง ที่ไม่รู้ว่ามันลดแล้วหรือไร ทำไมมันยังเกินพัน
พวกเขาเหล่านี้หมดเงินกับการเดินห้างเท่าไหร่หรอ ถ้า 7-8 พัน แล้ว...เงินเดือนพวกเขาเท่าไหร่หรือ
นี่เพิ่งต้นเดือนนี่นา เงินเขาพอสิ้นเดือนหรอ
พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่า "อื้ม คนไทยนี่รวยเนอะ"
ทุกคนถือสมาร์ทโฟน ทุกคนมีถุงแบรนด์เนม ทุกคนนั่งกินร้านที่ต่อหัวไม่ต่ำกว่า300
ทุกคนขับรถรุ่นใหม่ ทุกคนมีบัตรเครดิต(ที่เป็นวงเงินติดลบหรือเปล่าก็ไม่รู้)
คิดได้อย่างนั้นก็มองตัวเอง...อื้ม เราอยู่ผิดที่ผิดทางสินะ เราควรหมกตัวอยู่แต่บ้านหรือถ้าจะมาก็ได้แต่เดินเล่นแหละ ช่างไม่ใช่ที่ของเราจริงๆ
ว่าแล้วก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บ้านนี่แหละ เฮ้ออออออออออ << ทำข้าวกากๆให้ตัวเองกินต่อไป
ก็เลยต้องเรียกเพื่อนออกไปทำงานกันข้างนอก (มหาลัยปิดเข้าไปใช้ไม่ได้ แย่ตรงนี้)
และในเมื่อ บ้านฉันอยู่ในเมือง แต่เพื่อนอยู่หอที่รังสิตกันหมด ดังนั้นสถานที่ที่สะดวกจะเจอกันมากที่สุดก็คือ...
ในเมือง
แน่นอนว่า "ในเมือง" ที่แรกที่คิดได้คือสยาม ห้างเซ็นทรัล ที่ใดก็ได้ที่สะดวกจะไปกันที่สุด
สุดท้ายแล้วก็เลือก "เซ็นทรัลลาดพร้าว"
ความบังเอิญและความจำเป็น ทำให้ต้องขับรถไปจอดที่ห้างตั้งแต่เที่ยง พอเห็นค่าจอดรถก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆว่าต้องโดนไปเต็มๆอย่างหน้าตบหัวตัวเองที่เอ๋อเสร่อ เอารถมาจอดที่นี่
เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาแล้วนี่ จะวนรถออกไปจอดที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีประจำก็ใช่ที่ เอาว่ะเท่าไหร่เท่ากัน
ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กะว่าแค่ทำงานแล้วก็กินอะไรง่อยๆ เลยพกมาแค่ 500บาท กับแบงค์ย่อยประมาณ160บาท ก็ราวๆนั้นแหละนะ
(ตอนแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องการใช้รถและค่าจอดรถ)
ตะหงิดใจอยู่เหมือนกันว่าควรจะหยิบมามากกว่านี้ แต่ถือซะว่า หยิบมาแล้ว ประหยัดเอาละกัน พยายามจะไม่ซื้ออะไรสิ้นเปลือง
**แจกแจงก่อนว่า ก่อนออกจากบ้านแวะซื้ออาหารมื้อแรกไปแล้วที่เซเว่น หมดไป 60บาท**
โอเค มาถึงปุ๊บ!! หาที่นั่งรอเพื่อนหลังจากเดินวนรอบห้างสำรวจร้านค้าต่างๆเรียบร้อย
(วินโด้ช็อปปิ้งไปก่อน ไม่ได้มาบ่อยๆ สำรวจซะหน่อยว่ามันมีอะไรยังไงบ้าง)
พอเพื่อนๆมา ก็หาร้านกาแฟนั่งทำงานกันก่อนเลย << ทำไมต้องร้านกาแฟ
1. อีนี่และเพื่อนอยากหากาแฟกิน
