วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: Tammy (2014)

Tammy (2014)
Directed by Ben Falcone
Cast: Melissa McCarthy, Susan Sarandon, Kathy Bates, Allison Janney, Dan Aykroyd, Mark Duplass, Gary Cole, Nat Faxon, Toni Collette, Sandra Oh and Ben Falcone

หลังจากโดนไล่ออกและสามีนอกใจ แทมมี่ก็เริ่มวิ่งหนีปัญหาอย่างที่เธอน่าจะทำมาทั้งชีวิต(จากที่แม่และยายมันพูดเสมอช่วง20นาทีแรก) แต่การวิ่งหนีปัญหาหนนี้เธอมีเพื่อนร่วมทางเป็นยายของเธอ การผจญภัยของยายหลานสุดแสบสองคนจึงเริ่มขึ้น

หนังตลกที่หน้าหนังดูจะเห่ยๆ เหมือนหนังตลกที่ตัวละครโคตรจะขี้แพ้โดยทั่วไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจและดึงดูดให้อยากดู พูดเลยว่าเพราะกลุ่มดาราตลกฝูงใหญ่ที่ร่วมแสดงในเรื่องนี่แหละ
...ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกมั้งที่ตลก เพราะสี่สาวอย่าง Allison Janney, Kathy Bates, Sandra Oh กับ Toni Collette ปกติไม่พบเห็นพวกเธอเล่นตลกโปกฮาอะไรหรอก ซึ่ง Tammy ก็ไม่ใช่หนังตลกประเภทนั้น

ใช่แล้ว Tammy เป็นหนังตลกครอบครัวที่ดูแล้วอมยิ้มมากกว่าขำขันกับพฤติกรรมโง่ๆของตัวละคร ...โอเคมันมีจังหวะขำเพราะพฤติกรรมโง่นั่นอยู่บ้าง โดยเฉพาะความโง่ของแทมมี่ในหลายๆเรื่อง

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองข้ามความโง่ในบางจังหวะของแทมมี่ไป หนังเรื่องนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ออกแนวโรดทริปของกลุ่มสาวๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายนิดๆเสียด้วยซ้ำ
ดูแล้วนึกถึง Susan Sarandon ในเรื่อง Thelma & Louise (1991) ที่เป็นอารมณ์ประมาณว่า นางไม่ตาย แต่แก่จนใกล้จะลงโลงและมีหลานที่นิสัยไม่ต่างกับนางเลย (อ้าว เผลอสปอย Thelma&Louise ท่ดๆ) << จงอ่านข้ามชื่อหนังเรื่องนี้ไปซะก็ได้ ฮ่าๆๆ

Susan เรื่องนี้น่าทึ่งมาก นางแก่แบบ...โคตรแก่ อย่างกับยัยเพิ้งขี้เมาผมไม่เคยเจอหวี แต่เสน่ห์นางยังแรงอยู่เลย! ไม่ใช่แค่ฉากอ่อยผู้ชาย แต่ทุกฉากทุกการเคลื่อนไหวเลยทีเดียว

พูดถึง Melissa McCarthy ซะหน่อย นอกจากเป็นนางเอกแล้วนางเขียนบทด้วยนะ ร่วมกับสามีนางนั่นแหละ (Ben Falcone...อ้าว ชื่อผู้กำกับหนิ! อุ๊ตะ หนังครอบครัวจริงๆ)
ปกติแล้วไม่เคยชอบนางแสดงเรื่องไหนเลย แม้กระทั่ง The Heat (2013) ที่แสดงกับ เจ๊แสงดาวบุญล้อม เอ้ย Sandra Bullock แต่เรื่องนี้บทนาง...จะบอกว่าน่ารักก็ไม่ได้ แต่เอาเป็นว่ามันทำให้อมยิ้มมากกว่ารำคาญแหละ การกระทำบางครั้งงี่เง่าก็จริง แต่ก็ทำด้วยใจจริง พูดง่ายๆคือเธอยังดูเป็นเด็กน้อยที่ทุกคนต้องคอยดูแลอยู่เลย สิ่งเดียวที่เธอไม่พึ่งพาคนอื่นคือการปล้นร้านฟาสฟู๊ด

