วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Aloha (2015)

*อาจเผลอสปอยบ้าง*
Aloha (2015)
Directed by Cameron Crowe
Cast: Bradley Cooper, Rachel McAdams, Emma Stone, Bill Murray, John Krasinski and Alec Baldwin

เรื่องราวของ Brian Gilcrest(แสดงโดย Bradley Cooper) ทหารอากาศมีชื่อเสียง ผู้ไต่ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของอาชีพในโปรแกรมพิเศษของ US Space ที่โฮโนลูลู ณ ฮาวาย เขาพยายามจุดไฟกับรักเก่า(ซึ่งคือ Rachel McAdams) ที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหลายปี ทว่าดันไปตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับทหารอากาศท้องถิ่น Allison Ng(แสดงโดย Emma Stone) สาวช่างจ้อที่ถูกมอบหมายให้ทำงานคู่กับ Gilcrest ระหว่างที่เขามาฮาวาย ซึ่งเสี่ยงต่อจุดตกต่ำของอาชีพแบบสุดกู้เมื่อเขาถูกกองทัพอากาศจ้องเล่นงานอยู่

เอาจริงๆเรื่องย่อนี่ไม่แน่ใจว่าถูกหมดใหม่นะ คือเล่าเท่าที่เข้าใจประกอบกับไปเอามาจากที่เว็บ IMDb เขียนไว้ด้วย ถูกผิดอย่างไรขออภัยไว้ก่อนละกันนะ

นี่เป็นหนังที่ทดลองดูแบบ ทำงานไปดูหนังไป เนื่องจากไม่มีเวลาว่างจะนั่งดูนิ่งๆนานๆ ไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม (ไม่แม้แต่จะหาเวลาไปดูในโรง) นับเป็นโปรแกรมทดลองใหม่ ที่จะดูว่าฉันสามารถดูหนังรู้เรื่องมั้ย ผลที่ได้คือดูรู้เรื่อง...บ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ฮ่าๆๆๆๆ

ดังนั้น อย่างที่กล่าวไป ผิดพลาดขัดใจสิ่งใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย >/\<

แต่หลักๆแล้ว ด้วยความที่มันเป็นหนังรอม-คอม ดูง่ายสบายสมอง ที่ถ้าไม่เข้าใจ ย้อนกลับไปสักสองสามนาทีก็พอจะเข้าใจ (ย้อนหลายหรอบอยู่) ภาษาไม่ยากมาก (ไม่นับภาษาทางการทหาร ที่แบบ...หื้อ แกพูดอะไรกัน...) สรุปแล้วคือพอจะดูรู้เรื่องและสามารถบ่นได้บ้างฮ่าๆๆ

จริงๆหลักๆที่จะบ่น ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรอก
จะลองพิสูจน์ดูมากกว่าว่า ดราม่าที่เขาโวยวายจนผู้กำกับ Cameron Crowe ต้องออกมาขอโทษขอโพย ว่าด้วยเรื่องการแคสนักแสดงอเมริกันผิวขาว มาเล่นเป็นชาวฮาวายอเมริกันลูกครึ่งเอเชีย มันเป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้อย่างโง้นงี้งั้น อยากจะบอกว่ามันก็มีทั้งดีและไม่ดีนะ จากที่ดูในหนังแล้ว
ข้อไม่ดีคือ: มันไม่ให้ความรู้สึกว่านางเอกเป็นคนฮาวายเลยจริงๆ ไม่สมกับที่นางบอกเลยว่าพ่อนางเป็นลูกฮาวายลูกครึ่งเอเชีย และดูจะอ้างว่าได้เชื้อแม่ที่เป็นสวีเดนมามากกว่า(มีให้เห็นรูปพ่อแม่ด้วย) นอกจากมันจะทำให้คนดูไม่เชื่ออย่างสนิทใจในบทบาทของเธอ (ยิ่งกับใครก็ตามที่รู้ว่าหน้าต่างของคนจริงๆที่ถูกนำมาเป็นคาแร็กเตอร์นั้นหน้าต่างเป็นยังไงน่ะนะ) มันทำให้ดูเหมือนว่า Emma Stone เป็นอเมริกันผิวขาว ที่เติบโตในแถบนี้จนกลายเป็นคนพื้นเมืองเสียมากกว่า
ข้อดีก็คือ: Emma Stone แสดงดี ในบทบาทของเธอ บทอารมณ์ บทรัก บทช่างพูด คือก็สมแล้วที่นางเล่น ดูน่ารักปนน่ารำคาญ และก็สวยในบางอารมณ์​(เวลาใส่เครื่องแบบเท่ๆน่ะนะ)