2. ร้านกาแฟดูเป็นฟิลที่ควรจะหอบงานมาทำ ไม่ใช่ร้านอาหารหรือศูนย์อาหาร ที่ผู้คนวุ่นวายและฟิลไม่ให้ (พูดง่ายๆว่ากระแดะจะทำงานในร้านกาแฟ)
สุดท้ายก็ลงเอยที่ สตาร์บัค ค่ะ (อะไรนะ? จะประหยัดหรอ?) เสียค่ากาแฟแสนแพงไป 120 หรือ 135 นี่แหละ ไม่ได้สนใจยื่นแตกไปเลย แบงค์ 500 (ทำเหมือนรวยมาก...ถุ้ย)
นั่งสตาร์บัคกันร่วม 2ชั่วโมงโดยประมาณ งานเสร็จก็รีบเผ่นอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่กลัวเขาไล่ หรือเกรงใจใครแต่อย่างใด แต่หิวข้าวมาก ณ จุดนี้
ระหว่างช่วงเวลานี้ ก็แวะดูเคสมือถือ ซื้อผ้าเช็ดหน้ากันไปอยู่พักใหญ่ << ฉันได้ผ้าเช็ดหน้ามา 3ผืน100 (เสียเงินไปอีกอย่างละนะ)
การมากับเพื่อนฝูงแบบนี้ มักจะไม่สามารถหาจุดหมายในการไปร้านอาหารได้แน่ชัด ไม่เคยกำหนดพิกัดกันได้เลยว่าพวกเราจะกินอะไรกันวันนี้ ดังนั้นการเดินเลือกหาร้านอาหารจึงเป็นเรื่องที่ทำกันประจำ
(และเชื่อว่าเป็นเช่นนี้กันทุกคน)
ปัจจัยในการเลือกร้านมีเพียงประเด็นเดียวคือ ต้องไม่เกินงบมากจนเกินไป
แล้วทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้า ฟูจิ...มันก็อยู่ในงบที่พอรับได้น่ะนะ (พยายามปลอบใจตัวเอง)
รอคิว เข้าไปนั่งเลือกเมนูกันได้สักพัก...เกิดอยากจะออกไปกินชาบูชิกันเสียอย่างนั้น เพื่อนนึกได้ลางๆว่ามันอยู่ในช่วงโปร มา4จ่าย3
สุดท้าย...ทุกคนปิดเมนูร้านฟูจิ และลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เนียนๆ ลอยๆ เพราะเปลี่ยนใจกันกระทันหันเสียอย่างนั้น ใครจะงงยังไง ไม่รู้ เดินกันด้วยความหน้ามืดตรงไปหาชาบูชิกันอย่างรวดเร็ว
แค่ป้าย มา4จ่าย3 หน้าร้านก็ทำฉันกับเพื่อนร้องวู๊ว๊ากัน อย่างกับเจอของแจกฟรี ว่าแล้วก็ต่อคิวรอกินกันเรียบร้อย เข้าไปถึงได้นั่งปุ๊บ น้ำซุปยังไม่เสิร์ฟ ทุกคนก็หยิบอาหารมากันเสมือนไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากมาสามวันสามคืน
นั่งอยู่ชาบูชิกันเต็มเวลา อย่างใช้สิทธิ์ให้คุ้มค่า ระหว่างออกมาจ่ายตังค์มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี ตอนจ่ายเลยยื่นกระเป๋าตังค์ให้เพื่อนไป
เมื่อรู้ว่าต้องเสียเท่าใด สมองก็เร่งประมวลผลอย่างรวดเร็ว ตื่นตัวจากความมึนตอนรับโทรศัพท์ แหวกกระเป๋าเงินดูอย่างรู้ผลอยู่แล้วในใจ...
โอ้นั่นไง...ไม่เหลืออะไรเลยยยยยย (จงเปิดเพลงประกอบ ปราสาททราย - สุรสีห์ อิทธิกุล) <<เว่อร์จริงๆ
ต้องบอกว่าโชคดีอย่างมาก ที่บุพการีมาหาที่ห้าง(นัดเจอกันเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน)
ไม่เช่นนั้นพูดเลย...ว่าไม่มีค่าจอดรถ...