การปล้นคือภารกิจสิ้นคิดของคนไม่มีเงิน และเป็นสิ่งเดียวที่ตัวละครประเภทแทมมี่จะคิดออกและทำไปแบบง่อยๆ เป็นการกระทำสิ้นคิด แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้สำเร็จแบบไม่ต้องพึ่งพาใคร แม้จะผิดแต่ก็สร้างความภูมิใจให้คนรอบข้างเธอไม่น้อย เพราะสิ่งที่เธอตัดสินใจทำนั่นแหละสำคัญ (ไม่ได้บอกว่าการปล้นเพื่อช่วยยายเป็นเรื่องดีควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่นะ ไม่ใช่)
ที่ดีคือ ทำผิด คืนเงินแล้ว แต่ความผิดก็คือความผิด ยังไงเธอก็ต้องรับโทษ

และการเข้าคุกก็ทำให้เธอดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง เดาว่าเพราะเธอเจอสภาพสังคมอื่น นอกจากสิ่งที่อยู่รายล้อมรอบตัวตอนก่อนจะเริ่มออกเดินทางโรดทริปกับยายของนาง

โดยรวมแล้ว คอนเซปเรื่องก็เหมือนหนังทั่วไป เจอปัญหา ผจญภัย ระหว่างทางสิ่งที่เจอก็ทำให้ตัวละครเปลี่ยน จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ฮู๊เร่
ภาพสวยแบบหนังฟิลกู๊ด มุกตลกไม่สกปรก น่ารักมุ้งมิ้งตามสไตล์ผู้หญิงๆ

สิ่งเดียวที่ดูเซอร์เรียลเกินไปหน่อยคือ สามีของแทมมี่และชู้มันดู...เหมือนตัวละครที่งอกออกมาจากจินตนาการของแทมมี่ มากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ

สรุป 8/10 เลยนะ
ให้เยอะขนาดนี้เพราะมันทำให้คลายเครียดได้ดีทีเดียว ดูง่ายๆไม่คิดมาก
ที่สำคัญ สำหรับหนังแนวเดียวกัน เรื่องนี้จัดว่าดี
เสียดายมาแป๊บๆแล้วไป คะแนนวิจารณ์ก็ไม่ดี แย่จัง

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Doctor Sleep /ลางนรก

อยากเปิดช่วงใหม่ "อ่านแล้วบ่น"
แต่ปัญหาคือ ไม่ได้อ่านเสร็จอย่างรวดเร็วทุกเล่มเพื่อที่จะมาบ่นบ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่เปิด (เอ้า =..=)

Doctor Sleep / ลางนรก
Stephen King เขียน
โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล แปล

เรื่องราวของ แดน ทอร์แรนซ์ หลังจากรอดชีวิตจากโรงแรมโอเวอร์ลุคเมื่อตอนเขา5ขวบ ปัจจุบันเขาโตเป็นผู้ใหญ่ขี้เหล้า ที่แม้จะมอมมายตัวเองขนาดไหน ความสามารถในการ "ส่องแสง" ของเขาก็ไม่เคยหายไป

แอบรา สโตน เด็กน้อยผู้ที่สามารถ "ส่องแสง" โดดเด่นยิ่งกว่าใคร ถ้าเปรียบความสามารถของคนอื่นเป็นน้ำแข็งหนึ่งถัง ของเธอก็เป็นภูเขาน้ำแข็งลูกยักษ์

โรสหมวกดำ สาวสวยชวนพิศวง ผู้ใช้ชีวิตอยู่มานานแสนนาน  กาลเวลาทำอะไรเธอไม่ได้ เธอรักเด็กตัวน้อยๆผู้ส่องแสงได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอได้สัมผัสถึงพลังของ แอบรา สโตน...

