วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: The Salvation (2014)

**คำเตือน: สปอย100% สำหรับคนที่สนใจจะดู กรุณาข้ามไป**
The Salvation (2014)
Directed by Kristian Levring
Cast: Mads Mikkelsen, Eva Green and Jeffrey Dean Morgan

Jon ชายสัญชาติเดนมาร์กเดินทางมาตั้งรกรากใหม่ในอเมริกา เขารอคอยการมาถึงของลูกเมียเป็นเวลากว่า7ปี แต่เมื่อได้พบหน้ากันไม่กี่ชั่วโมง เรื่องร้ายก็วิ่งเข้าหาเขาเสียก่อน ชายแปลกหน้าสองคนขู่และถีบเขาลงจากรถ ฆ่าลูกชายของเขาก่อนจะโยนลงข้างทาง ข่มขืนเมียของเขาและฆ่าเธอทิ้ง ความโกรธทำให้Jonฆ่าชายแปลกหน้าอย่างไม่ลังเล
โชคร้ายที่หนึ่งในชายแปลกหน้าสองคนนั้น เป็นน้องชายของ Delarue ผู้ทรงอิทธิพลและมาเฟียตัวร้ายที่ปกครองเมืองที่Jonเข้ามาค้าขาย Delaure ฆ่าคนในเมืองสามคน เพื่อทดแทนสองชีวิตของเขาที่ตายไป สร้างความโกรธแค้นและบังคับให้ทุกคนช่วยหาตัวฆาตกรมาให้ได้ และแน่นอนว่า Jon ถูกจับทันทีที่เข้าเมือง
เมื่อสามารถหนีออกมาได้ Jon ก็วางแผนกลับไปล้างแค้นทันที
ไม่มีทางอื่นนอกจากฆ่าล้างแก๊งส์ เพื่อความสงบสุขของชาวเมืองและตัวเขาเอง

คือ... คือ... คือ...
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
เป็นหนังคาวบอยที่ชอบมาก แนวหนังคาวบอยอเมริกัน แต่รสชาติและสัมผัสมันช่างยุโรปเสียไม่มี
แน่ละ นี่มันหนังเดนมาร์ก!
สร้างโดยเดนมาร์ก กำกับโดยเดนมาร์ก นำแสดงยังเดนมาร์กอีก! แต่ผู้ร้ายเป็นอเมริกันซะงั้น
(อุ๊บส์...ฮ่าาา)
เสียดายที่ไม่เข้าไทย (หรือเข้าไปแล้วว่ะ?)

พลอตเรื่องคือ เรียบ ง่าย มาก ประมาณว่า...
พระเอก: มึงฆ่าลูกเมียกู กูฆ่าน้องมึงคืน กูยอมตายก็ได้ อ๊ะมึงฆ่าน้องกูอีก! พอกันที ตายแม่งให้หมด
ผู้ร้าย: มึงฆ่าน้องกู กูจะทรมานและฆ่ามึงงง
แล้วก็เกิดสงครามย่อยๆระหว่าง ฆาตกรจำเป็น กับมาเฟียบ่อน้ำมัน

เดินเรื่องสนุกมาก แม้จะเงียบ เครียด และทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง แต่สนุกโคตรๆ (โรคจิตหรือเปล่าฉัน)
แต่ความเรียบง่าย เงียบๆ แสนเครียด ที่ดูมา 1ชั่วโมงเต็ม
ก็ได้รับการปลอบใจเป็นฉากยิงปืนที่ลุ้นและบีบคั้นสุดๆ แต่คือมันส์มาก บทสรุปคือสะใจสุดๆ
เรื่องงานภาพไม่ได้สวยยยอะไรขนาดนั้น แต่ฉากยิงปืนฉากฆ่าแต่ละฉากเนี่ย มันมีความสวยของมันอยู่นะ อาจจะเพราะอารมณ์สะใจที่ได้เห็นคนเลวถูกฆ่าแบบจังๆ แหม ก็ช่างล้อให้อารมณ์พุ่งเนอะ

ที่พีคสุดๆคือการแสดงของ Mads Mikkelsen กับ Eva Green
ปกติก็เป็นติ่ง Mikkelsen อยู่แล้วแหละ ตามทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้พีคมาก เล่นบทคนดีจิตใจงาม ที่บ่นจะโหดก็ไร้แววตาของความเป็นมนุษย์ทันที ยิงไม่เลี้ยง เพื่อนร่วมสู้ตายก็มองเฉยๆแล้วก็แสดงสีหน้าแบบว่า...
"กูเตือนมึงแล้วนะว่าอย่ามา"

ส่วน Eva Green เล่นเป็นตัวประกอบก็จริง แต่เด่นมิใช่น้อย นางรับบทเป็นเมียของน้อง Delarue ที่พอสามีตาย ก็กลายเป็นผู้หญิงของพี่สามี แถมยังโดนสามีตัดลิ้นอีก นางไม่ได้พูดอะไรเลยทั้งเรื่อง แต่สีหน้าท่าทางคือเด็ดสุด จะบอกว่าเป็นตุ๊กตาเดินได้ก็ใช้ ตุ๊กตาที่เมื่อสบโอกาสก็จะวิ่งหนีและหยิบปืนมายิงคนที่ทำร้ายเธอได้ในพริบตา

ส่วนพี่หมี Jeffrey Dean Morgan ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ คือแสดงได้ร้ายจริงโหดจริง แต่คือเทียบ Mikkelsen เวลาแสดงบทร้ายไม่ติดเลยน่ะ บท Delarue ของพี่หมีรอบนี้ เหมือนย้อนกลับไปเป็นฮีโร่กากๆใน Watchmen เลย รู้สึกดีตรงบทสรุปของ Delarue เท่านั้นแหละ สมควรจะตายแบบนั้นจริงๆ

อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ปลื้มเลยกับหนังเรื่องนี้คือ

ผู้หญิง กลายเป็นสิ่งของสุดๆ!
- เมียของ Jon ที่เดินทางมาจากเดนมาร์ก ถูกปฏิบัติราวกับผู้หญิงหากิน ทั้งที่สามีและลูกนางนั่งอยู่ข้างๆ
แค่เอาปืนขู่ก็ได้นางไปครอง จะบู้ยี่บู้ยำยังไงก็ได้ พอใจก็ฆ่าทิ้ง
- ชาวเมืองผู้หญิงคนนึง นั่งรถม้าก่อนที่ครอบครัวพระเอกจะเข้าไป แต่แล้วนางก็โดนไล่ออกจากรถไปเพราะชายแปลกหน้า(ที่จะสร้างความชิหายให้กับพระเอก) ต้องการขึ้นรถ และเพราะนางนี่แหละที่วิ่งไปฟ้องนายอำเภอให้จับพระเอก
- หญิงแก่ ร้านขายปืน คือหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆ่าเพื่อชดเชยชีวิตของแก๊งส์มาเฟียที่เสียไป
- และท้ายที่สุดคือบทของ Eva Green สามีนางตาย นางก็ไปเป็นคู่นอนของพี่ชายสามี พอทำตัวแย่ลักเงินเขาแล้วพยายามหนี ก็ถูกส่งให้มือขวาของ Delarue ไปใช้บริการต่อ คือ...ถ้านางไม่ได้เดินได้ คือนางไม่ใช่คนแล้วแหละ พูดไม่ได้อีกเพราะโดนตัดลิ้น ยังดีที่มีโอกาสถือปืนก็เอามายิงตัวการที่ทำให้ชีวิตนางเฮงซวยได้ขนาดนี้ ...ก็ยังดีว่ะ (ไม่แปลกใจเลยตอนฝังศพสามี ทำไมนางเศร้าและร้องไห้ ไม่ได้เสียใจหรือดีใจที่สามีตาย นางกำลังรู้สึกแย่จนแสดงสีหน้าไม่ออกที่ชะตาชีวิตกำลังจะย้ำแย่กว่าเดิม)

ก็เข้าใจได้สำหรับยุคสมัยแบบนั้น โดยสวนตัวไม่ใช่เฟมินิสหรอกนะ แต่คือดูแล้วมัน...
อึกอัก หายใจไม่ทั่วท้องจีๆ

เข้าใจว่าเรื่องมันต้องจบแบบแฮปปี้หน่อยๆ แม้จะผ่านเรื่องบัดซบมาขนาดไหนก็เถอะ แต่ท้ายที่สุดแล้ว...
Eva Green ก็ตกเป็นของ พระเอก อยู่ ดี...
คงจะเป็นไปไม่ได้ที่นางจะหอบผ้าหอบเงินแล้วหนีไปใช้ชีวิตที่อื่น
เพราะดินแดนแห่งนี้แม่งป่าเถื่อน...
ใช้ชีวิตลำพังยังโดนปล้น(จากเรื่องอื่น) ลูกเมียมาหาก็โดนฆ่า เป็นพลเมืองอยู่ดีๆก็ถูกฆ่า

แม้จะบ่นมาขนาดนี้
แม้จะไม่ปลื้มประเด็นบางอย่าง
แต่ก็...10/10 ไปเลย!!! << ความชอบชนะทุกสิ่ง (ตัดสินจากโมเม้นที่ดูหนังจบ คือปริ่มเปรมมาก)

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: Tammy (2014)

Tammy (2014)
Directed by Ben Falcone
Cast: Melissa McCarthy, Susan Sarandon, Kathy Bates, Allison Janney, Dan Aykroyd, Mark Duplass, Gary Cole, Nat Faxon, Toni Collette, Sandra Oh and Ben Falcone

หลังจากโดนไล่ออกและสามีนอกใจ แทมมี่ก็เริ่มวิ่งหนีปัญหาอย่างที่เธอน่าจะทำมาทั้งชีวิต(จากที่แม่และยายมันพูดเสมอช่วง20นาทีแรก) แต่การวิ่งหนีปัญหาหนนี้เธอมีเพื่อนร่วมทางเป็นยายของเธอ การผจญภัยของยายหลานสุดแสบสองคนจึงเริ่มขึ้น

หนังตลกที่หน้าหนังดูจะเห่ยๆ เหมือนหนังตลกที่ตัวละครโคตรจะขี้แพ้โดยทั่วไป สิ่งเดียวที่น่าสนใจและดึงดูดให้อยากดู พูดเลยว่าเพราะกลุ่มดาราตลกฝูงใหญ่ที่ร่วมแสดงในเรื่องนี่แหละ
...ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกมั้งที่ตลก เพราะสี่สาวอย่าง Allison Janney, Kathy Bates, Sandra Oh กับ Toni Collette ปกติไม่พบเห็นพวกเธอเล่นตลกโปกฮาอะไรหรอก ซึ่ง Tammy ก็ไม่ใช่หนังตลกประเภทนั้น

ใช่แล้ว Tammy เป็นหนังตลกครอบครัวที่ดูแล้วอมยิ้มมากกว่าขำขันกับพฤติกรรมโง่ๆของตัวละคร ...โอเคมันมีจังหวะขำเพราะพฤติกรรมโง่นั่นอยู่บ้าง โดยเฉพาะความโง่ของแทมมี่ในหลายๆเรื่อง

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองข้ามความโง่ในบางจังหวะของแทมมี่ไป หนังเรื่องนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ออกแนวโรดทริปของกลุ่มสาวๆ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายนิดๆเสียด้วยซ้ำ
ดูแล้วนึกถึง Susan Sarandon ในเรื่อง Thelma & Louise (1991) ที่เป็นอารมณ์ประมาณว่า นางไม่ตาย แต่แก่จนใกล้จะลงโลงและมีหลานที่นิสัยไม่ต่างกับนางเลย (อ้าว เผลอสปอย Thelma&Louise ท่ดๆ) << จงอ่านข้ามชื่อหนังเรื่องนี้ไปซะก็ได้ ฮ่าๆๆ

Susan เรื่องนี้น่าทึ่งมาก นางแก่แบบ...โคตรแก่ อย่างกับยัยเพิ้งขี้เมาผมไม่เคยเจอหวี แต่เสน่ห์นางยังแรงอยู่เลย! ไม่ใช่แค่ฉากอ่อยผู้ชาย แต่ทุกฉากทุกการเคลื่อนไหวเลยทีเดียว

พูดถึง Melissa McCarthy ซะหน่อย นอกจากเป็นนางเอกแล้วนางเขียนบทด้วยนะ ร่วมกับสามีนางนั่นแหละ (Ben Falcone...อ้าว ชื่อผู้กำกับหนิ! อุ๊ตะ หนังครอบครัวจริงๆ)
ปกติแล้วไม่เคยชอบนางแสดงเรื่องไหนเลย แม้กระทั่ง The Heat (2013) ที่แสดงกับ เจ๊แสงดาวบุญล้อม เอ้ย Sandra Bullock แต่เรื่องนี้บทนาง...จะบอกว่าน่ารักก็ไม่ได้ แต่เอาเป็นว่ามันทำให้อมยิ้มมากกว่ารำคาญแหละ การกระทำบางครั้งงี่เง่าก็จริง แต่ก็ทำด้วยใจจริง พูดง่ายๆคือเธอยังดูเป็นเด็กน้อยที่ทุกคนต้องคอยดูแลอยู่เลย สิ่งเดียวที่เธอไม่พึ่งพาคนอื่นคือการปล้นร้านฟาสฟู๊ด