โดนไปตามระเบียบ จอดตั้งแต่เที่ยงยัน6โมงครึ่ง << 190บาท เจ้าค่ะ
สรุป...เงินจำนวน 500บาท กับ 100-200 โดยประมาณที่เป็นแบงค์ย่อย ไม่พอค่ะวันนี้
ถามว่าจะทำให้พอได้มั้ย มันก็ได้แหละ ก็แค่...ไม่ซื้อสตาร์บัค กับ ไม่กินชาบูชิ << ผ้าเช็ดหน้าไม่นับเพราะจำเป็น
แต่ก็ตามใจตัวเอง และปลอบไปอย่างโง่ๆว่า "เอาเถอะ ไม่ได้มาบ่อยๆ ไม่ได้กินดีเกินตัวแบบนี้ทุกวัน"
แล้วก็ถือซะว่า กินแบบแสนจะง่อย ข้าวไข่เจียวจานน้อยๆ30บาท หรือไม่ก็ มาม่าแสนเบสิก วันอื่นทดแทนละกัน
สุดท้ายแล้วก็มานั่งคิด
นี่ขนาดว่ามีแค่ไม่ถึง1000 ยังหมดตัวขนาดนี้โดยที่ทำแวะนั่งแค่2ร้าน(ชาบูชิกับสตาร์บัค) ซื้อผ้าเช็ดหน้า และเสียค่าจอดรถ
แล้วพวกที่มาเดินห้าง ซื้อคริสปี้ครีม กินอาฟเตอร์ยู แวะเข้าร้านแล้วมีถุงหิ้วกลับออกมา หรือแม้กระทั่งพวกล่าของลดราคาในห้าง ที่ไม่รู้ว่ามันลดแล้วหรือไร ทำไมมันยังเกินพัน
พวกเขาเหล่านี้หมดเงินกับการเดินห้างเท่าไหร่หรอ ถ้า 7-8 พัน แล้ว...เงินเดือนพวกเขาเท่าไหร่หรือ
นี่เพิ่งต้นเดือนนี่นา เงินเขาพอสิ้นเดือนหรอ
พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่า "อื้ม คนไทยนี่รวยเนอะ"
ทุกคนถือสมาร์ทโฟน ทุกคนมีถุงแบรนด์เนม ทุกคนนั่งกินร้านที่ต่อหัวไม่ต่ำกว่า300
ทุกคนขับรถรุ่นใหม่ ทุกคนมีบัตรเครดิต(ที่เป็นวงเงินติดลบหรือเปล่าก็ไม่รู้)
คิดได้อย่างนั้นก็มองตัวเอง...อื้ม เราอยู่ผิดที่ผิดทางสินะ เราควรหมกตัวอยู่แต่บ้านหรือถ้าจะมาก็ได้แต่เดินเล่นแหละ ช่างไม่ใช่ที่ของเราจริงๆ
ว่าแล้วก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บ้านนี่แหละ เฮ้ออออออออออ << ทำข้าวกากๆให้ตัวเองกินต่อไป
วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557
ทางแยกสำคัญ
ตอนนี้ชีวิตดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนแต่ละทีไม่เคยทำให้ฉันคิดมากอะไรขนาดนี้เลย จากประถมสู่มัธยม
จากม.ต้นสู่ม.ปลาย จากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัย มันก็เป็นเหมือนแค่ทางเดินที่แยกออกมาจากทางที่เดินอยู่ปกติ ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่
แต่แน่ละว่าตอนที่เรียนจบม.6 แล้วต้องมาเริ่มต้นชีวิตมหาลัยครั้งแรกมันตื่นเต้นเบาๆนะ แต่มันตื่นเต้นในเชิงของเด็กคนนึงที่กำลังจะเปลี่ยนสถานที่เรียน กังวลว่าจะเรียนได้มั้ย จะได้เพื่อนหรือเปล่า แล้วจะมีชีวิตรอดมั้ยนะ เพราะปกติเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง สอบตกสอบซ่อมมันทุกชั้นปีไป มหาลัยมันไม่มีสอบตกสอบซ่อมแล้วนะ มันมีเพียงแค่ว่า ผ่านไม่ผ่าน จบไม่จบ แค่นั้นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็มีชีวิตรอดมาได้ 4ปี เต็มๆ