ไม่อยากเล่าเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้เลยจริงๆ เพราะมันเล่าลำบาก อย่างที่เขียนไปก็ย่อๆมาจากปกหลังของหนังสืออีกที

ต้องบอกนิดนึงว่าส่วนตัวแล้ว Stephen King เป็นนักเขียนในดวงใจ ที่เราไม่เคย "อ่าน" เรื่องของเขาจริงๆจังๆเลย แต่กลับชอบ "ดู" หนังที่สร้างจากผลงานของเขาทั้งหลาย
อย่างเรื่อง Carrie(1976), Christine(1983), Children of the Corn(1984), Firestarter(1984), Pet Sematary(1989), Sleepwalkers(1992), Dreamcatcher(2003), 1408(2007), The Mist(2007)
ที่กล่าวมาคือหนังจากนิยายของKing ที่ดูแล้วชอบมากน่ะนะ

กล้าพูดว่าเสียดายมากที่ไม่ได้อ่าน เป็นแฟนคลับที่ห่วยแตกเฮงซวยอันดับหนึ่งเลยมั้งเนี่ย

แต่ก็เพราะความโง่และไม่แสวงหาสิ่งดีๆในชีวิตของตัวเองด้วยแหละ เอาแต่อ่านนิยายประโลมโลก แฟนตาซี รักหวานแหวว แวมไพร์ บรา บรา บรา แอนด์ บรา ที่ไม่มีของดีๆอยู่เลยสักอย่าง
...ถ้างั้นฉันไปเดินงานหนังสือเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมาเพื่ออะไร?

คำตอบก็คือ เพื่อมองหาของดีๆ(ลดราคา)แบบนี้ไงละ!!! เป็นปีแรกที่ไปเดินแบบไม่ตั้งเป้าอะไรเลย

เห็น สนใจ ซื้อ(ไม่คิด)
...แย่จริง กระเป๋าเงินเกือบแบน ถุงผ้าอย่างหนัก หลังเกือบหักตอนถึงบ้าน

ถึงอย่างนั้นก็ได้หอบ Doctor Sleep กลับบ้านมาด้วย ตื่นเต้นระดับแม็กซ์เลยทีเดียว (จำได้ตอนที่เห็นมันตั้งอยู่หน้าบูธอมรินทร์ คือพุ่งตัวเข้าไปหยิบ ส่งให้พนักงาน จ่ายเงิน และเดินออกมาแบบ...หื้อ นี่กูจ่ายตังค์ซื้อไปแล้วหรอเนี่ย...)
และในเมื่อเป็นของที่ได้มาแบบตาลุกวาว ก็เก็บไว้อ่านเป็นเล่มสุดท้ายของกองหนังสือทั้งหมด
ซึ่งอ่านจบไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง

Doctor Sleep เป็นภาคต่อของ The Shining ซึ่งเป็นเรื่องราวอีกประมาณ 20ปีต่อมาของหนูน้อยแดนนี่ เด็กน้อยผู้ปั่นจักรยานสามล้อไปทั่วโรงแรมโอเวอร์ลุคนั่นแหละ
ตอนแรกพอรู้ว่าเป็นภาคต่อ สมองก็นึกถึงหน้า Jack Nicholson ที่รับบทเป็น แจ็ก ทอร์แรนซ์ ผู้ถือขวานไล่ล่าเมียและลูกไปทั่วโรงแรม พังประตูเป็นช่องแล้วโผล่หน้าเข้าไป "Heeere's JOHNNY!!!"

ใช่แล้ว "The Shining" ฉบับหนังเมื่อปี 1980 โดยฝีมือกำกับของ Stanley Kubrick(จาก A Clockwork Orange และ 2001: A Space Odyssey นั่นเอง)

ตอนแรกว่าจะรื้อหนังมาดูใหม่ก่อนจะอ่านเล่มนี้อยู่เหมือนกัน แต่ปรากฎไปเจอบทความ(ซึ่งจริงๆก็มีเขียนบอกหลังจบเล่มแหละแต่ไม่ได้เปิดดูไง รู้อีกทีก็ตอนอ่านจบ)
ที่กล่าวถึงประมาณว่า The Shining เป็นหนังเรื่องเดียวจากหนังสือของKing ที่พี่แกไม่ชอบที่สุด

"ถ้าคุณดูหนัง แต่ไม่ได้อ่านนิยาย โปรดระลึกไว้ว่า Doctor Sleep เป็นภาคต่อของอย่างหลัง ซึ่งในความเห็นของผม นั่นคือประวัติครอบครัวทอร์แรนซ์ที่เที่ยงตรงต่อความเป็นจริง" - จากบันทึกผู้เขียน หลังเล่ม