การปล้นคือภารกิจสิ้นคิดของคนไม่มีเงิน และเป็นสิ่งเดียวที่ตัวละครประเภทแทมมี่จะคิดออกและทำไปแบบง่อยๆ เป็นการกระทำสิ้นคิด แต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้สำเร็จแบบไม่ต้องพึ่งพาใคร แม้จะผิดแต่ก็สร้างความภูมิใจให้คนรอบข้างเธอไม่น้อย เพราะสิ่งที่เธอตัดสินใจทำนั่นแหละสำคัญ (ไม่ได้บอกว่าการปล้นเพื่อช่วยยายเป็นเรื่องดีควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่นะ ไม่ใช่)
ที่ดีคือ ทำผิด คืนเงินแล้ว แต่ความผิดก็คือความผิด ยังไงเธอก็ต้องรับโทษ

และการเข้าคุกก็ทำให้เธอดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง เดาว่าเพราะเธอเจอสภาพสังคมอื่น นอกจากสิ่งที่อยู่รายล้อมรอบตัวตอนก่อนจะเริ่มออกเดินทางโรดทริปกับยายของนาง

โดยรวมแล้ว คอนเซปเรื่องก็เหมือนหนังทั่วไป เจอปัญหา ผจญภัย ระหว่างทางสิ่งที่เจอก็ทำให้ตัวละครเปลี่ยน จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ฮู๊เร่
ภาพสวยแบบหนังฟิลกู๊ด มุกตลกไม่สกปรก น่ารักมุ้งมิ้งตามสไตล์ผู้หญิงๆ

สิ่งเดียวที่ดูเซอร์เรียลเกินไปหน่อยคือ สามีของแทมมี่และชู้มันดู...เหมือนตัวละครที่งอกออกมาจากจินตนาการของแทมมี่ มากกว่าจะเป็นมนุษย์จริงๆ

สรุป 8/10 เลยนะ
ให้เยอะขนาดนี้เพราะมันทำให้คลายเครียดได้ดีทีเดียว ดูง่ายๆไม่คิดมาก
ที่สำคัญ สำหรับหนังแนวเดียวกัน เรื่องนี้จัดว่าดี
เสียดายมาแป๊บๆแล้วไป คะแนนวิจารณ์ก็ไม่ดี แย่จัง

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Doctor Sleep /ลางนรก

อยากเปิดช่วงใหม่ "อ่านแล้วบ่น"
แต่ปัญหาคือ ไม่ได้อ่านเสร็จอย่างรวดเร็วทุกเล่มเพื่อที่จะมาบ่นบ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่เปิด (เอ้า =..=)

Doctor Sleep / ลางนรก
Stephen King เขียน
โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล แปล

เรื่องราวของ แดน ทอร์แรนซ์ หลังจากรอดชีวิตจากโรงแรมโอเวอร์ลุคเมื่อตอนเขา5ขวบ ปัจจุบันเขาโตเป็นผู้ใหญ่ขี้เหล้า ที่แม้จะมอมมายตัวเองขนาดไหน ความสามารถในการ "ส่องแสง" ของเขาก็ไม่เคยหายไป

แอบรา สโตน เด็กน้อยผู้ที่สามารถ "ส่องแสง" โดดเด่นยิ่งกว่าใคร ถ้าเปรียบความสามารถของคนอื่นเป็นน้ำแข็งหนึ่งถัง ของเธอก็เป็นภูเขาน้ำแข็งลูกยักษ์

โรสหมวกดำ สาวสวยชวนพิศวง ผู้ใช้ชีวิตอยู่มานานแสนนาน  กาลเวลาทำอะไรเธอไม่ได้ เธอรักเด็กตัวน้อยๆผู้ส่องแสงได้เป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอได้สัมผัสถึงพลังของ แอบรา สโตน...

ไม่อยากเล่าเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้เลยจริงๆ เพราะมันเล่าลำบาก อย่างที่เขียนไปก็ย่อๆมาจากปกหลังของหนังสืออีกที

ต้องบอกนิดนึงว่าส่วนตัวแล้ว Stephen King เป็นนักเขียนในดวงใจ ที่เราไม่เคย "อ่าน" เรื่องของเขาจริงๆจังๆเลย แต่กลับชอบ "ดู" หนังที่สร้างจากผลงานของเขาทั้งหลาย
อย่างเรื่อง Carrie(1976), Christine(1983), Children of the Corn(1984), Firestarter(1984), Pet Sematary(1989), Sleepwalkers(1992), Dreamcatcher(2003), 1408(2007), The Mist(2007)
ที่กล่าวมาคือหนังจากนิยายของKing ที่ดูแล้วชอบมากน่ะนะ

กล้าพูดว่าเสียดายมากที่ไม่ได้อ่าน เป็นแฟนคลับที่ห่วยแตกเฮงซวยอันดับหนึ่งเลยมั้งเนี่ย

แต่ก็เพราะความโง่และไม่แสวงหาสิ่งดีๆในชีวิตของตัวเองด้วยแหละ เอาแต่อ่านนิยายประโลมโลก แฟนตาซี รักหวานแหวว แวมไพร์ บรา บรา บรา แอนด์ บรา ที่ไม่มีของดีๆอยู่เลยสักอย่าง
...ถ้างั้นฉันไปเดินงานหนังสือเมื่อเดือนตุลาที่ผ่านมาเพื่ออะไร?

คำตอบก็คือ เพื่อมองหาของดีๆ(ลดราคา)แบบนี้ไงละ!!! เป็นปีแรกที่ไปเดินแบบไม่ตั้งเป้าอะไรเลย

เห็น สนใจ ซื้อ(ไม่คิด)
...แย่จริง กระเป๋าเงินเกือบแบน ถุงผ้าอย่างหนัก หลังเกือบหักตอนถึงบ้าน

ถึงอย่างนั้นก็ได้หอบ Doctor Sleep กลับบ้านมาด้วย ตื่นเต้นระดับแม็กซ์เลยทีเดียว (จำได้ตอนที่เห็นมันตั้งอยู่หน้าบูธอมรินทร์ คือพุ่งตัวเข้าไปหยิบ ส่งให้พนักงาน จ่ายเงิน และเดินออกมาแบบ...หื้อ นี่กูจ่ายตังค์ซื้อไปแล้วหรอเนี่ย...)
และในเมื่อเป็นของที่ได้มาแบบตาลุกวาว ก็เก็บไว้อ่านเป็นเล่มสุดท้ายของกองหนังสือทั้งหมด
ซึ่งอ่านจบไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง

Doctor Sleep เป็นภาคต่อของ The Shining ซึ่งเป็นเรื่องราวอีกประมาณ 20ปีต่อมาของหนูน้อยแดนนี่ เด็กน้อยผู้ปั่นจักรยานสามล้อไปทั่วโรงแรมโอเวอร์ลุคนั่นแหละ
ตอนแรกพอรู้ว่าเป็นภาคต่อ สมองก็นึกถึงหน้า Jack Nicholson ที่รับบทเป็น แจ็ก ทอร์แรนซ์ ผู้ถือขวานไล่ล่าเมียและลูกไปทั่วโรงแรม พังประตูเป็นช่องแล้วโผล่หน้าเข้าไป "Heeere's JOHNNY!!!"

ใช่แล้ว "The Shining" ฉบับหนังเมื่อปี 1980 โดยฝีมือกำกับของ Stanley Kubrick(จาก A Clockwork Orange และ 2001: A Space Odyssey นั่นเอง)

ตอนแรกว่าจะรื้อหนังมาดูใหม่ก่อนจะอ่านเล่มนี้อยู่เหมือนกัน แต่ปรากฎไปเจอบทความ(ซึ่งจริงๆก็มีเขียนบอกหลังจบเล่มแหละแต่ไม่ได้เปิดดูไง รู้อีกทีก็ตอนอ่านจบ)
ที่กล่าวถึงประมาณว่า The Shining เป็นหนังเรื่องเดียวจากหนังสือของKing ที่พี่แกไม่ชอบที่สุด

"ถ้าคุณดูหนัง แต่ไม่ได้อ่านนิยาย โปรดระลึกไว้ว่า Doctor Sleep เป็นภาคต่อของอย่างหลัง ซึ่งในความเห็นของผม นั่นคือประวัติครอบครัวทอร์แรนซ์ที่เที่ยงตรงต่อความเป็นจริง" - จากบันทึกผู้เขียน หลังเล่ม

ด้วยเหตุนี้ ความคิดที่จะรื้อหนังมาดูจึงล้มเลิกไป แล้วเปิดหน้าแรกอ่านในทันใด
ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่รู้เรื่อง ในเล่มท้าวความถึงภาคก่อนไว้ได้ดีแบบพอเข้าใจ(ถ้าไม่รู้เรื่องTheShiningเลยน่ะนะ) ถ้าดูหนังก็จะเข้าใจขึ้นนิดนึง แต่เชื่อว่าถ้าได้อ่านหนังสือมันจะเป็นโมเม้นที่สุดยอดมาก ที่ได้ติดตามเรื่องราวชีวิตของทอร์แลนซ์แฟมิลี่ในเวลาต่อมาแบบนี้

ถ้าใครขยัน และชอบอย่างจริงจัง แนะนำให้หา The Shining ฉบับหนังสือมาอ่าน แบบแปลไทยน่าจะหาไม่ได้แล้ว คงต้องฝึกภาษาอังกฤษฝีมือเฮียKing กันเสียหน่อยแหละนะ

สำหรับ Doctor Sleep ชอบมากในระดับขึ้นหิ้งเลย (อยู่ข้างๆฟิฟตี้เชดและดาร์คซีรี่ส์)
เรื่องดำเนินแบบเรื่อยๆ อ่านเพลินๆ วางไม่ลง สนุกสุดๆ ที่สำคัญคือไม่ได้น่ากลัวและโหดร้ายอย่างที่หลายคนแค่เห็นชื่อนักเขียนก็กลัวแล้ว ไม่เลย เรื่องนี้อย่างกับกำลังดูหนังแนวแอคชั่นไซไฟ ที่ไม่โหดขนาด Sleepwalkers แต่ก็ไม่พลังจิตจนชวนสยองอย่าง Carrie ไม่รนทดอย่าง Firestarter

คือมันลงตัวแบบสุดๆ อ่านจบแล้วยิ้มออกมากว้างๆเลย

ดูแล้วบ่น: Whiplash (2014)

"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ดูหนังมา...


Whiplash (2014)
Directed By Damien Chazelle
Cast: Miles Teller and J.K. Simmons
เรื่องราวของ แอนดรูว์ มือกลองดนตรีวัย 19 ปี ที่ต้องการเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่ตนชอบ แรงกดดันจากครอบครัวและความคลั่งไคล้ทำให้เขามุ่งมั่นที่จะชนะใจครู "โคตร" โหด และฝึกซ้อมจนเลือดอาบ ไม้กลองหัก

พูดได้คำเดียวว่า "มันส์!" จริงๆ เร้าใจทุกซีน กระชากลมหายใจทุกจังหวะ
สิ่งเดียวที่ทุกคนรอบตัวที่ดูหนังเรื่องนี้พูดเหมือนกันก็คือ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์" มันจริงอย่างที่ว่านั่นแหละ ใจเต้นรัวเร็วจนเหนื่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเองก็ตอนที่หนังมันให้เราพักนี่แหละ

ดราม่าจัดหนัก มันหนักหนาสาหัสจริงๆ ถึงขั้นทำเอาผู้ชมเผลอแสดงอากัปกิริยาแสนจะธรรมชาติออกมาแบบไม่รู้ตัวกันง่ายๆเลย
จากที่สังเกต ตอนฉากกระชากอากาศออกจากปอดคนดู...
ด้านขวา: ตาค้าง ยกมือปิดปาก เหมือนจะลืมหายใจ กุมขมับ แล้ววางมือกลับลงไปที่เดิม
ด้านซ้าย: ทำของในมือตก(ไม่เห็นว่าคืออะไร) แล้วไม่เก็บขึ้นมาเสียทีจนกระทั้งพ้นฉากนั้นไปแล้ว
เราเองก็มีปฏิกิริยานะ อ้าปากค้าง หยุดหายใจไปดื้อๆ รู้ตัวอีกทีตอนฉากนั้นมันผ่านไปนั่นแหละ(แล้วก็หันมองซ้ายขวา เห็นภาพอย่างที่เล่าไป)

คงต้องยกความดีให้กับ งานภาพและเสียงที่ "งาม" มาก
คือภาพมันไม่ได้สวย แต่! แต่ละช็อตมันเข้ากับอารมณ์สุดๆ ยิ่งเสียงกลองทั้งเรื่องนี่...อือหื้อออออ
สองอย่างนี้แหละน่าจะเป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้ "หัวใจเต้นรัวเป็นกลองสแนร์"
นี่แค่ภาพกับเสียงนะ ลองบวกบทพูดและการแสดงของนักแสดงหลักสองคนอย่าง Miles Teller กับ J.K. Simmons เข้าไปสิ โอ๊ยยยยยยยยยยย ปอดหยุดทำงาน ขาดอ๊อกซิเจนไปเสี้ยววินาที