ตอนนี้ยังไม่จบชีวิตในรั้วมหาลัยแบบสมบูรณ์ก็จริง แต่ชีวิตใหม่ ทางเดินใหม่ที่ต้องเลือกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกแค่สองเดือนเท่านั้นก็ต้องบอกลาชีวิตนักศึกษาแล้ว
จุดเปลี่ยนครั้งนี้มันนอกจากจะทำให้ตื่นเต้นแล้ว มันยังก่อให้เกิดความกังวล ว้าวุ่น ท้อแท้ หดหู่...มากกว่าที่เคยเป็นมาในครั้งไหนๆในชีวิตเลยนะ มันแบบ...ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน...แต่ก็กังวลว่าจะทำได้มั้ย แล้วเราจะไปทำอะไรได้บ้างละ ว้าวุ่นมากว่าจะใช้ชีวิตยังไงดี...เริ่มท้อแท้ที่มองไม่เห็นหดทางชัดเจนอย่างคนอื่น แล้วก็เริ่มหดหู่กลุ้มใจ...ถ้าหางานทำไม่ได้ละ หรือถ้าหาได้แล้วเราทำไม่ได้ละ ทำไม่ถูกใจเขาละ?
การหางานทำไม่ได้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกถ้าจะคิดว่า ค่อยๆหาค่อยๆว่ากัน แต่แรงกดดันของสภาวะครอบครัวมันทำให้อีนี่เครียดน่ะสิ
ใช่ คำว่า 'เครียด' เนี่ยแหละตัวดี ช่วงนี้เครียดเรื่องอนาคตไม่พอ งานทีสิสจบก็พาเครียดหนักกว่าเดิม
เวลาว่างมันค่อยๆหายไปทีละนิด
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ชีวิตได้พบเจอกับสิ่งใหม่ในวิถีการทำงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
2-3 วัน ที่ผ่านมาได้ไปเรียนรู้งานกับรุ่นพี่มหาลัย(และเพิ่มเติมว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนด้วย!!) มันเป็นงานประชาสัมพันธ์ที่อีนี่ไม่ถนัด เลย!!! แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆกับวิธีพรีเซ็นตัวเอง วิธีเข้าหาคน ซึ่งมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับชีวิตทำงานบ้างละน่า และที่สำคัญ สิ่งที่ได้เรียนรู็หลักๆเลยก็คือ...
การบอกว่าตนเองจบจากที่ไหน เป็นศิษย์ที่ใด นั้นสำคัญมากในวงการนิเทศฯ!!!
เนื่องจากว่า คุณจะได้รับการสนับสนุนและเอ็นดูจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม พวกเขาจะช่วยคุณเท่าที่พวกเขาทำได้ เพราะว่าพวกคุณคือ "รุ่นน้องของสถาบัน"
อื้มมม มันเจ๋งตรงนี้แหละ ซาบซึ้งเลยทีเดียว ช่างน่าเสียดายที่ระบบมหาลัยปัจจุบันนี้ที่เรียนอยู่ ความสัมพันธ์กันฉันพี่น้องแบบที่พวกรุ่นพี่ๆระดับมืออาชีพในวงการเขามีกัน...ทุกวันนี้มันเหมือนเจือยจางลงเรื่อยๆ เด็กในมหาลัยที่เราเรียนมันมีเยอะเหลือเกินและไร้ความสัมพันธ์กันขนาดที่ว่า...ก็แค่เพื่อนร่วมโลกผู้นึงที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกัน แค่นั้น...ความสนิทสนมแบบนั้นไม่เหลือเลย
วันนี้และเมื่อสองวันก่อน นั่งดูนั่งฟังพวกพี่ๆเขาคุยกันอย่างสนิทสนมและรำลึกถึงวันวาน
มันช่างให้ความรู้สึกที่แบบ...อบอุ่น เฮฮา สนุกสนาน พอมองย้อนดูตัวเองและสภาพรอบกายแล้วแบบ...ทำไมฉันไม่มีฟิลลิ่งแบบนี้บ้างว่ะ
ถึงจะเสียดายนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ชีวิตคนเรามันไม่มีทางได้มาซึ่งอย่างเดียวกันเสมอไป
(แต่ก็รู้สึกโชคดีนิดๆ ที่ระบบความสัมพันธ์แบบนี้ยังหาได้จากในโรงเรียนที่จบมา *ภูมิใจ*)
เมื่อความรู้สึกเฮฮาสนุกสนานของวันนี้ได้จบลง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมคือความเครียดกับทางเดินที่ต้องไป
ถึงจะวางแผนไว้คร่าวๆแต่ก็รู้สึกกังวล แน่ละว่าด้วยความเป็นลูกคนเดียว สิ่งเดียวที่กังวลคือ
ฉันจะดูแลพ่อแม่ได้มั้ย ด้วยความสามารถที่ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันของฉันเนี่ย
ลูกห่วยๆคนนี้จะดูแลพวกท่านไปจนตลอดรอดฝังมั้ยนะ
เอาละ ก็ต้องลองดู จะเป็นยังไงก็ต้องสู้กันต่อไป
จะยอมแพ้หรือถอยหลังหนีเหวลึกด้านหน้าก็คงจะไม่ใช่
ต้องลองวัดใจ แล้วกระโดดลงไปสู้กับสิ่งที่รออยู่!!
เอาละ ขอเป็นกำลังใจให้กับเด็กจบใหม่ ทุกท่านที่กำลังเครียดกับอนาคตของตัวเองเช่นเรานะคะ :)
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนแต่ละทีไม่เคยทำให้ฉันคิดมากอะไรขนาดนี้เลย จากประถมสู่มัธยม
จากม.ต้นสู่ม.ปลาย จากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัย มันก็เป็นเหมือนแค่ทางเดินที่แยกออกมาจากทางที่เดินอยู่ปกติ ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่
แต่แน่ละว่าตอนที่เรียนจบม.6 แล้วต้องมาเริ่มต้นชีวิตมหาลัยครั้งแรกมันตื่นเต้นเบาๆนะ แต่มันตื่นเต้นในเชิงของเด็กคนนึงที่กำลังจะเปลี่ยนสถานที่เรียน กังวลว่าจะเรียนได้มั้ย จะได้เพื่อนหรือเปล่า แล้วจะมีชีวิตรอดมั้ยนะ เพราะปกติเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง สอบตกสอบซ่อมมันทุกชั้นปีไป มหาลัยมันไม่มีสอบตกสอบซ่อมแล้วนะ มันมีเพียงแค่ว่า ผ่านไม่ผ่าน จบไม่จบ แค่นั้นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็มีชีวิตรอดมาได้ 4ปี เต็มๆ
ตอนนี้ยังไม่จบชีวิตในรั้วมหาลัยแบบสมบูรณ์ก็จริง แต่ชีวิตใหม่ ทางเดินใหม่ที่ต้องเลือกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกแค่สองเดือนเท่านั้นก็ต้องบอกลาชีวิตนักศึกษาแล้ว
จุดเปลี่ยนครั้งนี้มันนอกจากจะทำให้ตื่นเต้นแล้ว มันยังก่อให้เกิดความกังวล ว้าวุ่น ท้อแท้ หดหู่...มากกว่าที่เคยเป็นมาในครั้งไหนๆในชีวิตเลยนะ มันแบบ...ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน...แต่ก็กังวลว่าจะทำได้มั้ย แล้วเราจะไปทำอะไรได้บ้างละ ว้าวุ่นมากว่าจะใช้ชีวิตยังไงดี...เริ่มท้อแท้ที่มองไม่เห็นหดทางชัดเจนอย่างคนอื่น แล้วก็เริ่มหดหู่กลุ้มใจ...ถ้าหางานทำไม่ได้ละ หรือถ้าหาได้แล้วเราทำไม่ได้ละ ทำไม่ถูกใจเขาละ?