ถ้าไม่สนดราม่าดังที่กล่าวมา จริงๆเรื่องนี้ก็เป็นหนังรอม-คอม อารมณ์ดีที่ดูจบแล้วก็ฟิลกู๊ดไปอีกแบบ มุกตลกบางมุกก็สมกับความเป็นหนังรักสไตล์นี้ดี ยิ่งมุกที่แค่ความเงียบก็เข้าใจ(ใช้ภาษากายแทนคำพูด) อันนี้คือฮาสุด ยิ่งตอนท้ายที่พระเอกคุยกับสามีของแฟนเก่า(มีซับให้อ่านด้วย)
นอกจากฮาก็มีฉากซึ้งด้วย อันนี้แทรกอยู่ในทุกจังหวะของหนัง เฉพาะโมเม้นระหว่างพระเอก-นางเอก หรือ พระเอกกับครอบครัว ฉันว่าอันนี้ดีงามมาก เป็นจังหวะอารมณ์แทนคำพูดหลายล้านคำ ที่ไม่ต้องหาคำบรรยายหรือไม่ก็ให้อิสระกับคนดูในการคิดคำบรรยายขึ้นมาเอง

อย่างนึงที่ชอบคือ หนังสวยมาก ถ่ายทอดความเป็นฮาวายผ่านฉากหลังได้ดี แสงสีของธรรมชาติ เครื่องแต่งกาย อะไรแบบนั้น ให้อารมณ์ความเป็นฮาวายดี เอาเป็นว่าดูแล้วไม่ตะหงิดใจในส่วนนี้ (เท่าดราม่าเรื่องตัวละครของ Stone น่ะนะ)

นอกเหนือจากที่พูดมานั้น...หนังก็ไม่ค่อยมีอะไรไปจากตัวอย่างที่ยิงไปช่วงโปรโมตหนังเท่าไหร่หรอก จริงๆถ้าเทียบกับงานเก่าของ Cameron Crowe อย่าง Jerry Maguire (1996), Almost Famous (2000) หรือ We Bought a Zoo (2011) คือเรื่องนี้สู้เรื่องที่กล่าวมาไม่ได้สักเรื่อง ความสนุก โมเม้นเจ๋งๆพีคๆ ไม่ค่อยมีอ่ะ...ก็มี แต่ไม่พีคเท่า เอางี้ดีกว่า (ฉากพระเอกกับสามีแฟนเก่าคือเจ๋งอยู่ ชอบมาก)

เอาล่ะ ไม่ได้เขียน "ดูแล้วบ่น" นานแฮะ
รวมๆแล้ว หนังดี เหมาะแก่การดูเรื่อยเปื่อย ฟิลกู๊ด ดูจบแล้วอารมณ์ดี บันเทิง
แต่ไม่สนุกเท่าที่คาดหวัง และไม่พีคมากมายอะไร

เอาไป...
6/10
เรียกได้ว่าผิดหวังนิดหน่อย แต่ให้เกินครึ่งจากเรื่องมุกมองตาก็เข้าใจ ชอบๆ ฮ่าๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เที่ยวง่อยง่อยสไตล์: เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์"

**คำชี้แจ้ง** : บล็อกนี้ใช่เวลาเขียนนานมาก เนื่องจากลืม/ไม่ว่างซะที เลยเขียนตามแต่เวลาว่างวันละนิดยังมีรูปบางรูปจากกล้องฟิล์มยังไม่ได้ลงด้วย อาจมีการอัพอีกครั้งในภายหลัง

***อัพเดทล่าสุด*** : มาเพิ่มรูปจากกล้องฟิล์ม ที่!! เพิ่งจะได้ฟิล์มกลับมาจากการล้าง (ส่งไปอาทิตย์นึง) อย่างที่บอกว่าถ่ายมาไม่เยอะเลย ทีละรูปสองรูป บางทีก็ไม่ถ่าย นั้นเพราะลืมว่าห้อยกล้องไว้กับคอ กับ มันไม่รู้จะถ่ายอะไร ฮ่าๆๆ