อย่างพ่อหนุ่มน้อยแอนดรูว์ที่แสดงโดย Miles Teller เนี่ย บอกตรงๆว่าจำแทบไม่ได้ นึกออกอีกทีตอนทำหน้าหยิ่งผยองแวบนึง...อ๋อ! อีตากวนประสาทจาก Divergent นี่เอง หื้มมมม เจ๋งๆ
ส่วนลุง J.K. Simmons ก็จำภาพแกติดตาจาก บก.ขี้โวยวายใน Spider-Man Trilogy ช่วงยุค2000ต้นๆนี่เอง เพียงแต่บทนี้ เฮียแกมาโหดแบบ โค ตะ ระ โหด

ประโยคที่บอกไว้ตอนต้นว่า...
"เมื่อความคิดในหัวมีมากเกินไป การดูหนังก็ช่วยให้สมองโล่งขึ้นอย่างน่าประหลาด"
ไม่มีใครกล่าวหรอก อีนี่แหละพูดเอง พูดออกมาเลยแหละหลังจากเดินออกมาจากโรง ขำอีกต่างหาก (จนคนที่เดินสวนมา มองเหมือนอีนี่บ้าหรือเปล่า)

หลังจากเสียความบริสุทธิ์จากการดูหนังเพื่อความบันเทิงไป
เพราะ 1.โตขึ้น และ 2.เพราะเรียนฟิล์มนี่แหละทำให้อะไรๆมันต่างออกไป
การดูหนังก็ไม่สนุกแบบลืมโลกอีกเลย (ยกเว้นหนังอนิเมชั่น)
แต่เรื่องนี้เป็นหนังดราม่าเรื่องแรกที่ ดูแล้วไม่เครียด จริงอยู่ที่มันกดดัน แต่มันไม่เครียดเลยจริงๆ ถ้าเดินออกจากโรงแล้วยังขำได้ขนาดนั้นก็แปลว่าหนังไม่ได้ทำให้เราเศร้าเลย หลังจากที่สมองแม่ง(ขออภัย) มีแต่เรื่องบ้าบอเต็มไปหมด มันลืมมมมมม ทุกสิ่งทุกอย่าง จนเผลอยิ้มโง่ๆออกมา

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ก็ไม่เหมาะกับคนส่วนใหญ่ที่ดูหนังเพื่อความบันเทิงอยู่ดี (เอ๊ะยังไง)
ถ้าคุณชอบหนังตลาด แน่นอนว่าดูเรื่องนี้คุณไม่ชอบแน่ๆ บางทีอาจถึงขั้นไม่เข้าใจ และหมดความสนุกไปดื้อๆ ดีไม่ดีแค่เห็นหน้าหนังก็อาจถอยหนีไปดู Gone Girl หรือ Interstellar โรงข้างๆแล้ว

แต่ถ้าคุณเบื่อหนังข้างต้น ก็หันมาดู Whiplash เหอะ ไม่ต้องคิดเยอะ
แค่นั่งดูเด็กอายุ19พยายามทำตามความฝัน อย่างไม่ลดละ ไม่ว่าครูอารมณ์ร้อนตรงหน้ามันจะโหดสลัดปลาทูน่าขนาดไหนก็ตาม
ที่สำคัญ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับจังหวะกลองที่เร้าอารมณ์คุณอยู่นั่นแหละ แค่นั้นความสนุกก็บังเกิดจากหนังดราม่าที่คุณๆทั้งหลายมองข้ามได้แล้ว

พูดไปอาจหาว่าเกินจริง แต่หนังมันดีจริงๆนะคะยู

สิ่งที่ประทับใจที่สุดในวันนี้ คือ ตอนจบของทั้งในหนังและคนดูในโรง
ในหนัง: ไฟเวทีดับ เสียงกลองจบตึ้ง!ดังสนั่น แบล็กดำ เครดิตขึ้น
ในโรงหนัง: ไฟเปิด เสียงปรบมือดังแปะๆ รอยยิ้มแบบอึ้งๆจากเด็กที่ลุกขึ้นแถวหน้าเรา
มีคนอยู่ดูเครดิตมากกว่าครึ่งของจำนวนคนที่เข้ามาดู

และได้ยินน้องนักศึกษาคนนึงพูดว่า
"กูเหนื่อยมากมึง พอเถอะ เดินช้าๆ ไม่ต้องรีบ หายใจไม่ทัน"

ให้ 100เต็ม10 เลย!!! (ห๊ะ...แกเพ้อละจี ไปนอนไป๊)


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แฉตัวเอง ตอน UpInTheAirจนอ้วก?

ปกติแล้ว เวลาดูหนังเรื่องใดก็ตาม จะจำไม่ค่อยได้ว่าดูในโรงเมื่อไหร่ กับใคร ที่ไหน หรือแม้แต่ความรู้สึกที่นั่งอยู่ในโรงหนังมืดๆก็จะจำไม่ได้

จะมีแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่จำได้ อย่างเช่น ตอนดู The Avergers รอบที่4 ในโรง 4D ที่พารากอน จำได้แม่นมากว่าปวดฉี่ขั้นสุด แต่ไม่อยากออกจากโรงเพราะไม่อยากพลาดตอนใดไป ปัญหาคือ เก้าอี้ที่ขยับไปมาได้ ลมเย็นที่พัดแรงทุกทีที่หนังมันตื่นเต้นหรือฉากฐานทัพบนฟ้ากำลังล่มสลาย ที่สำคัญไอ้ลมที่เป่าข้างหูทำให้ตกใจเวลาฮอว์คอายยิงธนูก็ยิ่งทำให้ปวดฉี่ สุดท้ายแล้วก็ดูหนังไม่สนุกแม้จะเป็นโรง 4D เพราะอาการปวดฉี่นี่แหละ

นั้นเป็นแค่ตัวอย่างโง่ๆที่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำก่อนดูหนัง
(ดันซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นอีกด้วยนะ ฝืนกินเพราะเสียดาย โง่จริงๆ)

แต่ที่จะมาเล่าวันนี้มันเป็นประสบการณ์แสนหรรษา ที่ไม่หรรษาเลยหลังจากดูหนังจบ

เรื่องเกิดขึ้นตอนอยู่ ม.6 กลับจากค่ายสุดท้ายในชีวิตนักเรียนกระโปรงสุ่ม มันเป็นเวลาบ่ายโมงซึ่งผู้คนยังนั่งทำงานตากแอร์กันอยู่ในออฟฟิศ นั่นรวมถึงแม่ฉันด้วย พ่อเลยชวนไปดูหนังระหว่างรอ และหนังผู้โชคดีที่กลายเป็นตัวฆ่าเวลาก็คือ Up in the Air (2009) ของ คู่พ่อลูก Reitman (พ่อสร้าง ลูกกำกับ)
จริงๆมันไม่ได้บังเอิญหรอก ก็ดูๆไว้อยู่แล้วว่าหนังมันน่าสนใจ แค่หาจังหวะเวลาในการดูให้ดีเท่านั้นเอง

ตอนนั้นยังเป็นเด็กโข่งใช้เงินไม่บันยะบันยัง ซื้อชาเขียวปั้นร้านกาแฟชื่อดังแพงหูฉีกเข้าไปกินในโรงหนัง (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นลิโด้ ไม่ก็โรงหนังสยามก่อนที่ไฟไหม้)

ขอบอกก่อนว่า Up in the Air เป็นหนังในดวงใจ ที่ชอบ และสนุกทุกครั้งเวลาที่ดู(บางคนอาจไม่เห็นว่ามันสนุก) แต่ถึงอย่างนั้น วันที่ได้ดูในโรงพร้อมชาเขียวแสนแพง กลับไม่มีความสนุกเลยสักนิด

จู่ๆท้องไส้ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ด้วยความที่นั่งอยู่ในโรงหนัง มีเสื้อกันหนาวหนาๆสร้างความอุ่นสบาย ชาเขียวแสนอร่อย เลยไม่คิดว่ามันร้ายแรง คงแค่หิว(ยังไม่ได้กินข้าว) ระหว่างนั้น George Clooney, Vera Farmiga และ Anna Kendrick ก็กำลังทำตัวเนียนเข้าไปเที่ยวในปาร์ตี้ของคนอื่น

ทุกครั้งที่มีเสียงเครื่องบินในหนัง ผีเสื้อในท้องก็กระพือปีกกันอย่างสนุกสนาน แต่แรงกระพือมันเหมือนปีกถูกติดกาว บินไม่ขึ้น ชนผนังท้องไส้อยู่นั่นแหละ ถึงอย่างนั้นก็ไม่รู้สึกว่ามันร้ายแรง เพราะอยู่ในท่านั่ง

แต่มันก็ทำให้ดูหนังไม่สนุกอยู่ดี...

เมื่อพระเอกยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางสนามบิน เครดิตจบขึ้น ไฟโรงหนังสว่าง ผู้ชมที่มีอยู่น้อยนิดก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างงัวเงีย บางคนเหมือนหลับ บางคนเหมือนดีใจที่หนังจบ พ่อลูกคู่นี้เป็นหนึ่งในพวกงัวเงีย จำไม่ได้ว่าพ่อหลับมั้ย แต่อีนี่นั่งหน้าบูดเป็นตูดบาบูนอย่างเซ็งจิตสุดขีด หนังสนุกจริง ดาราดี(ชอบตรงนี้) แต่อาการแปลกๆในท้องมันทำให้ประสาทกิน ตอนที่เครดิตฉาย มีเวลาคิดกับตัวเองแวบนึงว่านี่ฉันเป็นอะไร? แต่ก็ไม่สนใจเพราะลุกเดินออกจากโรงซะก่อน

ตอนนัั้นเอง อาการประหลาดทั้งหลายก็รวมตัวกันเป็นก้อน แล้วพุ่งพรวดออกมาจากปากอย่างห้ามไม่ได้ อ้วกสีเขียว(ขออภัยที่บรรยายเห็นภาพเกินไป) พุ่งลงพื้นตรงกำแพงทางเดินข้างโรงหนัง(ขออภัยอีกเช่นกันที่ทำสถานที่เลอะ) อยากหยุดตัวเองแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ออกจากสยาม ไปรับแม่ และไปโรง'บาล

ระหว่างทางก็ยังอ้วกอยู่...

ที่ตลกก็คือ ผู้ชมที่ร่วมชะตากรรมกันในโรงต่างมองอีนี่ด้วยสีหน้าทำนองว่า
"หนังแย่ขนาดนั้นเลย?"
"อีเด็กนี่เป็นอะไร?"
"ชาเขียวบูดหรือเปล่า?"

ไม่มีใครคิดเลยหรอว่าฉันอาจจะไม่สบายหรืออะไร *ร้องไห้น้ำตาเป็นหยดน้ำยักษ์*
จำได้ว่าได้ยินสาวนางนึงที่มากับแฟนหนุ่มพูดว่า "น้องเค้าเมาเครื่องบินหรอเธอ"

เอ่อะ...

เป็นฝันร้ายที่ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ และทุกครั้งทีเห็นชื่อหนังเรื่องนี้ อ้วกสีเขียว ก็จะปรากฎในหัว(อี๋)

คำตอบของอาการบ้านี่คือ: แพ้อาหารอย่างรุนแรง คาดว่าเพราะกินสิ่งผิดสำแดงอย่าง ทาโร่กรอบ+ไอติมกะทิ ตอนกลับจากค่าย มันควรกินแยกกัน อีนี่เอามารวมกัน น่าแปลกใจที่เพื่อนหลายคนก็กินแต่ไม่มีใครเป็น (จำได้ลางๆว่ามีเพื่อนซี้คนนึงก็เป็นนะ)


วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: Stoker (2013)

*คำเตือน: บทความนี้บ่นเรื่อยเปื่อยอย่างหาสาระไม่ค่อยได้ อยากเขียนก็เพลินมือจนบางทีก็ไม่รู้เรื่อง...เอ๊ะ*

Stoker (2013)
Directed by Park Chan-Wook
Cast: Mia Wasikowska, Matthew Goode and Nicole Kidman

เรื่องราวของครอบครัว Stoker ที่เพิ่งจะเสียเสาหลักของบ้านไป India วัย 18 ปี เลยต้องอยู่กับแม่ของเธอเพียงลำพัง (ก็ไม่เชิง คนใช้แทบจะเต็มบ้าน) ในงานศพนั้นเองที่น้องชายพ่ออย่าง Charles ปรากฎตัวมาเพื่อขออยู่ด้วยสักระยะ ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรถ้าน้องชายพ่อจะมาอยู่ด้วย แต่บางอย่างในพฤติกรรมของเขาต่างหากที่ดูน่าฉงน

เรื่องย่อมันมีเท่านี้แหละ จริงๆนะ ฮ่าๆๆ
เนื้อเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่หรอก ถ้าคิดจะดูเพื่อความสนุก บันเทิง รื่นเริงใจละก็
ข้ามเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะ Stoker เป็นหนังเขย่าขวัญ จิตวิทยา ที่ภาพสวยสดงดงามอย่างที่สุด

แค่เปิดเรื่องมาก็เป็นความตายของพ่อนางเอกซะแล้ว อาจจะดูธรรมดาสินะ(หลายๆเรื่องไม่พ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายของตัวเองก็ต้องตายแหละ) แต่การจากไปของพ่อนาง มันดันเป็นการต้อนรับบทเรียนใหม่จากน้องชายพ่อเธอเสียเอง

ที่บอกว่าบทเรียนใหม่ เพราะสาวน้อย India อยู่ในช่วง "รอยต่อระหว่างวัย" อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงนี้ มันจะกลายเป็นส่วนสำคัญในการต่อเติมอนาคตของเธอ พ่ออย่าง Richard สอนลูกเขาทุกอย่างโดยไม่สนว่าลูกเขาจะเป็นผู้หญิงตัวน้อยๆ มองอีกมุมนึง เหมือนเขาพยายามเติมเต็มช่องว่างที่หายไปในวัยรุ่นของเขาเอง ที่น้องชายตัวน้อยต้องตายไปอย่างน่าเศร้า ลูกสาวเขาจึงเป็นเหมือนตัวแทนเสียมากกว่า อย่างไรก็ดี India ก็โตมาเป็นสาวน้อยผู้น่ารักแต่มีนิสัยแปลกประหลาดในด้านการมองโลกที่ไม่เหมือนใคร

อย่างที่บอกว่าพอพ่อตาย น้องพ่อก็มาสานต่อบทเรียนในโลกของผู้ใหญ่ให้เธอ โลกที่ความอยากรู้อยากเห็นในวัยเด็กจะปะทุเป็นพฤติกรรมของแต่ละคน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวน้อยทั้งหลายอยากรู้ในเรื่องแบบไหน จะบอกว่าโชคร้ายหรือดีก็ไม่รู้ ที่ India หมกมุ่นอยู่แต่กับสิ่งที่พ่อเธอสอน ถ้าเธอไม่เจอกับ Charles เป็นไปได้ว่าเธออาจจะโตมาเป็นเด็กสาวธรรมดา แต่มันไม่ใช่น่ะสิ...