ด้วยเหตุนี้ ความคิดที่จะรื้อหนังมาดูจึงล้มเลิกไป แล้วเปิดหน้าแรกอ่านในทันใด
ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่รู้เรื่อง ในเล่มท้าวความถึงภาคก่อนไว้ได้ดีแบบพอเข้าใจ(ถ้าไม่รู้เรื่องTheShiningเลยน่ะนะ) ถ้าดูหนังก็จะเข้าใจขึ้นนิดนึง แต่เชื่อว่าถ้าได้อ่านหนังสือมันจะเป็นโมเม้นที่สุดยอดมาก ที่ได้ติดตามเรื่องราวชีวิตของทอร์แลนซ์แฟมิลี่ในเวลาต่อมาแบบนี้

ถ้าใครขยัน และชอบอย่างจริงจัง แนะนำให้หา The Shining ฉบับหนังสือมาอ่าน แบบแปลไทยน่าจะหาไม่ได้แล้ว คงต้องฝึกภาษาอังกฤษฝีมือเฮียKing กันเสียหน่อยแหละนะ

สำหรับ Doctor Sleep ชอบมากในระดับขึ้นหิ้งเลย (อยู่ข้างๆฟิฟตี้เชดและดาร์คซีรี่ส์)
เรื่องดำเนินแบบเรื่อยๆ อ่านเพลินๆ วางไม่ลง สนุกสุดๆ ที่สำคัญคือไม่ได้น่ากลัวและโหดร้ายอย่างที่หลายคนแค่เห็นชื่อนักเขียนก็กลัวแล้ว ไม่เลย เรื่องนี้อย่างกับกำลังดูหนังแนวแอคชั่นไซไฟ ที่ไม่โหดขนาด Sleepwalkers แต่ก็ไม่พลังจิตจนชวนสยองอย่าง Carrie ไม่รนทดอย่าง Firestarter

คือมันลงตัวแบบสุดๆ อ่านจบแล้วยิ้มออกมากว้างๆเลย

ดูแล้วบ่น: Whiplash (2014)

"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ดูหนังมา...


Whiplash (2014)
Directed By Damien Chazelle
Cast: Miles Teller and J.K. Simmons
เรื่องราวของ แอนดรูว์ มือกลองดนตรีวัย 19 ปี ที่ต้องการเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่ตนชอบ แรงกดดันจากครอบครัวและความคลั่งไคล้ทำให้เขามุ่งมั่นที่จะชนะใจครู "โคตร" โหด และฝึกซ้อมจนเลือดอาบ ไม้กลองหัก

พูดได้คำเดียวว่า "มันส์!" จริงๆ เร้าใจทุกซีน กระชากลมหายใจทุกจังหวะ
สิ่งเดียวที่ทุกคนรอบตัวที่ดูหนังเรื่องนี้พูดเหมือนกันก็คือ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์" มันจริงอย่างที่ว่านั่นแหละ ใจเต้นรัวเร็วจนเหนื่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเองก็ตอนที่หนังมันให้เราพักนี่แหละ

ดราม่าจัดหนัก มันหนักหนาสาหัสจริงๆ ถึงขั้นทำเอาผู้ชมเผลอแสดงอากัปกิริยาแสนจะธรรมชาติออกมาแบบไม่รู้ตัวกันง่ายๆเลย
จากที่สังเกต ตอนฉากกระชากอากาศออกจากปอดคนดู...
ด้านขวา: ตาค้าง ยกมือปิดปาก เหมือนจะลืมหายใจ กุมขมับ แล้ววางมือกลับลงไปที่เดิม
ด้านซ้าย: ทำของในมือตก(ไม่เห็นว่าคืออะไร) แล้วไม่เก็บขึ้นมาเสียทีจนกระทั้งพ้นฉากนั้นไปแล้ว
เราเองก็มีปฏิกิริยานะ อ้าปากค้าง หยุดหายใจไปดื้อๆ รู้ตัวอีกทีตอนฉากนั้นมันผ่านไปนั่นแหละ(แล้วก็หันมองซ้ายขวา เห็นภาพอย่างที่เล่าไป)

