"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ดูหนังมา...
Whiplash (2014)
Directed By Damien Chazelle
Cast: Miles Teller and J.K. Simmons
เรื่องราวของ แอนดรูว์ มือกลองดนตรีวัย 19 ปี ที่ต้องการเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่ตนชอบ แรงกดดันจากครอบครัวและความคลั่งไคล้ทำให้เขามุ่งมั่นที่จะชนะใจครู "โคตร" โหด และฝึกซ้อมจนเลือดอาบ ไม้กลองหัก
พูดได้คำเดียวว่า "มันส์!" จริงๆ เร้าใจทุกซีน กระชากลมหายใจทุกจังหวะ
สิ่งเดียวที่ทุกคนรอบตัวที่ดูหนังเรื่องนี้พูดเหมือนกันก็คือ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์" มันจริงอย่างที่ว่านั่นแหละ ใจเต้นรัวเร็วจนเหนื่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเองก็ตอนที่หนังมันให้เราพักนี่แหละ
ดราม่าจัดหนัก มันหนักหนาสาหัสจริงๆ ถึงขั้นทำเอาผู้ชมเผลอแสดงอากัปกิริยาแสนจะธรรมชาติออกมาแบบไม่รู้ตัวกันง่ายๆเลย
จากที่สังเกต ตอนฉากกระชากอากาศออกจากปอดคนดู...
ด้านขวา: ตาค้าง ยกมือปิดปาก เหมือนจะลืมหายใจ กุมขมับ แล้ววางมือกลับลงไปที่เดิม
ด้านซ้าย: ทำของในมือตก(ไม่เห็นว่าคืออะไร) แล้วไม่เก็บขึ้นมาเสียทีจนกระทั้งพ้นฉากนั้นไปแล้ว
เราเองก็มีปฏิกิริยานะ อ้าปากค้าง หยุดหายใจไปดื้อๆ รู้ตัวอีกทีตอนฉากนั้นมันผ่านไปนั่นแหละ(แล้วก็หันมองซ้ายขวา เห็นภาพอย่างที่เล่าไป)
คงต้องยกความดีให้กับ งานภาพและเสียงที่ "งาม" มาก
คือภาพมันไม่ได้สวย แต่! แต่ละช็อตมันเข้ากับอารมณ์สุดๆ ยิ่งเสียงกลองทั้งเรื่องนี่...อือหื้อออออ
สองอย่างนี้แหละน่าจะเป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์"
นี่แค่ภาพกับเสียงนะ ลองบวกบทพูดและการแสดงของนักแสดงหลักสองคนอย่าง Miles Teller กับ J.K. Simmons เข้าไปสิ โอ๊ยยยยยยยยยยย ปอดหยุดทำงาน ขาดอ๊อกซิเจนไปเสี้ยววินาที
อย่างพ่อหนุ่มน้อยแอนดรูว์ที่แสดงโดย Miles Teller เนี่ย บอกตรงๆว่าจำแทบไม่ได้ นึกออกอีกทีตอนทำหน้าหยิ่งผยองแวบนึง...อ๋อ! อีตากวนประสาทจาก Divergent นี่เอง หื้มมมม เจ๋งๆ
ส่วนลุง J.K. Simmons ก็จำภาพแกติดตาจาก บก.ขี้โวยวายใน Spider-Man Trilogy ช่วงยุค2000ต้นๆนี่เอง เพียงแต่บทนี้ เฮียแกมาโหดแบบ โค ตะ ระ โหด
ประโยคที่บอกไว้ตอนต้นว่า...
"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
ไม่มีใครกล่าวหรอก อีนี่แหละพูดเอง พูดออกมาเลยแหละหลังจากเดินออกมาจากโรง ขำอีกต่างหาก (จนคนที่เดินสวนมา มองเหมือนอีนี่บ้าหรือเปล่า)
หลังจากเสียความบริสุทธิ์จากการดูหนังเพื่อความบันเทิงไป
เพราะ 1.โตขึ้น และ 2.เพราะเรียนฟิล์มนี่แหละทำให้อะไรๆมันต่างออกไป
การดูหนังก็ไม่สนุกแบบลืมโลกอีกเลย (ยกเว้นหนังอนิเมชั่น)
แต่เรื่องนี้เป็นหนังดราม่าเรื่องแรกที่ ดูแล้วไม่เครียด จริงอยู่ที่มันกดดัน แต่มันไม่เครียดเลยจริงๆ ถ้าเดินออกจากโรงแล้วยังขำได้ขนาดนั้นก็แปลว่าหนังไม่ได้ทำให้เราเศร้าเลย หลังจากที่สมองแม่ง(ขออภัย) มีแต่เรื่องบ้าบอเต็มไปหมด มันลืมมมมมม ทุกสิ่งทุกอย่าง จนเผลอยิ้มโง่ๆออกมา
อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่ดูหนังเพื่อความบันเทิงอยู่ดี (เอ๊ะยังไง)
ถ้าคุณชอบหนังตลาด แน่นอนว่าดูเรื่องนี้คุณไม่ชอบแน่ๆ บางทีอาจถึงขั้นไม่เข้าใจ และหมดความสนุกไปดื้อๆ ดีไม่ดีแค่เห็นหน้าหนังก็อาจถอยหนีไปดู Gone Girl หรือ Interstellar โรงข้างๆแล้ว
แต่ถ้าคุณเบื่อหนังข้างต้น ก็หันมาดู Whiplash เหอะ ไม่ต้องคิดเยอะ
แค่นั่งดูเด็กอายุ19พยายามทำตามความฝัน อย่างไม่ลดละ ไม่ว่าครูอารมณ์ร้อนตรงหน้ามันจะโหดสลัดปลาทูน่าขนาดไหนก็ตาม
ที่สำคัญ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับจังหวะกลองที่เร้าอารมณ์คุณอยู่นั่นแหละ แค่นั้นความสนุกก็บังเกิดจากหนังดราม่าที่คุณๆทั้งหลายมองข้ามได้แล้ว
พูดไปอาจหาว่าเกินจริง แต่หนังมันดีจริงๆนะคะยู
สิ่งที่ประทับใจที่สุดในวันนี้ คือ ตอนจบของทั้งในหนังและคนดูในโรง
ในหนัง: ไฟเวทีดับ เสียงกลองจบตึ้ง!ดังสนั่น แบล็กดำ เครดิตขึ้น
ในโรงหนัง: ไฟเปิด เสียงปรบมือดังแปะๆ รอยยิ้มแบบอึ้งๆจากเด็กที่ลุกขึ้นแถวหน้าเรา
มีคนอยู่ดูเครดิตมากกว่าครึ่งของจำนวนคนที่เข้ามาดู
และได้ยินน้องนักศึกษาคนนึงพูดว่า
"กูเหนื่อยมากมึง พอเถอะ เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบ หายใจไม่ทัน"
ให้ 100เต็ม10 เลย!!! (ห๊ะ...แกเพ้อละจี ไปนอนไป๊)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น