Charles เปิดโลกใหม่ให้เธอเห็น นั่นคือ "ด้านมืดของมนุษย์" ที่ดูเหมือนว่า India จะพอใจมันเสียด้วย เธอไม่เห็นว่ามันผิด ไม่เห็นว่ามันไม่ควร กลับกันมันดันกลายเป็นเรื่องน่าเร้าใจ ที่สำคัญคือมันเป็นหนทางแสนง่ายดาย ในการได้ทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ ใครก็ขวางเธอไม่ได้ แล้วยิ่งบวกกับความหลงไหลในการล่าสัตว์ โลกเล็กๆที่ต้องเงียบ ตั้งใจฟังเสียงรอบข้าง เมื่อทุกอย่างนิ่งสนิทและพร้อมลงมือ ทุกอย่างที่ทำก็เพียงแค่เหนียวไก เสียงกระดูกลั่น เลือดสีแดงที่สาดไปทั่ว ...แหม น่าหลงไหลเหลือเกิน

งานภาพที่ว่างดงามนั้น มันงามจริงๆนะ ในด้านการสะท้อนให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์น่ะ มันยากที่จะเข้าใจว่าทำไมคนแบบนี้ถึงคิดและทำอะไรต่างๆ แต่ภาพและเสียงที่สื่อออกมามันโดดเด่นจนคำถามในหัวมันได้รับคำตอบด้วยตัวของมันเอง ไม่ต้องนั่งคิดให้ปวดหัวว่า แต่ละภาพมันคืออะไร

อย่างไรก็ดี ฝีมือของ Park Chan-Wook คงไม่ต้องพูดถึงในเรื่องนี้อยู่แล้วแหละนะ
ที่น่าขำขันที่สุดคือ เจ๊ Kidman มาทำอะไร บทนางเล็กมาก ความสำคัญแทบจะหาไม่ได้ เพราะถ้าจะบอกว่า India ปกป้องแม่ ก็ไม่ใช่ เพราะผลพลอยได้ในการฆ่านั้นคือ อิสระภาพของเธอเอง
Mia Wasikowska สลัดภาพสาวน้อยได้อย่างน่าชื่นชมในทุกซีน

สรุปแล้ว รวมๆคือ 8/10
ยอมรับว่าเกือบถอดใจที่จะดู
เรื่องชวนน่าติดตามก็จริง แต่ไม่ตลอดเสียทีเดียว มันน่าเร้าใจเป็นพักๆ แต่ก็เหมาะกับสไตล์หนังดี
ดูจบแล้วต้องเบะปากในความสวยงามของซีนจบ

ขอบคุณภาพจาก: http://half-decent.com/wp-content/uploads/2013/06/STOKER_One_Sheet_SMALLER.jpg

วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: The Homesman (2014)

The Homesman (2014)
กำกับโดย Tommy Lee Jones
นำแสดงโดย Tommy Lee Jones, Hilary Swank, Grace Gummer, Miranda Otto และ Sonja Richter

สาวแกร่งจากนิวยอร์คย้ายมาอาศัยอยู่ในเนบราสก้าเพียงลำพัง เธอทำทุกอย่างเองเพียงลำพัง พื้นหลังของเธอก็ดูธรรมดาถ้าจะพูดถึงสาวในยุคปัจจุบัน แต่ลองนึกสภาพเธอในยุคคาวบอยสิ! แผ่นดินแห้งแร้ง มีแต่ฝุ่นทรายเต็มเมือง และทุกสิ่งปลูกสร้างอยู่ห่างไกลกันเป็นไมล์ ไปมาหาสู่กันด้วยม้าก็น่าจะดี ลองเดินเท้าดูดิ...คงไม่ไหวหรอกนะ

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อมี สาวเสียสติ 3 คน ที่สามีของพวกเธอไม่สามารถทนความบ้าของพวกเธอได้อีกต่อไป ทุกคนต่างลงความเห็นกันว่าต้องหาบ้านใหม่ให้ผู้หญิงพวกนี้ ซึ่งต้องเดินทางไปถึงไอโอวา เพื่อพาสามสาวเสียสติไปบ้านใหม่ ที่นี่ก็ถึงคราวสาวแกร่งอาสาทำประโยชน์ เธอยอมทิ้งชีวิตอันเงียบสงบเพื่อพาสาวๆพวกนี้ไปอยู่ในที่ที่สบายกว่า

ระหว่างกำลังเตรียมตัวเดินทางไกล เธอก็ไปพบกับอดีตทหารเก่านายนึง อยู่บนหลังม้าและโดนแขวนคอไว้กับต้นไม้ เธอช่วยเขาไว้โดยมีข้อแม้ว่า เขาต้องพาเธอไปไอโอวาอย่างปลอดภัย เธอไม่สามารถทำภารกิจนี้คนเดียวได้แน่ๆ ถ้าไม่ให้ใครสักคนช่วย และเขาก็จำเป็นต้องช่วยด้วยเพราะเป็นหนี้ชีวิตเธอ
การเดินทางจาก เนบราสก้า ไป ไอโอวา ของ สามสาวเสียสติ หนึ่งสาวแกร่ง และ คนแก่นิสัยแปลกอีกหนึ่งจึงเริ่มขึ้น ระหว่างทางอุปสรรคทุกรูปแบบเกิดขึ้นกับพวกเขาทั้งหมด

หนังน่าสนใจมากตั้งแต่เห็นโฆษณาแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะเป็นหนังของป๋าโจนส์ แต่เนื้อเรื่องมันน่าติดตาม อย่างแปลกๆ ปกติไม่ชอบหนังแนวนี้หรอกนะ แต่เรื่องนี้มันน่าดึงดูดจริงๆ 

พอได้ดูก็ละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจของเราคือเรื่องราวของแต่ละตัวละคร ที่มันจะค่อยๆเผยทีละนิด แต่ไม่ทั้งหมด สิ่งที่เปิดเผยที่สุดคือความเลวร้ายในชีวิตของสาวเสียสติทั้งสามคน ส่วนตัวนำสองตัว ไม่ได้เผยอะไรมากนอกจากบทสนทนาที่ทั้งคู่จะเปิดเผยกันและกัน
ง่ายๆก็คือ เราจะรู้เท่าที่ตัวละครมันเปิดปากพูดนั่นแหละ และคนที่พูดมากที่สุดก็คือ Mary Bee Cuddy ที่แสดงโดย Hilary Swank นี่เอง สาวแกร่งแห่งนิวยอร์คซิตี้ที่ปลีกตัวมาอยู่คนเดียว ด้วยสาเหตุบางอย่างที่เธอก็ไม่ได้สารภาพออกมาชัดเจน

คนที่เราไม่รู้เบื้องหลังอะไรเลยก็คือตัว George Briggs ชายแก่นิสัยแปลกที่แสดงโดย Tommy Lee Jones ถึงเขาจะเปิดเผยว่าชื่ออะไร เคยเป็นอะไร แต่อะไรบางอย่างในตัวเขาทำให้เราไม่เชื่อว่าที่พูดมาน่ะคือความจริง ผิดกับ คุณนายCuddy ที่ระบายทุกอย่างจากใจให้เขาฟัง ให้เราฟัง

หลังจากดูจบแล้วมานั่งคิด ก็นึกได้ว่า...จริงๆแล้วเราไม่ได้รู้เรื่องราวของตัวละครอะไรมากมายเลยนี่หว่า นอกจากปัญหาชีวิตของแต่ละคน ซึ่งมันไม่ได้ตื่นเต้นหวือหวา เพราะจริงๆแล้วมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ ความผิดหวัง ความตาย การสูญเสีย การข่มขืน ข่มเหง เหยียดเพศ และการยอมรับ อันหลังดูเป็นสิ่งสำคัญกับ คุณนายCuddy และตาแก่ Briggs
เพราะทั้งคู่หนีจากสังคมเพื่อมาอยู่ในที่ที่ตนเองได้รับการยอมรับ เพื่อเป็นตัวของตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วชีวิตมนุษย์ก็หนีไม่พ้นการเข้าสังคม การผูกมิตร และการได้รับการยอมรับ

หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยคำถามที่ตั้งกับสังคมว่า
- สุดท้ายแล้ว เราต้องการใครคนนึงใช่มั้ย เราอยู่คนเดียวไม่ได้ใช่มั้ย?
- ถ้าชีวิตนึงจะเจอเรื่องร้ายๆขนาดนั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง จะยอมรับความเจ็บปวด หรือจะเสียสติเพื่อหนีความเลวร้ายพวกนั้น?
- สุดท้ายเราก็มองคนที่ภายนอกใช่หรือไม่? ทำไมต้องมีเสื้อผ้าดีๆเพื่อพบปะคนอื่น? คนบ้าจะมีจิตใจดีไม่ได้หรือไร?

และอีกมากมายที่ถามกันไม่หมด ตาแก่ George Briggs ทำหน้าที่เหมือนเป็นพวกเรา เป็นคนดูเหตุการณ์ เขารับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาเห็น เขาเข้าใจ แต่เขาทำอะไรไม่ได้ เขาเข้าไปแก้ปัญหาพวกนั้นให้คนเหล่านั้นไม่ได้ ไม่ใช่หน้าที่เขา และไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าไปยุ่งก็ได้
เมื่อทุกอย่างมันพบจุดจบอันลงตัวหรือไม่ลงตัวของมันเอง เขาก็ต้องปล่อยทุกอย่างไป ได้แต่ร้องเล่นเต้นรำ และปล่อยมันไป เพราะในวันพรุ่งนี้ มันจะเป็นแค่ความทรงจำ ทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่ จะไม่มีใครจำอะไรได้ ไม่แน่สักวันเขาอาจจะลืมด้วยซ้ำ

นอกจากเนื้อเรืื่องและเนื้อหาจะชวนขบคิดจนน่าหดหู่แล้ว โปรดักชั่นของหนังก็เต็มอิ่มไปอีกแบบ
งานแสดงไม่ต้องพูดถึง ส่วนงานภาพนี่ก็...อือหื้อออออ...บางซีนเล่นเอาจุกจนคิดไรไม่ออก ถึงอย่างนั้นมันก็สวยงามในแบบของมัน

เอาไปเลย 9/10
หนังสวย เนื้อดี เต็มอิ่มทุกอย่าง แต่ที่ติดขัดนิดหน่อยคือบางประเด็นมันเข้าใจลำบาก ซึ่งอาจจะแย่หน่อยสำหรับพวกเราๆคนไทย ถ้าจะเข้าใจเขาเราต้องปรับมุมมองใหม่ แบบที่ไม่เอาชีวิตของตัวเอง หรือสังคมรอบๆบ้านเมืองเรามาคิดปะปนให้วุ่นวาย

ขอบคุณภาพจาก http://reggiestake.files.wordpress.com/2014/04/the-homesman-poster.jpg

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: Detachment (2011)

ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้ได้ฉายโรงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆเราพลาดแบบเต็มๆ

Detachment (2011)
Directed by Tony Kaye
Written by Carl Lund
Cast: Adrien Brody, Marcia Gay Harden, James Caan, Christina Hendricks, Lucy Liu, Blythe Danner and Sami Gayle