คงต้องยกความดีให้กับ งานภาพและเสียงที่ "งาม" มาก
คือภาพมันไม่ได้สวย แต่! แต่ละช็อตมันเข้ากับอารมณ์สุดๆ ยิ่งเสียงกลองทั้งเรื่องนี่...อือหื้อออออ
สองอย่างนี้แหละน่าจะเป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์"
นี่แค่ภาพกับเสียงนะ ลองบวกบทพูดและการแสดงของนักแสดงหลักสองคนอย่าง Miles Teller กับ J.K. Simmons เข้าไปสิ โอ๊ยยยยยยยยยยย ปอดหยุดทำงาน ขาดอ๊อกซิเจนไปเสี้ยววินาที

อย่างพ่อหนุ่มน้อยแอนดรูว์ที่แสดงโดย Miles Teller เนี่ย บอกตรงๆว่าจำแทบไม่ได้ นึกออกอีกทีตอนทำหน้าหยิ่งผยองแวบนึง...อ๋อ! อีตากวนประสาทจาก Divergent นี่เอง หื้มมมม เจ๋งๆ
ส่วนลุง J.K. Simmons ก็จำภาพแกติดตาจาก บก.ขี้โวยวายใน Spider-Man Trilogy ช่วงยุค2000ต้นๆนี่เอง เพียงแต่บทนี้ เฮียแกมาโหดแบบ โค ตะ ระ โหด

ประโยคที่บอกไว้ตอนต้นว่า...
"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
ไม่มีใครกล่าวหรอก อีนี่แหละพูดเอง พูดออกมาเลยแหละหลังจากเดินออกมาจากโรง ขำอีกต่างหาก (จนคนที่เดินสวนมา มองเหมือนอีนี่บ้าหรือเปล่า)

หลังจากเสียความบริสุทธิ์จากการดูหนังเพื่อความบันเทิงไป
เพราะ 1.โตขึ้น และ 2.เพราะเรียนฟิล์มนี่แหละทำให้อะไรๆมันต่างออกไป
การดูหนังก็ไม่สนุกแบบลืมโลกอีกเลย (ยกเว้นหนังอนิเมชั่น)
แต่เรื่องนี้เป็นหนังดราม่าเรื่องแรกที่ ดูแล้วไม่เครียด จริงอยู่ที่มันกดดัน แต่มันไม่เครียดเลยจริงๆ ถ้าเดินออกจากโรงแล้วยังขำได้ขนาดนั้นก็แปลว่าหนังไม่ได้ทำให้เราเศร้าเลย หลังจากที่สมองแม่ง(ขออภัย) มีแต่เรื่องบ้าบอเต็มไปหมด มันลืมมมมมม ทุกสิ่งทุกอย่าง จนเผลอยิ้มโง่ๆออกมา

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่ดูหนังเพื่อความบันเทิงอยู่ดี (เอ๊ะยังไง)
ถ้าคุณชอบหนังตลาด แน่นอนว่าดูเรื่องนี้คุณไม่ชอบแน่ๆ บางทีอาจถึงขั้นไม่เข้าใจ และหมดความสนุกไปดื้อๆ ดีไม่ดีแค่เห็นหน้าหนังก็อาจถอยหนีไปดู Gone Girl หรือ Interstellar โรงข้างๆแล้ว

แต่ถ้าคุณเบื่อหนังข้างต้น ก็หันมาดู Whiplash เหอะ ไม่ต้องคิดเยอะ
แค่นั่งดูเด็กอายุ19พยายามทำตามความฝัน อย่างไม่ลดละ ไม่ว่าครูอารมณ์ร้อนตรงหน้ามันจะโหดสลัดปลาทูน่าขนาดไหนก็ตาม
ที่สำคัญ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับจังหวะกลองที่เร้าอารมณ์คุณอยู่นั่นแหละ แค่นั้นความสนุกก็บังเกิดจากหนังดราม่าที่คุณๆทั้งหลายมองข้ามได้แล้ว