การหางานทำไม่ได้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกถ้าจะคิดว่า ค่อยๆหาค่อยๆว่ากัน แต่แรงกดดันของสภาวะครอบครัวมันทำให้อีนี่เครียดน่ะสิ
ใช่ คำว่า 'เครียด' เนี่ยแหละตัวดี ช่วงนี้เครียดเรื่องอนาคตไม่พอ งานทีสิสจบก็พาเครียดหนักกว่าเดิม
เวลาว่างมันค่อยๆหายไปทีละนิด
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ชีวิตได้พบเจอกับสิ่งใหม่ในวิถีการทำงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
2-3 วัน ที่ผ่านมาได้ไปเรียนรู้งานกับรุ่นพี่มหาลัย(และเพิ่มเติมว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนด้วย!!) มันเป็นงานประชาสัมพันธ์ที่อีนี่ไม่ถนัด เลย!!! แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆกับวิธีพรีเซ็นตัวเอง วิธีเข้าหาคน ซึ่งมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับชีวิตทำงานบ้างละน่า และที่สำคัญ สิ่งที่ได้เรียนรู็หลักๆเลยก็คือ...
การบอกว่าตนเองจบจากที่ไหน เป็นศิษย์ที่ใด นั้นสำคัญมากในวงการนิเทศฯ!!!
เนื่องจากว่า คุณจะได้รับการสนับสนุนและเอ็นดูจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม พวกเขาจะช่วยคุณเท่าที่พวกเขาทำได้ เพราะว่าพวกคุณคือ "รุ่นน้องของสถาบัน"
อื้มมม มันเจ๋งตรงนี้แหละ ซาบซึ้งเลยทีเดียว ช่างน่าเสียดายที่ระบบมหาลัยปัจจุบันนี้ที่เรียนอยู่ ความสัมพันธ์กันฉันพี่น้องแบบที่พวกรุ่นพี่ๆระดับมืออาชีพในวงการเขามีกัน...ทุกวันนี้มันเหมือนเจือยจางลงเรื่อยๆ เด็กในมหาลัยที่เราเรียนมันมีเยอะเหลือเกินและไร้ความสัมพันธ์กันขนาดที่ว่า...ก็แค่เพื่อนร่วมโลกผู้นึงที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกัน แค่นั้น...ความสนิทสนมแบบนั้นไม่เหลือเลย
วันนี้และเมื่อสองวันก่อน นั่งดูนั่งฟังพวกพี่ๆเขาคุยกันอย่างสนิทสนมและรำลึกถึงวันวาน
มันช่างให้ความรู้สึกที่แบบ...อบอุ่น เฮฮา สนุกสนาน พอมองย้อนดูตัวเองและสภาพรอบกายแล้วแบบ...ทำไมฉันไม่มีฟิลลิ่งแบบนี้บ้างว่ะ
ถึงจะเสียดายนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ชีวิตคนเรามันไม่มีทางได้มาซึ่งอย่างเดียวกันเสมอไป
(แต่ก็รู้สึกโชคดีนิดๆ ที่ระบบความสัมพันธ์แบบนี้ยังหาได้จากในโรงเรียนที่จบมา *ภูมิใจ*)
เมื่อความรู้สึกเฮฮาสนุกสนานของวันนี้ได้จบลง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมคือความเครียดกับทางเดินที่ต้องไป
ถึงจะวางแผนไว้คร่าวๆแต่ก็รู้สึกกังวล แน่ละว่าด้วยความเป็นลูกคนเดียว สิ่งเดียวที่กังวลคือ
ฉันจะดูแลพ่อแม่ได้มั้ย ด้วยความสามารถที่ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันของฉันเนี่ย
ลูกห่วยๆคนนี้จะดูแลพวกท่านไปจนตลอดรอดฝังมั้ยนะ
เอาละ ก็ต้องลองดู จะเป็นยังไงก็ต้องสู้กันต่อไป
จะยอมแพ้หรือถอยหลังหนีเหวลึกด้านหน้าก็คงจะไม่ใช่
ต้องลองวัดใจ แล้วกระโดดลงไปสู้กับสิ่งที่รออยู่!!