หนังว่าด้วยเรื่องของครูชั่วคราวที่มาทำหน้าที่จนกว่าโรงเรียนจะหาครูประจำมารับช่วงต่อได้ เขาต้องรับมือกับนักเรียนแย่ๆทุกรูปแบบ ทั้งเกรียน กวนประสาท มีปัญหา ยังไม่พอ ครูๆที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขายังขาดๆเกินๆกันทุกคน โรงเรียนดูจะอมทุกข์ไปทุกซอกมุมเสียจริงๆ

เหลือเชื่อว่าเป็นหนังครู-นักเรียนที่... "อาร์ต สุด สุด" ไม่รู้จะใช้คำไหนจริงๆ มันสะท้อนสังคม ความเป็นมนุษย์ ความเป็นจริงบนโลกนี้ทุกรูปแบบ ไม่มีคำว่าเพอร์เฟค ไม่มีคำว่าสมบูรณ์แบบ และไม่มีคำว่าแฮปปี้เลยกับหนังเรื่องนี้ จังหวะให้ยิ้มยังไม่มีเลย

สิ่งเดียวที่ทำให้ยิ้มคือความสวยของหนัง มันอาร์ตเสียจนลืมความหดหู่ในหนังไปได้แค่ไม่กี่วิเท่านั้น ภาพสวย เก๋ ตัดต่อเยี่ยม ที่สำคัญคือมันเล่าเรื่องและถ่ายทอดออกมาได้...น่าสะเทือนใจ น่าเศร้า

นั่นแหละคือที่เหลือที่รู้สึก สะเทือนใจ เศร้า น่าแปลกใจที่มันไม่กระชากอารมณ์ แต่มันทำให้เกิดความนิ่งความเงียบ ที่ได้แต่คิดกับตัวเองว่า ทำไมโลกนี้มันน่าเศร้านัก ...แน่นอนว่าเรื่องราวของโรงเรียนที่มีแต่คนเหลวแหลกทั้งร่างกายและจิตใจ มันไม่ใช่เรื่องที่จะพบเห็นได้ทุกโรงเรียน แต่ทุกโรงเรียนมักจะมีคนเหล่านี้อยู่ ไม่มากก็น้อยแหละนะ ที่สำคัญคือไม่มีใครรู้ ไม่มีใครคุยกับพวกเขา

นั่นคือสิ่งที่พระเอก 'ดูเหมือน' ว่าพยายามจะทำกับ Meredith(สาวอ้วนพรสวรรค์ดี ซึ่งแสดงโดย Betty Kaye ลูกของผู้กำกับนี่เองงง) ที่ตกหลุมรักครูของเธอเอง Henry คล้ายกับว่าพยายามจะช่วยเหลือหรือแก้ไข แต่สุดท้ายเขาก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำด้วยซ้ำ บาดแผลบอบซ้ำในอดีตนั่นแหละที่ทำให้เขาไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยครูสาวคนสวยที่ดูจะชอบเขาไป รวมถึง Erica สาวน้อยขาบบริการที่เขาช่วยเหลือไว้ บาดแผลจากอดีตของเขาทำให้เขาไม่สามารถช่วยอะไรใครได้ คิดว่าตัวเองคงให้อะไรใครไม่ได้ด้วย เขากรวงโบ๋และว่างเปล่า เหมือนภาพสุดท้ายของแม่ที่เขาเห็น

ท้ายที่สุดไม่มีใครทำอะไรให้ชีวิตของใครได้ทั้งนั้นแหละ ในโลกแห่งความจริงไม่มีใครจะเข้มแข็งพอที่จะลุกขึ้นมายืนอย่างสง่าได้ด้วยคำพูดของใครอีกคน คือ...มันอาจจะมี แต่ไม่ใช่กับทุกคน ไม่งั้นทั้งโลกคงไม่มีความทุกข์ ทุกคนบนโลกคงสดใสร่าเริงกันทั้งวันทั้งคืน ตลอดชีวิตจนวันตาย...หึ ไม่มีหรอกแบบนั้นน่ะ

แต่ก็ต้องบอกว่า คงไม่เข้าใจแบบร้อยเปอร์เซ็นหรอกนะ เพราะระบบการศึกษาและวัฒนธรรมเคารพผู้ใหญ่ในบ้านเราต่างกับเขาแบบสุดขั้ว ตอนดูตั้งคำถามเหมือนกันว่า "เด็กฝรั่งเขาดูถูกครูกันขนาดนี้เชียว? ไม่เคารพกันหน่อยเลยรึ?" 
ก็รู้สึกโชคดีที่ในบ้านเราไม่เป็นขนาดนี้

ในความคิดเรา นี่จึงเป็นหนังที่โคตรอาร์ต ที่เล่าเรื่อง และยังสื่อความหมายแบบยิงตรงเจ็บถึงทรวงจริงๆ รีวิวของฝรั่งบางคนที่อ่านเจอ เขาเทียบด้วยว่า Terrence Malick ควรดูหนังเรื่องนี้แล้วเปลี่ยนวิธีเล่าเรื่องของหนังได้แล้ว ภาพสวยอย่างเดียวคงไม่ช่วยอะไร ถ้าเรื่องมันไม่ชวนติดตาม...ซึ่งเห็นด้วยสุดๆ!!

ที่ต้องยกนิ้วอีกอย่างคือการแสดงของเฮีย Adrien Brody สมแล้วกับตุ๊กตาออสการ์ที่เฮียได้ คือเจิดมาก คือถ่ายทอดอารมณ์ได้แบบถึงใจมาก
และอันนี้ชอบส่วนตัว น้อง Sami Gayle น่ารักมากเลยยย แม้จะเป็นคุณตัวบ้านแตก แต่ก็น่าร๊ากกก

เต็ม 10...
เอาไปเลย 10 สำหรับเรื่องนี้
หนังไม่ได้สนุกโลกสวย แต่มันดีจนละสายตาไม่ได้

ข้างล่างรูปแถม ชอบๆ :D


วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ดูหนังแล้วบ่น: "Nebraska (2013)"

ในที่สุดก็หาเวลาดูจนได้
*คำเตือน: บล็อกนี้มีไว้บ่นอย่างเดียว บางประเด็นจึงอาจดูพูดไม่จบ แต่ก็อยากจะพูด ดังนั้นหากทำให้ท่านหงุดหงิดที่อีบ้านี่เขียนอะไร จึงอภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณค่ะ*

Nebraska (2013)
กำกับโดย Alexander Payne
นำแสดงโดย Bruce Dern, Will Forte และ June Squibb

Woody Grant ชายแก่วัยใกล้จองหลุมได้จดหมายจากนิตยสารฉบับนึงว่าเขาชนะเงินล้าน แต่ต้องเดินทางไปคืนจดหมายนี้เพื่อรับเงินถึง Nebraska
Woody อาศัยอยู่ใน Montana เขาตัดสินใจที่จะเดินไป Nebraska เพื่อเงินล้านของเขา Woody หนีออกจากบ้านและตั้งต้นเดินอย่างไม่สนใจใคร แต่ก็ไปได้ไม่ไกล เนื่องจากลูกชายเขาก็ต้องรับกลับมาที่บ้านและเริ่มสักถามถึงเหตุผลที่เขาดื้อดึงจะไป แล้ว David ลูกชายคนเล็กของเขาก็ต้องเป็นคนที่ตามใจพ่อและขับรถพาเขาไป Nebraska
ระหว่างทางพวกเขาก็หยุดพักกันที่เมืองเกิด ที่ๆญาติและผองเพื่อนของเขายังคงอาศัยอยู่ ข่าวว่า Woody ชนะรางวัลเงินล้านแพร่ไปทั่วเมืองจนกลายเป็นที่ฮือฮา ไม่นานครอบครัว Grant ก็เริ่มโดนคนรอบข้างทวงบุญคุณ เรื่องราวในอดีตถูกหยิบยกขึ้นมาเล่ากล่าวกันใหม่จน David เริ่มเห็นใจพ่อของเขา จากตอนแรกที่เขาเห็นว่านี่มันไร้สาระ ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่า พ่อของเขาต้องการอะไร และตลอดชีวิตที่ผ่านมาของ Woody นั้นน่าเศร้าเพียงไร

จากเรื่องราวการผจญภัยของคนแก่ กลายเป็นเรื่องของความต้องการที่จะเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปทั้งชีวิตของพ่อลูกคู่หนึ่ง
Woody เป็นชายแก่ผู้น่าสงสาร ที่ไม่เคยมีใครเข้าใจเขาเลย ผู้คนต่างยัดเยียดสิ่งที่ทุกคน 'คิดว่า' เขาต้องการ และเขาเองก็เป็นพวกไม่ปฏิเสธผู้คน ชีวิตที่ดูเรียบง่ายแต่กลับพังทลายไม่เหลือดี จนท้ายที่สุดเขากลายเป็นคนแก่ผู้ว่างเปล่า
เงินล้านที่เขาต้องเดินเป็นพันไมล์เพื่อไปเอานั้นก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อที่จะให้มีสมบัติทิ้งไว้ให้ลูกเขาบ้าง นี่เป็นแรงผลักดันเดียวที่เขามี และ David ที่เริ่มเข้าใจพ่อของเขาทีละนิดก็ช่วยให้ Woody ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

Woody ดูจะถูกยัดเยียดทุกอย่างให้ชีวิต แม้กระทั่งภรรยาและลูก เขาเลือกที่จะรักใครคนนึง แต่เขาก็ไม่สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่กับใครคนนั้น แต่เขาก็เลือกที่จะก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่ตนเองต้องทน ครั้งนึงที่เขาคิดจะหย่ากับภรรยา แต่โดนเพื่อนห้ามไว้ด้วยเหตุผลเพียงว่า การหย่าเป็นบาป Woody ดูไม่ใช่คนเคร่งศาสนาเสียด้วยซ้ำแต่เขาก็ยอมรับกับสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญ บทสนทนาช่วงนี้ ดูเหมือนจะเป็นการตั้งคำถามเสียด้วยซ้ำว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่บาป แต่นี่ก็ไม่ใช่คำถามที่ต้องหาคำตอบ เพราะมันเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและไม่ควรหยิบมาถกเถียง (ดังนั้นเราจะเลี่ยงไม่พูด แต่ชูประเด็นทิ้งไว้ให้ปวดหัวเล่น ฮ่าๆๆ)

อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ดีกรีเลิศเข้าชิง 6 Oscars จนไม่กล้าแตะต้องอะไรมาก มันดีครบองค์ประกอบเสียไปหมดทุกอย่าง โดยส่วนตัวกล้าพูดว่าดีกว่า The Descendants (2011) ผลงานของผู้กำกับคนเดียวกันอย่าง Alexander Payne (ประเด็นคือถ้าเทียบสองเรื่องก็ชอบเรื่องนี้มากกว่า)

มันดีกว่าในแง่ของความเป็นหนังขาวดำ ความเป็นธรรมชาติ ความสมจริง ไม่รู้นะแต่หนังเรื่องนี้ดูดึงให้คนดูติดดินมากกว่า The Descendants มันชวนให้ขบคิดว่ามีคนอย่าง Woody ในโลกนี้กี่คนกัน คนแก่ผู้น่าสงสารที่หลงเชื่อโฆษณาในสื่อสมัยใหม่ โชคดีของWoodyที่เขามีครอบครัวที่ดี คิดภาพถ้า Woody เป็นชายแก่ผู้อาศัยอยู่คนเดียว ลูกหลานไม่แล เมียเป็นหญิงแก่นั่งบ่นที่ไม่ช่วยอะไรเลย หรือบางทีเมียอาจตายไปแล้ว

...นี่ถ้าหนังทำออกมาอย่างที่พูดไป รับรองว่ามันคงจะเป็นเรื่องของ
"ชายแก่ผู้เดินเท้าจาก Montana ไป Nebraska แล้วตายกลางทาง" ...อะไรประมาณนั้น ดูเป็นข่าวมากกว่าหนังแล้วแหละอย่างนี้ ฮ่าๆ

แน่นอนว่าเป็นหนัง มันจบสวยในแบบของมัน และทำให้อมยิ้มเล็กน้อยกับบทสรุปของพ่อลูกคู่นี้

เต็ม 10...
เอาไป 9 หัก 1 คะแนนโทษฐานที่ทรมานชีวิตของชายแก่ผู้ว่างเปล่านี่เกินไป ฮ่าๆ
** Bruce Dern แสดงได้ดีจนน่าขนลุก และบางอารมณ์ก็ชวนให้อมยิ้มเบาๆ **

ขอบคุณภาพจาก http://www.rogerebert.com/reviews/nebraska-2013

วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ดูแล้วบ่น: "Last Night (2010)"

พลาดหนังเรื่องนี้ไปได้ไงนะ

Last Night (2010)
กำกับโดย Massy Tadjedin
นำแสดงโดย Keira Knightley และ Sam Worthington