พูดไปอาจหาว่าเกินจริง แต่หนังมันดีจริงๆนะคะยู

สิ่งที่ประทับใจที่สุดในวันนี้ คือ ตอนจบของทั้งในหนังและคนดูในโรง
ในหนัง: ไฟเวทีดับ เสียงกลองจบตึ้ง!ดังสนั่น แบล็กดำ เครดิตขึ้น
ในโรงหนัง: ไฟเปิด เสียงปรบมือดังแปะๆ รอยยิ้มแบบอึ้งๆจากเด็กที่ลุกขึ้นแถวหน้าเรา
มีคนอยู่ดูเครดิตมากกว่าครึ่งของจำนวนคนที่เข้ามาดู

และได้ยินน้องนักศึกษาคนนึงพูดว่า
"กูเหนื่อยมากมึง พอเถอะ เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบ หายใจไม่ทัน"

ให้ 100เต็ม10 เลย!!! (ห๊ะ...แกเพ้อละจี ไปนอนไป๊)


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แฉตัวเอง ตอน UpInTheAirจนอ้วก?

ปกติแล้ว เวลาดูหนังเรื่องใดก็ตาม จะจำไม่ค่อยได้ว่าดูในโรงเมื่อไหร่ กับใคร ที่ไหน หรือแม้แต่ความรู้สึกที่นั่งอยู่ในโรงหนังมืดๆก็จะจำไม่ได้

จะมีแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่จำได้ อย่างเช่น ตอนดู The Avergers รอบที่4 ในโรง 4D ที่พารากอน จำได้แม่นมากว่าปวดฉี่ขั้นสุด แต่ไม่อยากออกจากโรงเพราะไม่อยากพลาดตอนใดไป ปัญหาคือ เก้าอี้ที่ขยับไปมาได้ ลมเย็นที่พัดแรงทุกทีที่หนังมันตื่นเต้นหรือฉากฐานทัพบนฟ้ากำลังล่มสลาย ที่สำคัญไอ้ลมที่เป่าข้างหูทำให้ตกใจเวลาฮอว์คอายยิงธนูก็ยิ่งทำให้ปวดฉี่ สุดท้ายแล้วก็ดูหนังไม่สนุกแม้จะเป็นโรง 4D เพราะอาการปวดฉี่นี่แหละ

นั้นเป็นแค่ตัวอย่างโง่ๆที่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำก่อนดูหนัง
(ดันซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นอีกด้วยนะ ฝืนกินเพราะเสียดาย โง่จริงๆ)

แต่ที่จะมาเล่าวันนี้มันเป็นประสบการณ์แสนหรรษา ที่ไม่หรรษาเลยหลังจากดูหนังจบ

เรื่องเกิดขึ้นตอนอยู่ ม.6 กลับจากค่ายสุดท้ายในชีวิตนักเรียนกระโปรงสุ่ม มันเป็นเวลาบ่ายโมงซึ่งผู้คนยังนั่งทำงานตากแอร์กันอยู่ในออฟฟิศ นั่นรวมถึงแม่ฉันด้วย พ่อเลยชวนไปดูหนังระหว่างรอ และหนังผู้โชคดีที่กลายเป็นตัวฆ่าเวลาก็คือ Up in the Air (2009) ของ คู่พ่อลูก Reitman (พ่อสร้าง ลูกกำกับ)
จริงๆมันไม่ได้บังเอิญหรอก ก็ดูๆไว้อยู่แล้วว่าหนังมันน่าสนใจ แค่หาจังหวะเวลาในการดูให้ดีเท่านั้นเอง

ตอนนั้นยังเป็นเด็กโข่งใช้เงินไม่บันยะบันยัง ซื้อชาเขียวปั้นร้านกาแฟชื่อดังแพงหูฉีกเข้าไปกินในโรงหนัง (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นลิโด้ ไม่ก็โรงหนังสยามก่อนที่ไฟไหม้)

ขอบอกก่อนว่า Up in the Air เป็นหนังในดวงใจ ที่ชอบ และสนุกทุกครั้งเวลาที่ดู(บางคนอาจไม่เห็นว่ามันสนุก) แต่ถึงอย่างนั้น วันที่ได้ดูในโรงพร้อมชาเขียวแสนแพง กลับไม่มีความสนุกเลยสักนิด