เอาละ ขอเป็นกำลังใจให้กับเด็กจบใหม่ ทุกท่านที่กำลังเครียดกับอนาคตของตัวเองเช่นเรานะคะ :)
วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557
อดีตกับเมษาหน้าโง่
วันเมษาหน้าโง่ หรือ April Fool's Day
ก็ไม่แน่ในว่ามันกลายเป็นเทศกาลหรือวันฉลองอะไรสักอย่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาจริงๆก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าวัฒนธรรมของฝรั่งเขาทำอะไรกันในวันนี้ นอกจากแกล้งคนรอบตัว (ซึ่งจริงๆปกติ ก็เห็นเขากลั่นแกล้งกันอยู่เป็นธรรมดา แล้วฝรั่งก็ไม่ถือโทษโกรธกันเป็นเรื่องใหญ่โต)
และแน่นอนว่า พวกเราชาวไทย ผู้ร่วมเฉลิมฉลองในทุกเทศกาลที่โลกนี้มี ก็สุขสันต์วันโกหกกับเขาด้วย...
ฉันว่ามันเริ่มไปกันใหญ่แล้วแหละ แท้จริงแล้ววันเมษาหน้าโง่นี่มันมีพื้นเพอย่างไร ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมันก็ยังสับสนอยู่ เชื่อได้หรือไม่ก็ยังต้องคิดกันให้ปวดหัวต่อไป
และโดยส่วนตัวคิดว่าวันนี้มันก็แค่วันนึงที่ฝรั่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นการเล่นสนุก คลายความเครียด ระบายความคับแค้นใจอย่างกับตบที่หัว แล้วลูบหลังปลอบว่า "โอ๋ๆ มันเป็นเรื่อง ล้อออ เล่นน~ น้าาา"
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็คนไทยคนนึง แน่นอนว่าเคยเล่นสนุกไปกับวันมึนๆนี่เหมือนกัน
แต่มันกลับกลายเป็น "การพยายามจะเล่นสนุก" เสียมากกว่า อาจจะเพราะหลอกใครไม่เก่งมั้ง หรือไม่ก็ปกติเป็นคนไม่ขี้แกล้งขี้หยอก พอทำเป็นเล่นดันโดนหาว่าไม่จริง...สวยตรงนี้แหละค่ะ
ที่เจ็บสุดๆ แน่นอนว่ามุขคลาสสิกมาก นั่นคือ "บอกรักกับคนที่แอบชอบ" จำได้อย่างแม่นยำว่าทำไปสองครั้ง โดนดีทั้งสองครั้งเลยทีเดียว ไปบอกรักบอกชอบเขา ผลที่ได้กลับมาคือเขาไม่เชื่อว่าเราเล่นวันเมษาหน้าโง่ ไม่เชื่อว่าเราหลอกบอกรัก สุดท้ายก็โดนจี้จนโกหกต่อไม่เป็น
เงิบสิคะ จบกันตรงนั้นเลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็มีแต่โกหกหยอกล้อเพื่อนเล็กๆน้อยๆ ขำขันกันไป แต่ไม่เคยคิดการใหญ่ในการจะแกล้งพูดอะไรกับใครอย่างนั้นอีกเลย
เรื่องแบบนี้ควรจะเจ็บแล้วจำแล้วไม่ทำอีกเลยนะ มันไม่ขำสักนิดกับการจะเล่นกับหัวใจตัวเอง (ก็โง่เองน่ะนะเอาจริง)
ยังไงก็ตาม ในทางกลับกันมันก็เป็นวันที่ทำให้คนได้ใช้สติมากที่สุดของปี ใครพูดอะไรมาก็จะไม่เชื่อๆๆๆๆ กันหมด
ดังนั้นวันนี้ก็ใช้สติกันดีๆ แต่ก็อย่าดีเกินไปจนโดนหลอกบอกความจริงแล้วไปเชื่อละ
นี่มันมากกว่าดาบสองคมแล้วละ ฉันว่าดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆเสมือนวันนี้มันไม่ใช่วันบ้าบออะไรมันก็ไม่ปวดหัวดีนะ
(บ่นอะไรหนอวันนี้)
ก็ไม่แน่ในว่ามันกลายเป็นเทศกาลหรือวันฉลองอะไรสักอย่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาจริงๆก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าวัฒนธรรมของฝรั่งเขาทำอะไรกันในวันนี้ นอกจากแกล้งคนรอบตัว (ซึ่งจริงๆปกติ ก็เห็นเขากลั่นแกล้งกันอยู่เป็นธรรมดา แล้วฝรั่งก็ไม่ถือโทษโกรธกันเป็นเรื่องใหญ่โต)
และแน่นอนว่า พวกเราชาวไทย ผู้ร่วมเฉลิมฉลองในทุกเทศกาลที่โลกนี้มี ก็สุขสันต์วันโกหกกับเขาด้วย...