เรื่องราวของคู่สามีภรรยาคู่นึงที่ชีวิตรักออกจะดูน่าเบื่อและเรื่อยเปื่อย คืนนึงในงานเลี้ยงสังสรรค์ Joanna (Keira Knightley) ค้นพบว่า Michael (Sam Worthington) สามีของเธอมองเพื่อนร่วมงานสาวของเขาแปลกๆ ทั้งคู่ทะเลาะกันในคืนนั้นก่อนจะจบด้วยความเชื่อใจที่ยังเคลือบแคลงอยู่นิดๆ เช้าวันต่อมา Michael เดินทางไปทำงานต่างเมืองกับเพื่อนร่วมงานคนนั้น ขณะเดียวกัน Joanna ก็เจอกับรักเก่า
เพื่อนร่วมงานสาวแสนยั่ว กับ รักเก่าที่ไฟยังคุกรุ่น จะกลายเป็นทางเลือกแสนยากลำบากของทั้งคู่หรือเปล่า หรือจะช่วยให้ชีวิตรักของพวกเขาดีขึ้น

หนังดราม่าชีวิตรักของคู่แต่งงานที่ฝ่ายนึงคิดว่าแต่งงานเร็วไป อีกฝ่ายก็คิดว่าการแต่งงานจะช่วยเยียวยาพวกเขา
เพิ่งรู้ว่าคู่นี้เคยเจอกันด้วย Keira กับ Sam เล่นดีกันทั้งคู่เลยนะ แม้แต่ตัวรองอย่าง Guillaume Canet รักเก่าของนางเอกที่ไม่มีความคิดเรื่องการผูกมัดแต่ตัวเองทันผูกพันธ์กับเธอเกินกว่าที่คิด
กับ Eva Mendes เพื่อนร่วมงานสาวสุดยั่วที่มีปมปัญหากับชีวิตรักจนไม่คิดจะผูกมัดกับใคร
หนังไม่หวือหวา ไม่เศร้า ไม่หวาน ไม่มีอารมณ์ไม่สุดโต่งอะไรเลยสักอย่าง แต่กลับกระตุ้นเราในทางตรงข้าม

ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์กลายเป็นบาปของคนดู เราจะสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า backstory ก่อนหน้านี้ของทุกคนคืออะไร แม้หนังจะบอกเรามานิดๆหน่อยๆ สำหรับแต่ละตัวละคร แต่ก็ไม่ได้ "พูด" ออกมาให้ชัดเจนว่า ระหว่างพวกเขานั้นคืออะไร สายตา ท่าทาง การแสดงออกระหว่างคนสองคนแทบจะพูดแทนทุกอย่างอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเราจะคิดออกไปในทิศทางที่หนักเบาเท่าใด

น่าจะต้องบอกว่า บทดีมาก การสนทนาเรียบง่ายระหว่างการสังสรรค์ ระหว่างคนสองคน แต่มันมีความรู้สึกบางอย่างอยู่ในบทพูดง่ายๆพวกนั้น มันดึงให้เราคิดว่าเราไม่ได้กำลังดูหนังอยู่ แต่กำลังสอดรู้เรื่องชาวบ้านมากกว่า เวลา 90 นาที ของเรา กับหนึ่งคืนเต็มๆในหนัง มันกดดันเบาๆนะ เราจะลุ้นตลอดเวลาว่า มันจะลงเอยกันยังไง การจะมารวบรัดพบกัน ดื่มเหล้า เข้านอน ปล้ำกัน บราๆ มันคงต้องจบด้วยว่า...แล้วจะแก้ปัญหาตรงนั้นกันยังไง แต่นี่ไม่แก้เลย แค่เล่าให้พวกเราได้เห็นเฉยๆว่ามันลงเอยคืนนั้นกันยังไง

สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่คนดูน่าจะคาดเดาได้ แต่อารมณ์และแรงกดดันระหว่างทางก่อนที่จะได้ลงเอยกันมันช่าง...มีเสน่ห์ในแบบของมัน พูดเลยว่าเกือบเบื่อและทำใจว่าจะดูมาสามสี่วันแล้ว แต่มาสะดุดตรงช่วงนางเอกเจอรักเก่า

คงพูดถึงการตัดสินใจของคนรักกัน หรือการเลือกทางใดทางหนึ่งของชีวิตคู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราเองก็ไม่เคยพบเจออะไรเช่นนั้น อาจจะต้องบอกว่ารู้ทุกอย่างจากหนัง ฮ่าๆ

คะแนนเต็ม 10
คงให้ 7 คะแนน เพราะมันเนือยไปหน่อย ยืดเยื้อไปนิด ส่วนตัวไม่ชอบหนังทำนองนี้ แต่โดยรวมก็น่าขบคิดดีนะ

ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/wikipedia/id/9/9a/Last_night.jpg

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โลกมนุษย์เงินเดือน

จากหายกันไปนาน ตอนนี้กลับมาแล้ว!!

ตลอดช่วงที่หายไปก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากวิ่งหางานนี่แหละ ทั้งเครียด ทั้งยุ่ง เป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา ตื่นเช้ามารอโทรศัพท์จากบริษัทต่างๆแทบจะทุกวัน กลัวพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต
แต่จนแล้วจนรอด ก็สามารถเลือกทางเดินในชีวิตต่อได้

ขอประกาศให้โลกรู้ในวันนี้
ว่าเด็กโง่ๆ ที่อ่านหนังสือง่อยๆ ความรู้ภาษาอังกฤษห่วยแตก
เด็กโง่ที่วันๆเอาแต่นอนอ่านการ์ตูน บ้างก็ลุกขึ้นมาเล่นเกม บ้างก็นอนเหม่ออยู่เฉยๆ

เด็กคนนั้น ตอนนี้มีงานมีการทำแล้ว!! *จุดพลุยี่สิบสามชุด*

แน่นอนว่าฉันพัฒนาตัวเองมากกว่าแค่เด็กโง่คนเดิม ไม่งั้นคงไม่มีวันนี้
ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่าฉันเป็นคนที่โชคดี ที่ได้งานทำ
ต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่มอบโอกาสให้ และพี่ๆที่ทำงานที่รับเด็กคนนี้ทำงาน

ยอมรับว่าวาดฝันไว้นิดหน่อยว่าอยากจะทำงานแบบไหน
เมื่อก่อนมองว่าเป็นพนักงานออฟฟิศนี่คงไม่สนุก คงน่าเบื่อ งานก็น่าจะเดิมๆ ไม่น่าจะเหมาะกับตัวเอง
แต่ในเมื่อเราไม่ได้เป็นคนพิเศษอะไร ไม่ได้มีของดีมากมาย ดังนั้นก็ต้องเริ่มหัดเดินใหม่
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะได้อะไรดั่งใจ ในเมื่อเราเป็นเด็กจบใหม่ที่ไม่ได้มีอะไรดีกว่าคนอื่น

ถึงอย่างนั้น พอได้มาเจอกับชีวิตพนักงานออฟฟิศแล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิด
มันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น งานที่ได้กลับสนุกและชิลอย่างที่สุด
ที่ชอบที่สุดคือ เริ่มงานสายกลับบ้านดึกนี่แหละ
ออกนอกเมืองไปทำงาน กลับเข้าเมืองเพื่อกลับบ้าน สวนกระแสคนอื่นทั่วไป รถไม่ติดดี แถมยังได้นั่งสบายๆบนรถเมล์ที่ปกติคนแน่นอย่างกับปลากระป๋องเคลื่อนที่

แม้จะเริ่มงานมาได้ไม่เท่าไหร่ (ประมาณอาทิตย์เดียว) แต่ก็พอจะเห็นบรรยากาศในอีกหลายเดือนข้างหน้าแหละนะ ยิ่งเมื่อพฤหัส-ศุกร์ที่แล้วเป็นวันเงินเดือนออก ทุกคนดูมีชีวิตชีวากันดีจัง แม้ว่าจะยังไม่ได้เงินเดือนเพราะเพิ่งเข้ามาทำ แต่ก็มองเห็นอนาคตของตัวเองลางๆแล้วแหละ

เอาละ นี่มันแค่มิติเริ่มต้นของโลกมนุษย์เงินเดือน และพนักงานออฟฟิศเท่านั้น ยังต้องเดินกันอีกยาวไกล
สู้ต่อ มีไรน่าบ่นจะกลับมาเขียนใหม่ =w=

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

มาการอง ขนมจิ๋วแสนแพง

ขอบอกก่อนว่าปกติเป็นคนที่กินขนมอย่างไม่เลือก แพงหรือไม่ฉันไม่เกี่ยง
ถ้าอยากกิน ถ้าวันนั้นไม่มีเงินเหลือแล้วหรืออะไรก็จะไม่หาอะไรแทน ก็ไม่กินมันไปเลย

แต่สำหรับขนมชิ้นจิ๋วอย่าง มาการอง ถือเป็นขนมประเภทแรกที่คิดแล้วคิดอีกว่าจะกินมันดีหรือเปล่า

ชิ้นจิ๋วเดียว 30บาท!! บางร้านก็ 50กว่าบาท หรือมากกว่านั้น กล้องนึงมี6ชิ้น ราคาตั้ง 200up
ไซส์มันไม่สมราคาเลย โยนเข้าปากคำเดียวก็หมดละ 30บาท อื้ม...

ขนาดแค่คัพเค้กบางร้านที่ชิ้นนึง 59บาท ยังมองแล้วมองอีกว่าจะกินคัพเค้ก หรือซื้อเป็นเค้กไปเลยดีน้า
(เลือกจากขนาดของขนม)
สรุปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยกินเจ้าขนมจิ๋วนี้เลย เพราะมัวแต่คิดว่าจะกินหรือไม่ดี ทำไมมันแพงจังน้า ไม่กินดีกว่า << หันหน้าหนีแล้วเดินจากไปแบบหยิ่งๆ

จน กระ ทั่ง ! ! !

เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว คุณอากลับมาจากอังกฤษ เพื่อมาเยี่ยมคุณย่าที่ล้มป่วยกระทันหัน
ปกติเวลาคุณอากลับมาจากต่างประเทศ เขาก็จะมีของมาฝากทุกๆคนเป็นเรื่องธรรมดา อีนี่จะเป็นหนึ่งในเหยื่อของคุณอาที่รอรับของอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยความตื่นเต้น
(เล่านิดนึงว่าตอนเด็กๆ อาเคยซื้อตุ๊กตาเอลโม่หัวเราะได้มาให้ อยากจะบอกว่าเล่นจนถึงทุกวันนี้ ฮ่าๆๆๆ)

รอบนี้คุณอาซื้อเจ้าขนมที่ว่านี้มาฝาก
มันมาเป็นกล่องยาวๆ สภาพกล่องดูเลอค่ามาก อีนี่เปิดดูด้วยความตื่นเต้น(เพราะเป็นของจากอา)

สภาพมันต่างกับข้างนอกกล่องสุดๆ...
มาการองนอนเบียดทับกันอยู่ในกล่อง ฝานึงถูกอีกฝานึงดูดไว้และหลุดออกมาจนเห็นไส้ใน
เห็นปุ๊บรู้เลยว่ามันผ่านการเดินทางมายาวไกล ทั้งยังห่างจากความเย็นมาเป็นเวลาพักใหญ่ๆ เมื่อมาถึงเมืองไทย
ในกล่องมีบัตรของร้าน แล้วก็แผ่นพับบอกสีและรสของมาการองแต่ละชิ้น
อีนี่หยิบดูและอ่านอย่างกับกำลังอ่านคู่มือการประกอบหุ่นยนตร์ของเล่นหรืออะไรสักอย่าง

รสแรกที่เลือกจำได้แม่นว่าเป็นรสกุหลาบ กัดเข้าไปคำแรกแล้วฟินอย่างเหลือหลาย กลิ่นกุหลาบลอยฟุ้งเต็มปากขึ้นมาถึงจมูก ความหวานไม่ได้ทำให้แสบคอหรืออะไรเลย มันกลมกล่อม นุ่มละมุน ว่าแล้วโยนทั้งชิ้นที่เหลือเข้าปากไปอย่างมีความสุข

ตอนแรกก็คิดนะว่า มันก็ไม่ได้หวานแสบไส้อย่างที่ใครว่านี่ แต่พอกลับมากินน้ำอัดลมที่กินอยู่ โอ้...น้ำเปล่าหรือนี่ ทำไมมันไม่รับรู้รสอะไรเลย อื้ม...มันคงจะหว๊านน หวาน แต่เราไม่รู้เอง

แม่บอกว่ามันทำส่วนผสมได้เนียนมาจนความหวานมันไม่แหลมแปร๊บขึ้นมาทำให้เรารู้สึก

หลังจากนั้นแค่สองวัน ก็กินมันจนหมดกล่อง (แบ่งกับแม่นะจ้ะ ไม่ได้กินคนเดียวหมด)

ผ่านมาสามวัน เริ่มรู้สึกอยากกินอีก นี่ฉันเสพติดขนมชนิดนี้แล้วหรอ?!
วันก่อนโน่น ได้ไปห้างแล้วซื้อกาแฟ ในร้านมีขายมาการองด้วย ก็ดูราคา...อื้ม 30บาท ต่อชิ้น ใส่ถุงแยกเดี่ยวๆอย่างดี...อื้ม...ไม่ละคะ กาแฟอย่างเดียวพอ

กลับมาบ่นให้แม่ฟัง แม่สวนกลับมาว่า "ก็ทำเองสิ เตาเราก็มี" ... อื้ม ค่ะ โอเคค่ะ (เปิดหาสูตรอย่างรวดเร็ว)

ตอนแรกที่กินก็พอจะเดาได้นะว่ามันเป็นขนมทำจากไข่ขาว แต่ไม่คิดว่าผสมอัลมอนด์ด้วย ทั้งอันทำจากน้ำตาลไอซิ่งอีกต่างหาก อื้มมมมมม โอเค ความหวานมันทำลิ้นฉันหลงไหลและมัวเมามาก

พอศึกษาวิธีทำแล้วก็ดูส่วนผสมต่างๆในแต่ละสูตร...มันดูทำยากจัง ด้วยครัวที่ไม่พร้อมของบ้านฉัน
เตาอบที่แม่ว่าน่ะ แค่ปิ้งขนมปังสามแผ่นก็เต็มละ << เอาน่า เคยทำลาซานญ่าถ้วยเล็กๆได้ละกันน่า

หลังจากที่ได้ลิ้มลอง แล้วก็ศึกษาสูตร รวมถึงที่มาของขนมจิ๋วแสนแพงนี่

ก็ตัดสินใจได้ว่า...