จู่ๆท้องไส้ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ด้วยความที่นั่งอยู่ในโรงหนัง มีเสื้อกันหนาวหนาๆสร้างความอุ่นสบาย ชาเขียวแสนอร่อย เลยไม่คิดว่ามันร้ายแรง คงแค่หิว(ยังไม่ได้กินข้าว) ระหว่างนั้น George Clooney, Vera Farmiga และ Anna Kendrick ก็กำลังทำตัวเนียนเข้าไปเที่ยวในปาร์ตี้ของคนอื่น

ทุกครั้งที่มีเสียงเครื่องบินในหนัง ผีเสื้อในท้องก็กระพือปีกกันอย่างสนุกสนาน แต่แรงกระพือมันเหมือนปีกถูกติดกาว บินไม่ขึ้น ชนผนังท้องไส้อยู่นั่นแหละ ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกว่ามันร้ายแรง เพราะอยู่ในท่านั่ง

แต่มันก็ทำให้ดูหนังไม่สนุกอยู่ดี...

เมื่อพระเอกยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางสนามบิน เครดิตจบขึ้น ไฟโรงหนังสว่าง ผู้ชมที่มีอยู่น้อยนิดก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างงัวเงีย บางคนเหมือนหลับ บางคนเหมือนดีใจที่หนังจบ พ่อลูกคู่นี้เป็นหนึ่งในพวกงัวเงีย จำไม่ได้ว่าพ่อหลับมั้ย แต่อีนี่นั่งหน้าบูดเป็นตูดบาบูนอย่างเซ็งจิตสุดขีด หนังสนุกจริง ดาราดี(ชอบตรงนี้) แต่อาการแปลกๆในท้องมันทำให้ประสาทกิน ตอนที่เครดิตฉาย มีเวลาคิดกับตัวเองแวบนึงว่านี่ฉันเป็นอะไร? แต่ก็ไม่สนใจเพราะลุกเดินออกจากโรงซะก่อน

ตอนนัั้นเอง อาการประหลาดทั้งหลายก็รวมตัวกันเป็นก้อน แล้วพุ่งพรวดออกมาจากปากอย่างห้ามไม่ได้ อ้วกสีเขียว(ขออภัยที่บรรยายเห็นภาพเกินไป) พุ่งลงพื้นตรงกำแพงทางเดินข้างโรงหนัง(ขออภัยอีกเช่นกันที่ทำสถานที่เลอะ) อยากหยุดตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ออกจากสยาม ไปรับแม่ และไปโรง'บาล

ระหว่างทางก็ยังอ้วกอยู่...

ที่ตลกก็คือ ผู้ชมที่ร่วมชะตากรรมกันในโรงต่างมองอีนี่ด้วยสีหน้าทำนองว่า
"หนังแย่ขนาดนั้นเลย?"
"อีเด็กนี่เป็นอะไร?"
"ชาเขียวบูดหรือเปล่า?"

ไม่มีใครคิดเลยหรอว่าฉันอาจจะไม่สบายหรืออะไร *ร้องไห้น้ำตาเป็นหยดน้ำยักษ์*
จำได้ว่าได้ยินสาวนางนึงที่มากับแฟนหนุ่มพูดว่า "น้องเค้าเมาเครื่องบินหรอเธอ"

เอ่อะ...

เป็นฝันร้ายที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ และทุกครั้งทีเห็นชื่อหนังเรื่องนี้ อ้วกสีเขียว ก็จะปรากฎในหัว(อี๋)

คำตอบของอาการบ้านี่คือ: แพ้อาหารอย่างรุนแรง คาดว่าเพราะกินสิ่งผิดสำแดงอย่าง ทาโร่กรอบ+ไอติมกะทิ ตอนกลับจากค่าย มันควรกินแยกกัน อีนี่เอามารวมกัน น่าแปลกใจที่เพื่อนหลายคนก็กินแต่ไม่มีใครเป็น (จำได้ลางๆว่ามีเพื่อนซี้คนนึงก็เป็นนะ)