ฉันว่ามันเริ่มไปกันใหญ่แล้วแหละ แท้จริงแล้ววันเมษาหน้าโง่นี่มันมีพื้นเพอย่างไร ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมันก็ยังสับสนอยู่ เชื่อได้หรือไม่ก็ยังต้องคิดกันให้ปวดหัวต่อไป
และโดยส่วนตัวคิดว่าวันนี้มันก็แค่วันนึงที่ฝรั่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นการเล่นสนุก คลายความเครียด ระบายความคับแค้นใจอย่างกับตบที่หัว แล้วลูบหลังปลอบว่า "โอ๋ๆ มันเป็นเรื่อง ล้อออ เล่นน~ น้าาา"
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็คนไทยคนนึง แน่นอนว่าเคยเล่นสนุกไปกับวันมึนๆนี่เหมือนกัน
แต่มันกลับกลายเป็น "การพยายามจะเล่นสนุก" เสียมากกว่า อาจจะเพราะหลอกใครไม่เก่งมั้ง หรือไม่ก็ปกติเป็นคนไม่ขี้แกล้งขี้หยอก พอทำเป็นเล่นดันโดนหาว่าไม่จริง...สวยตรงนี้แหละค่ะ
ที่เจ็บสุดๆ แน่นอนว่ามุขคลาสสิกมาก นั่นคือ "บอกรักกับคนที่แอบชอบ" จำได้อย่างแม่นยำว่าทำไปสองครั้ง โดนดีทั้งสองครั้งเลยทีเดียว ไปบอกรักบอกชอบเขา ผลที่ได้กลับมาคือเขาไม่เชื่อว่าเราเล่นวันเมษาหน้าโง่ ไม่เชื่อว่าเราหลอกบอกรัก สุดท้ายก็โดนจี้จนโกหกต่อไม่เป็น
เงิบสิคะ จบกันตรงนั้นเลยทีเดียว
หลังจากนั้นก็มีแต่โกหกหยอกล้อเพื่อนเล็กๆน้อยๆ ขำขันกันไป แต่ไม่เคยคิดการใหญ่ในการจะแกล้งพูดอะไรกับใครอย่างนั้นอีกเลย
เรื่องแบบนี้ควรจะเจ็บแล้วจำแล้วไม่ทำอีกเลยนะ มันไม่ขำสักนิดกับการจะเล่นกับหัวใจตัวเอง (ก็โง่เองน่ะนะเอาจริง)
ยังไงก็ตาม ในทางกลับกันมันก็เป็นวันที่ทำให้คนได้ใช้สติมากที่สุดของปี ใครพูดอะไรมาก็จะไม่เชื่อๆๆๆๆ กันหมด
ดังนั้นวันนี้ก็ใช้สติกันดีๆ แต่ก็อย่าดีเกินไปจนโดนหลอกบอกความจริงแล้วไปเชื่อละ
นี่มันมากกว่าดาบสองคมแล้วละ ฉันว่าดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆเสมือนวันนี้มันไม่ใช่วันบ้าบออะไรมันก็ไม่ปวดหัวดีนะ
(บ่นอะไรหนอวันนี้)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)