จะลองทำดูเมื่อว่าง และถ้าอยากจะกินขนาดนั้นก็จะตัดสินใจซื้อมันสักครั้งสองครั้งละกัน

ไว้ทำแล้วจะมาอวดในบล็อกใหม่อีกรอบ :)

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2557

แบงค์500 หมดไปภายใน6ชั่วโมงกับห้างห้างเดียว

วันนี้เป็นวันหยุดก็จริง แต่ดันมีงานด่วนแสนร้อนจี้ก้นอยู่

ก็เลยต้องเรียกเพื่อนออกไปทำงานกันข้างนอก (มหาลัยปิดเข้าไปใช้ไม่ได้ แย่ตรงนี้)

และในเมื่อ บ้านฉันอยู่ในเมือง แต่เพื่อนอยู่หอที่รังสิตกันหมด ดังนั้นสถานที่ที่สะดวกจะเจอกันมากที่สุดก็คือ...

ในเมือง

แน่นอนว่า "ในเมือง" ที่แรกที่คิดได้คือสยาม ห้างเซ็นทรัล ที่ใดก็ได้ที่สะดวกจะไปกันที่สุด
สุดท้ายแล้วก็เลือก "เซ็นทรัลลาดพร้าว"

ความบังเอิญและความจำเป็น ทำให้ต้องขับรถไปจอดที่ห้างตั้งแต่เที่ยง พอเห็นค่าจอดรถก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆว่าต้องโดนไปเต็มๆอย่างหน้าตบหัวตัวเองที่เอ๋อเสร่อ เอารถมาจอดที่นี่

เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาแล้วนี่ จะวนรถออกไปจอดที่รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีประจำก็ใช่ที่ เอาว่ะเท่าไหร่เท่ากัน

ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย กะว่าแค่ทำงานแล้วก็กินอะไรง่อยๆ เลยพกมาแค่ 500บาท กับแบงค์ย่อยประมาณ160บาท ก็ราวๆนั้นแหละนะ
(ตอนแรกไม่ได้คิดถึงเรื่องการใช้รถและค่าจอดรถ)
ตะหงิดใจอยู่เหมือนกันว่าควรจะหยิบมามากกว่านี้ แต่ถือซะว่า หยิบมาแล้ว ประหยัดเอาละกัน พยายามจะไม่ซื้ออะไรสิ้นเปลือง
**แจกแจงก่อนว่า ก่อนออกจากบ้านแวะซื้ออาหารมื้อแรกไปแล้วที่เซเว่น หมดไป 60บาท**

โอเค มาถึงปุ๊บ!! หาที่นั่งรอเพื่อนหลังจากเดินวนรอบห้างสำรวจร้านค้าต่างๆเรียบร้อย
(วินโด้ช็อปปิ้งไปก่อน ไม่ได้มาบ่อยๆ สำรวจซะหน่อยว่ามันมีอะไรยังไงบ้าง)

พอเพื่อนๆมา ก็หาร้านกาแฟนั่งทำงานกันก่อนเลย << ทำไมต้องร้านกาแฟ
1. อีนี่และเพื่อนอยากหากาแฟกิน
2. ร้านกาแฟดูเป็นฟิลที่ควรจะหอบงานมาทำ ไม่ใช่ร้านอาหารหรือศูนย์อาหาร ที่ผู้คนวุ่นวายและฟิลไม่ให้ (พูดง่ายๆว่ากระแดะจะทำงานในร้านกาแฟ)
สุดท้ายก็ลงเอยที่ สตาร์บัค ค่ะ (อะไรนะ? จะประหยัดหรอ?) เสียค่ากาแฟแสนแพงไป 120 หรือ 135 นี่แหละ ไม่ได้สนใจยื่นแตกไปเลย แบงค์ 500 (ทำเหมือนรวยมาก...ถุ้ย)

นั่งสตาร์บัคกันร่วม 2ชั่วโมงโดยประมาณ งานเสร็จก็รีบเผ่นอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่กลัวเขาไล่ หรือเกรงใจใครแต่อย่างใด แต่หิวข้าวมาก ณ จุดนี้

ระหว่างช่วงเวลานี้ ก็แวะดูเคสมือถือ ซื้อผ้าเช็ดหน้ากันไปอยู่พักใหญ่ << ฉันได้ผ้าเช็ดหน้ามา 3ผืน100 (เสียเงินไปอีกอย่างละนะ)

การมากับเพื่อนฝูงแบบนี้ มักจะไม่สามารถหาจุดหมายในการไปร้านอาหารได้แน่ชัด ไม่เคยกำหนดพิกัดกันได้เลยว่าพวกเราจะกินอะไรกันวันนี้ ดังนั้นการเดินเลือกหาร้านอาหารจึงเป็นเรื่องที่ทำกันประจำ
(และเชื่อว่าเป็นเช่นนี้กันทุกคน)
ปัจจัยในการเลือกร้านมีเพียงประเด็นเดียวคือ ต้องไม่เกินงบมากจนเกินไป

แล้วทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้า ฟูจิ...มันก็อยู่ในงบที่พอรับได้น่ะนะ (พยายามปลอบใจตัวเอง)
รอคิว เข้าไปนั่งเลือกเมนูกันได้สักพัก...เกิดอยากจะออกไปกินชาบูชิกันเสียอย่างนั้น เพื่อนนึกได้ลางๆว่ามันอยู่ในช่วงโปร มา4จ่าย3

สุดท้าย...ทุกคนปิดเมนูร้านฟูจิ และลุกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว เนียนๆ ลอยๆ เพราะเปลี่ยนใจกันกระทันหันเสียอย่างนั้น ใครจะงงยังไง ไม่รู้ เดินกันด้วยความหน้ามืดตรงไปหาชาบูชิกันอย่างรวดเร็ว

แค่ป้าย มา4จ่าย3 หน้าร้านก็ทำฉันกับเพื่อนร้องวู๊ว๊ากัน อย่างกับเจอของแจกฟรี ว่าแล้วก็ต่อคิวรอกินกันเรียบร้อย เข้าไปถึงได้นั่งปุ๊บ น้ำซุปยังไม่เสิร์ฟ ทุกคนก็หยิบอาหารมากันเสมือนไม่มีอะไรตกถึงท้องมามากมาสามวันสามคืน

นั่งอยู่ชาบูชิกันเต็มเวลา อย่างใช้สิทธิ์ให้คุ้มค่า ระหว่างออกมาจ่ายตังค์มีโทรศัพท์เข้ามาพอดี ตอนจ่ายเลยยื่นกระเป๋าตังค์ให้เพื่อนไป

เมื่อรู้ว่าต้องเสียเท่าใด สมองก็เร่งประมวลผลอย่างรวดเร็ว ตื่นตัวจากความมึนตอนรับโทรศัพท์ แหวกกระเป๋าเงินดูอย่างรู้ผลอยู่แล้วในใจ...

โอ้นั่นไง...ไม่เหลืออะไรเลยยยยยย (จงเปิดเพลงประกอบ ปราสาททราย - สุรสีห์ อิทธิกุล) <<เว่อร์จริงๆ

ต้องบอกว่าโชคดีอย่างมาก ที่บุพการีมาหาที่ห้าง(นัดเจอกันเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน)
ไม่เช่นนั้นพูดเลย...ว่าไม่มีค่าจอดรถ...
โดนไปตามระเบียบ จอดตั้งแต่เที่ยงยัน6โมงครึ่ง << 190บาท เจ้าค่ะ

สรุป...เงินจำนวน 500บาท กับ 100-200 โดยประมาณที่เป็นแบงค์ย่อย ไม่พอค่ะวันนี้

ถามว่าจะทำให้พอได้มั้ย มันก็ได้แหละ ก็แค่...ไม่ซื้อสตาร์บัค กับ ไม่กินชาบูชิ << ผ้าเช็ดหน้าไม่นับเพราะจำเป็น

แต่ก็ตามใจตัวเอง และปลอบไปอย่างโง่ๆว่า "เอาเถอะ ไม่ได้มาบ่อยๆ ไม่ได้กินดีเกินตัวแบบนี้ทุกวัน"
แล้วก็ถือซะว่า กินแบบแสนจะง่อย ข้าวไข่เจียวจานน้อยๆ30บาท หรือไม่ก็ มาม่าแสนเบสิก วันอื่นทดแทนละกัน

สุดท้ายแล้วก็มานั่งคิด
นี่ขนาดว่ามีแค่ไม่ถึง1000 ยังหมดตัวขนาดนี้โดยที่ทำแวะนั่งแค่2ร้าน(ชาบูชิกับสตาร์บัค) ซื้อผ้าเช็ดหน้า และเสียค่าจอดรถ

แล้วพวกที่มาเดินห้าง ซื้อคริสปี้ครีม กินอาฟเตอร์ยู แวะเข้าร้านแล้วมีถุงหิ้วกลับออกมา หรือแม้กระทั่งพวกล่าของลดราคาในห้าง ที่ไม่รู้ว่ามันลดแล้วหรือไร ทำไมมันยังเกินพัน

พวกเขาเหล่านี้หมดเงินกับการเดินห้างเท่าไหร่หรอ ถ้า 7-8 พัน แล้ว...เงินเดือนพวกเขาเท่าไหร่หรือ
นี่เพิ่งต้นเดือนนี่นา เงินเขาพอสิ้นเดือนหรอ

พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่า "อื้ม คนไทยนี่รวยเนอะ"
ทุกคนถือสมาร์ทโฟน ทุกคนมีถุงแบรนด์เนม ทุกคนนั่งกินร้านที่ต่อหัวไม่ต่ำกว่า300
ทุกคนขับรถรุ่นใหม่ ทุกคนมีบัตรเครดิต(ที่เป็นวงเงินติดลบหรือเปล่าก็ไม่รู้)

คิดได้อย่างนั้นก็มองตัวเอง...อื้ม เราอยู่ผิดที่ผิดทางสินะ เราควรหมกตัวอยู่แต่บ้านหรือถ้าจะมาก็ได้แต่เดินเล่นแหละ ช่างไม่ใช่ที่ของเราจริงๆ

ว่าแล้วก็นอนเกลือกกลิ้งอยู่บ้านนี่แหละ เฮ้ออออออออออ << ทำข้าวกากๆให้ตัวเองกินต่อไป

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

ทางแยกสำคัญ

ตอนนี้ชีวิตดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จุดเปลี่ยนแต่ละทีไม่เคยทำให้ฉันคิดมากอะไรขนาดนี้เลย จากประถมสู่มัธยม
จากม.ต้นสู่ม.ปลาย จากโรงเรียนสู่มหาวิทยาลัย มันก็เป็นเหมือนแค่ทางเดินที่แยกออกมาจากทางที่เดินอยู่ปกติ ไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่

แต่แน่ละว่าตอนที่เรียนจบม.6 แล้วต้องมาเริ่มต้นชีวิตมหาลัยครั้งแรกมันตื่นเต้นเบาๆนะ แต่มันตื่นเต้นในเชิงของเด็กคนนึงที่กำลังจะเปลี่ยนสถานที่เรียน กังวลว่าจะเรียนได้มั้ย จะได้เพื่อนหรือเปล่า แล้วจะมีชีวิตรอดมั้ยนะ เพราะปกติเป็นเด็กเรียนไม่เก่ง สอบตกสอบซ่อมมันทุกชั้นปีไป มหาลัยมันไม่มีสอบตกสอบซ่อมแล้วนะ มันมีเพียงแค่ว่า ผ่านไม่ผ่าน จบไม่จบ แค่นั้นแหละ

ถึงอย่างนั้นก็มีชีวิตรอดมาได้ 4ปี เต็มๆ
ตอนนี้ยังไม่จบชีวิตในรั้วมหาลัยแบบสมบูรณ์ก็จริง แต่ชีวิตใหม่ ทางเดินใหม่ที่ต้องเลือกมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกแค่สองเดือนเท่านั้นก็ต้องบอกลาชีวิตนักศึกษาแล้ว

จุดเปลี่ยนครั้งนี้มันนอกจากจะทำให้ตื่นเต้นแล้ว มันยังก่อให้เกิดความกังวล ว้าวุ่น ท้อแท้ หดหู่...มากกว่าที่เคยเป็นมาในครั้งไหนๆในชีวิตเลยนะ มันแบบ...ตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน...แต่ก็กังวลว่าจะทำได้มั้ย แล้วเราจะไปทำอะไรได้บ้างละ ว้าวุ่นมากว่าจะใช้ชีวิตยังไงดี...เริ่มท้อแท้ที่มองไม่เห็นหดทางชัดเจนอย่างคนอื่น แล้วก็เริ่มหดหู่กลุ้มใจ...ถ้าหางานทำไม่ได้ละ หรือถ้าหาได้แล้วเราทำไม่ได้ละ ทำไม่ถูกใจเขาละ?

