ตอนนี้ชีวิตดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนแต่ละทีไม่เคยทำให้ฉันคิดมากอะไรขนาดนี้เลย จากประถมสู่มัธยม
จากม.ต้นสู่ม.ปลาย จากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัย มันก็เป็นเหมือนแค่ทางเดินที่แยกออกมาจากทางที่เดินอยู่ปกติ ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่
แต่แน่ละว่าตอนที่เรียนจบม.6 แล้วต้องมาเริ่มต้นชีวิตมหาลัยครั้งแรกมันตื่นเต้นเบาๆนะ แต่มันตื่นเต้นในเชิงของเด็กคนนึงที่กำลังจะเปลี่ยนสถานที่เรียน กังวลว่าจะเรียนได้มั้ย จะได้เพื่อนหรือเปล่า แล้วจะมีชีวิตรอดมั้ยนะ เพราะปกติเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง สอบตกสอบซ่อมมันทุกชั้นปีไป มหาลัยมันไม่มีสอบตกสอบซ่อมแล้วนะ มันมีเพียงแค่ว่า ผ่านไม่ผ่าน จบไม่จบ แค่นั้นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็มีชีวิตรอดมาได้ 4ปี เต็มๆ
ตอนนี้ยังไม่จบชีวิตในรั้วมหาลัยแบบสมบูรณ์ก็จริง แต่ชีวิตใหม่ ทางเดินใหม่ที่ต้องเลือกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกแค่สองเดือนเท่านั้นก็ต้องบอกลาชีวิตนักศึกษาแล้ว
จุดเปลี่ยนครั้งนี้มันนอกจากจะทำให้ตื่นเต้นแล้ว มันยังก่อให้เกิดความกังวล ว้าวุ่น ท้อแท้ หดหู่...มากกว่าที่เคยเป็นมาในครั้งไหนๆในชีวิตเลยนะ มันแบบ...ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน...แต่ก็กังวลว่าจะทำได้มั้ย แล้วเราจะไปทำอะไรได้บ้างละ ว้าวุ่นมากว่าจะใช้ชีวิตยังไงดี...เริ่มท้อแท้ที่มองไม่เห็นหดทางชัดเจนอย่างคนอื่น แล้วก็เริ่มหดหู่กลุ้มใจ...ถ้าหางานทำไม่ได้ละ หรือถ้าหาได้แล้วเราทำไม่ได้ละ ทำไม่ถูกใจเขาละ?
การหางานทำไม่ได้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกถ้าจะคิดว่า ค่อยๆหาค่อยๆว่ากัน แต่แรงกดดันของสภาวะครอบครัวมันทำให้อีนี่เครียดน่ะสิ
ใช่ คำว่า 'เครียด' เนี่ยแหละตัวดี ช่วงนี้เครียดเรื่องอนาคตไม่พอ งานทีสิสจบก็พาเครียดหนักกว่าเดิม
เวลาว่างมันค่อยๆหายไปทีละนิด
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ชีวิตได้พบเจอกับสิ่งใหม่ในวิถีการทำงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
2-3 วัน ที่ผ่านมาได้ไปเรียนรู้งานกับรุ่นพี่มหาลัย(และเพิ่มเติมว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนด้วย!!) มันเป็นงานประชาสัมพันธ์ที่อีนี่ไม่ถนัด เลย!!! แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆกับวิธีพรีเซ็นตัวเอง วิธีเข้าหาคน ซึ่งมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับชีวิตทำงานบ้างละน่า และที่สำคัญ สิ่งที่ได้เรียนรู็หลักๆเลยก็คือ...
การบอกว่าตนเองจบจากที่ไหน เป็นศิษย์ที่ใด นั้นสำคัญมากในวงการนิเทศฯ!!!
เนื่องจากว่า คุณจะได้รับการสนับสนุนและเอ็นดูจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม พวกเขาจะช่วยคุณเท่าที่พวกเขาทำได้ เพราะว่าพวกคุณคือ "รุ่นน้องของสถาบัน"
อื้มมม มันเจ๋งตรงนี้แหละ ซาบซึ้งเลยทีเดียว ช่างน่าเสียดายที่ระบบมหาลัยปัจจุบันนี้ที่เรียนอยู่ ความสัมพันธ์กันฉันพี่น้องแบบที่พวกรุ่นพี่ๆระดับมืออาชีพในวงการเขามีกัน...ทุกวันนี้มันเหมือนเจือยจางลงเรื่อยๆ เด็กในมหาลัยที่เราเรียนมันมีเยอะเหลือเกินและไร้ความสัมพันธ์กันขนาดที่ว่า...ก็แค่เพื่อนร่วมโลกผู้นึงที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกัน แค่นั้น...ความสนิทสนมแบบนั้นไม่เหลือเลย
วันนี้และเมื่อสองวันก่อน นั่งดูนั่งฟังพวกพี่ๆเขาคุยกันอย่างสนิทสนมและรำลึกถึงวันวาน
มันช่างให้ความรู้สึกที่แบบ...อบอุ่น เฮฮา สนุกสนาน พอมองย้อนดูตัวเองและสภาพรอบกายแล้วแบบ...ทำไมฉันไม่มีฟิลลิ่งแบบนี้บ้างว่ะ
ถึงจะเสียดายนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ชีวิตคนเรามันไม่มีทางได้มาซึ่งอย่างเดียวกันเสมอไป
(แต่ก็รู้สึกโชคดีนิดๆ ที่ระบบความสัมพันธ์แบบนี้ยังหาได้จากในโรงเรียนที่จบมา *ภูมิใจ*)
เมื่อความรู้สึกเฮฮาสนุกสนานของวันนี้ได้จบลง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมคือความเครียดกับทางเดินที่ต้องไป
ถึงจะวางแผนไว้คร่าวๆแต่ก็รู้สึกกังวล แน่ละว่าด้วยความเป็นลูกคนเดียว สิ่งเดียวที่กังวลคือ
ฉันจะดูแลพ่อแม่ได้มั้ย ด้วยความสามารถที่ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันของฉันเนี่ย
ลูกห่วยๆคนนี้จะดูแลพวกท่านไปจนตลอดรอดฝังมั้ยนะ
เอาละ ก็ต้องลองดู จะเป็นยังไงก็ต้องสู้กันต่อไป
จะยอมแพ้หรือถอยหลังหนีเหวลึกด้านหน้าก็คงจะไม่ใช่
ต้องลองวัดใจ แล้วกระโดดลงไปสู้กับสิ่งที่รออยู่!!
เอาละ ขอเป็นกำลังใจให้กับเด็กจบใหม่ ทุกท่านที่กำลังเครียดกับอนาคตของตัวเองเช่นเรานะคะ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น