การหางานทำไม่ได้มันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอกถ้าจะคิดว่า ค่อยๆหาค่อยๆว่ากัน แต่แรงกดดันของสภาวะครอบครัวมันทำให้อีนี่เครียดน่ะสิ

ใช่ คำว่า 'เครียด' เนี่ยแหละตัวดี ช่วงนี้เครียดเรื่องอนาคตไม่พอ งานทีสิสจบก็พาเครียดหนักกว่าเดิม
เวลาว่างมันค่อยๆหายไปทีละนิด

อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ชีวิตได้พบเจอกับสิ่งใหม่ในวิถีการทำงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ
2-3 วัน ที่ผ่านมาได้ไปเรียนรู้งานกับรุ่นพี่มหาลัย(และเพิ่มเติมว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนด้วย!!) มันเป็นงานประชาสัมพันธ์ที่อีนี่ไม่ถนัด เลย!!! แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆกับวิธีพรีเซ็นตัวเอง วิธีเข้าหาคน ซึ่งมันน่าจะมีประโยชน์สำหรับชีวิตทำงานบ้างละน่า และที่สำคัญ สิ่งที่ได้เรียนรู็หลักๆเลยก็คือ...

การบอกว่าตนเองจบจากที่ไหน เป็นศิษย์ที่ใด นั้นสำคัญมากในวงการนิเทศฯ!!!
เนื่องจากว่า คุณจะได้รับการสนับสนุนและเอ็นดูจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ที่ห่างกันแค่ไหนก็ตาม พวกเขาจะช่วยคุณเท่าที่พวกเขาทำได้ เพราะว่าพวกคุณคือ "รุ่นน้องของสถาบัน"

อื้มมม มันเจ๋งตรงนี้แหละ ซาบซึ้งเลยทีเดียว ช่างน่าเสียดายที่ระบบมหาลัยปัจจุบันนี้ที่เรียนอยู่ ความสัมพันธ์กันฉันพี่น้องแบบที่พวกรุ่นพี่ๆระดับมืออาชีพในวงการเขามีกัน...ทุกวันนี้มันเหมือนเจือยจางลงเรื่อยๆ เด็กในมหาลัยที่เราเรียนมันมีเยอะเหลือเกินและไร้ความสัมพันธ์กันขนาดที่ว่า...ก็แค่เพื่อนร่วมโลกผู้นึงที่กำลังเรียนอยู่ที่เดียวกัน แค่นั้น...ความสนิทสนมแบบนั้นไม่เหลือเลย

วันนี้และเมื่อสองวันก่อน นั่งดูนั่งฟังพวกพี่ๆเขาคุยกันอย่างสนิทสนมและรำลึกถึงวันวาน
มันช่างให้ความรู้สึกที่แบบ...อบอุ่น เฮฮา สนุกสนาน พอมองย้อนดูตัวเองและสภาพรอบกายแล้วแบบ...ทำไมฉันไม่มีฟิลลิ่งแบบนี้บ้างว่ะ

ถึงจะเสียดายนิดๆ แต่ก็ทำไงได้ ชีวิตคนเรามันไม่มีทางได้มาซึ่งอย่างเดียวกันเสมอไป
(แต่ก็รู้สึกโชคดีนิดๆ ที่ระบบความสัมพันธ์แบบนี้ยังหาได้จากในโรงเรียนที่จบมา *ภูมิใจ*)

เมื่อความรู้สึกเฮฮาสนุกสนานของวันนี้ได้จบลง ทุกอย่างก็กลับสู่สภาพเดิมคือความเครียดกับทางเดินที่ต้องไป

ถึงจะวางแผนไว้คร่าวๆแต่ก็รู้สึกกังวล แน่ละว่าด้วยความเป็นลูกคนเดียว สิ่งเดียวที่กังวลคือ

ฉันจะดูแลพ่อแม่ได้มั้ย ด้วยความสามารถที่ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันของฉันเนี่ย

ลูกห่วยๆคนนี้จะดูแลพวกท่านไปจนตลอดรอดฝังมั้ยนะ

เอาละ ก็ต้องลองดู จะเป็นยังไงก็ต้องสู้กันต่อไป
จะยอมแพ้หรือถอยหลังหนีเหวลึกด้านหน้าก็คงจะไม่ใช่
ต้องลองวัดใจ แล้วกระโดดลงไปสู้กับสิ่งที่รออยู่!!

เอาละ ขอเป็นกำลังใจให้กับเด็กจบใหม่ ทุกท่านที่กำลังเครียดกับอนาคตของตัวเองเช่นเรานะคะ :)

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

อดีตกับเมษาหน้าโง่

วันเมษาหน้าโง่ หรือ April Fool's Day

ก็ไม่แน่ในว่ามันกลายเป็นเทศกาลหรือวันฉลองอะไรสักอย่างไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เอาจริงๆก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าวัฒนธรรมของฝรั่งเขาทำอะไรกันในวันนี้ นอกจากแกล้งคนรอบตัว (ซึ่งจริงๆปกติ ก็เห็นเขากลั่นแกล้งกันอยู่เป็นธรรมดา แล้วฝรั่งก็ไม่ถือโทษโกรธกันเป็นเรื่องใหญ่โต)

และแน่นอนว่า พวกเราชาวไทย ผู้ร่วมเฉลิมฉลองในทุกเทศกาลที่โลกนี้มี ก็สุขสันต์วันโกหกกับเขาด้วย...

ฉันว่ามันเริ่มไปกันใหญ่แล้วแหละ แท้จริงแล้ววันเมษาหน้าโง่นี่มันมีพื้นเพอย่างไร ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับมันก็ยังสับสนอยู่ เชื่อได้หรือไม่ก็ยังต้องคิดกันให้ปวดหัวต่อไป
และโดยส่วนตัวคิดว่าวันนี้มันก็แค่วันนึงที่ฝรั่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นการเล่นสนุก คลายความเครียด ระบายความคับแค้นใจอย่างกับตบที่หัว แล้วลูบหลังปลอบว่า "โอ๋ๆ มันเป็นเรื่อง ล้อออ เล่นน~ น้าาา" 

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็คนไทยคนนึง แน่นอนว่าเคยเล่นสนุกไปกับวันมึนๆนี่เหมือนกัน
แต่มันกลับกลายเป็น "การพยายามจะเล่นสนุก" เสียมากกว่า อาจจะเพราะหลอกใครไม่เก่งมั้ง หรือไม่ก็ปกติเป็นคนไม่ขี้แกล้งขี้หยอก พอทำเป็นเล่นดันโดนหาว่าไม่จริง...สวยตรงนี้แหละค่ะ

ที่เจ็บสุดๆ แน่นอนว่ามุขคลาสสิกมาก นั่นคือ "บอกรักกับคนที่แอบชอบ" จำได้อย่างแม่นยำว่าทำไปสองครั้ง โดนดีทั้งสองครั้งเลยทีเดียว ไปบอกรักบอกชอบเขา ผลที่ได้กลับมาคือเขาไม่เชื่อว่าเราเล่นวันเมษาหน้าโง่ ไม่เชื่อว่าเราหลอกบอกรัก สุดท้ายก็โดนจี้จนโกหกต่อไม่เป็น

เงิบสิคะ จบกันตรงนั้นเลยทีเดียว

หลังจากนั้นก็มีแต่โกหกหยอกล้อเพื่อนเล็กๆน้อยๆ ขำขันกันไป แต่ไม่เคยคิดการใหญ่ในการจะแกล้งพูดอะไรกับใครอย่างนั้นอีกเลย 
เรื่องแบบนี้ควรจะเจ็บแล้วจำแล้วไม่ทำอีกเลยนะ มันไม่ขำสักนิดกับการจะเล่นกับหัวใจตัวเอง (ก็โง่เองน่ะนะเอาจริง)

ยังไงก็ตาม ในทางกลับกันมันก็เป็นวันที่ทำให้คนได้ใช้สติมากที่สุดของปี ใครพูดอะไรมาก็จะไม่เชื่อๆๆๆๆ กันหมด 

ดังนั้นวันนี้ก็ใช้สติกันดีๆ แต่ก็อย่าดีเกินไปจนโดนหลอกบอกความจริงแล้วไปเชื่อละ

นี่มันมากกว่าดาบสองคมแล้วละ ฉันว่าดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆเสมือนวันนี้มันไม่ใช่วันบ้าบออะไรมันก็ไม่ปวดหัวดีนะ

(บ่นอะไรหนอวันนี้)

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

บล็อกแรก...ที่ไม่มีคนเล่นกันแล้ว

ไม่รู้วันนี้คิดอะไร จู่ๆก็เกิดอยากจะเขียนบล็อก หรือเขียนอะไรยาวๆ แต่ไม่อยากเขียนฟิคไปเรื่อยเปื่อย อยากจะเขียนอะไรสักอย่างเหมือนเป็นการระบาย

แล้วก็นึกได้ว่า...

โอ้ มันมี blogger.com ของอากู๋นี่นา...

ไม่ต้องคิดอะไรมาก เราใช่ทุกอย่างของ google อยู่แล้ว ไม่ว่าจะ mail, drive, map หรือแม้กระทั้ง translate
ที่ต้องทำก็คือ!! เข้า blogger.com แล้วก็เริ่มงมโข่งเองทุกอย่าง

สุดท้ายแล้วก็มาติดอยู่ตรงที่ว่า...

...แล้วฉันจะเขียนอะไรละ...

แน่นอน ในโลกที่ตอนนี้ทุกอย่างก็ เสิร์ช กูเกิล แค่ว่า "จะเขียนบล็อกอะไรดี" ก็ได้อะไรมาคิดมาเขียนแล้ว
ทุกวันนี้อะไรก็ดูง่ายไปหมด
ผลจากการค้นหาส่วนใหญ่มีแต่ บอกถึงวิธีการเขียนบล็อกแล้วได้ตังค์ เขียนอย่างไรให้คนอ่าน แรงบันดาลใจในการเขียนบล็อก ก็เปิดอ่านๆไปรวมถึงไปเปิดบล็อกของที่เปิดอยู่ทุกวัน ตั้งแต่บล็อกอัพการ์ตูนแปล ยันบล็อกของคุณ @iannnnn ซึ่งก็พบว่า...มันค่อนข้างจะร้างอยู่นะ แต่ก็พอจะเป็นแรงบันดาลใจได้อยู่

ว่าแล้วก็เปิดด้วยบล็อกแรกเลย สิ่งที่่ถนัดสุดๆคือ "การบ่น" ปกติก็บ่นใส่ทวิตเตอร์อยู่แล้วเป็นประจำ แต่หลังๆเหมือน 140ตัวอักษร จะไม่พอ (คือจริงๆพอแหละแต่เรื่องเยอะ) พอจะไปยาวกว่า 140ตัวอักษร อย่างเฟสบุ๊ค...ก็แหมมมมมมม พ่อแม่พี่น้องญาติโกโหติกาก็เยอะเหลือเกิน ครูบาอาจารย์ก็อยู่กันครบเลยทีเดียว ครั้นจะเขียนใส่สมุดไดอารี่ส่วนตัวก็เมื่อยมือ จะเขียนเป็นไฟล์เก็บไว้ในเครื่องก็ดูรก(และดูบ้า)

ไหนๆจะบ้า จะบ่น ก็ลงสาธารณะมันซะเลย

เป็นไงละ แป๊บเดียวได้ซะยาวเยียด นี่ยังไม่ถึงใจความสำคัญเลยมัวแต่เกริ่นอยู่นั้นแล้ว (ยังไม่เข้าเรื่องหร๊อ!!)

เรื่องของเรื่องมันก็ไม่มีอะไรมาก แค่ตั้งใจว่าจะเริ่มเขียนบล็อก อย่างแรกคือบ่น สังคม สภาพแวดล้อมรอบตัว และอีกอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำคือ เขียนวิจารณ์ภาพยนตร์ ในแบบของเราเอง
ของแบบนี้เขียนในเพจเฟสบุ๊คอะไรแบบนี้ก็ดูจะมีคนสนใจกว่า แต่มันต้องขยันน่ะสิ จะมาเขียนทุกวันขยันสรรหาวิธีเอ็นเตอร์เทนคนในเพจก็ไม่ใช่แนวน่ะ

ดังนั้น คำตอบก็คือสิ่งที่ทำอยู่นี่แหละ!

เหมือนพูดคนเดียวดีแฮะ ชอบๆ ปกติก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว << ลูกคนเดียว เพื่อนน้อย ปกติคุยกับน้องหมาที่บ้าน << ห๊ะ?