โอกาสนี้ก็ขอเปิดช่วงใหม่ "เที่ยวง่อยง่อยสไตล์"
ไม่ใช่บล็อกแนะนำเที่ยวหรืออย่างใด แค่บันทึกประสบการณ์เล็กๆที่ไปเที่ยวทริปสั้นๆ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรในการไปเป็นพิเศษ นอกจากแค่อยากจะพักผ่อน นั่งนิ่งๆ ไม่กังวลอะไร หนีบรรยากาศเมืองและสภาพการจราจรในกรุงเทพบ้าง แม้ว่าทริปเที่ยวอาจจะแค่ ไปนอนพักเล่นในโรงแรม ก็เถอะ ฮ่าๆๆ
จริงๆก็ไม่ได้ไปนอนอืดเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์แบบสรุปง่ายๆ(ทั้งที่อธิบายมายาวขนาดนี้ก็คือเปลี่ยนบรรยากาศแหละค่ะ
และตั้งแต่ใช้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมา แทบจะเรียกว่าไม่ได้เที่ยวไหนเลย (ดูหนัง เดินห้าง ไม่ได้เรียกว่าเที่ยวนะจ๊ะ เหนื่อยอีกต่างหากแย่งกันกินแย่งกันจอดรถ) จะมีก็ไปทะเลกับเพื่อนทริปสั้นๆทริปเดียว ซึ่งก็ไม่ได้บันทึกอะไรเพราะกะจะไปสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ได้เก็บบรรยากาศ แถมโลกนี้ช่างโหดร้าย เป็นหวัดไซนัสกำเริบตลอดทริปเลยจ้ะ /ปวดใจระดับ10 (ยังมิวายลงเล่นน้ำอีกแน่ะ)
หลังจากนั้นก็มีไปส่งเพื่อนเรียนต่อที่บินไกลไปลอนดอน ตอนั้นก็หันไปพูดกับเพื่อนอีกคนว่า
"อยากมีอารมณ์แบบหิ้วกระเป๋าเข้าเกท ขึ้นเครื่องบินบ้างอะไรบ้างแฮะ"

จากนั้นเลยเริ่มว่างแผนเที่ยวรอบหน้ากับเพื่อนนี่แหละ

ซึ่งก็บังเกิดเป็นทริปนี้!!! (ที่มาโคตรยาว)
*เสียงรัวกลอง*

เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์" ไลฟ์ ไลฟ์~!!!

ดีเทลของทริป: วันที่ 9 - 11 ตุลาคม (ไปศุกร์-กลับอาทิตย์) / นั่งรถไฟไป - นั่งเครื่องบินกลับ
เป้าหมาย: ไม่มีอะไรเลย ประเด็นแรกคือ เพื่อนอยากนั่งรถไฟยาวๆ และฉันเองก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศพักผ่อน เลยจัดกันให้สุด นั่งไปเชียงใหม่กันซะเลย
นัดวันไปกันเรียบร้อย จากนั้นก็...
1. จองตั๋วรถไฟล้วงหน้า60วัน / คนละ 640 บาท
2. จองตั๋วเครื่องบินถูกๆ กลับค่ำๆหน่อย(เนื่องจากวันอาทิตย์มีงานสั่งน่ะ เว้นเวลาทำงานนิดนึง) / ได้ตั๋วคนละ 1,288 บาท (ถูกมั้ยไม่รู้ ไม่น่าจะเรียกว่าถูก แต่ทำไงได้ละนะ)
3. จองโรงแรมแบบ 2 คืน มีอาหารเช้า / รวมแล้วก็คนละ 1,000 บาท
4. ไม่ได้แพลนอะไรเลย แต่เพื่อนเห็นตั๋วสวนสัตว์เชียงใหม่มีโปรโมชั่น พร้อมเที่ยวอควาเรียม เลยซื้อไว้ คนละ 159บาท
รวมแล้วทริปนี้ 3,087 บาทนะเจ๊ะ
เอาแบบพอดีๆเอาแบบสบายๆ ก็นับว่าเป็นราคาที่เด็กจบใหม่เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างฉันสามารถเตรียมพร้อมก่อน 2เดือน และหักเงินช็อปปิ้งไปใช้จ่ายวันเที่ยวได้ (อยากเที่ยวแต่บ่มีทุน) รวมแล้วก็พกเงินไปราวๆ 4-5พัน ที่เป็นงบช็อปปิ้งนั่นแหละ

เอาล่ะ อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้วางแผนล้วงหน้าสองเดือน ระหว่างสองเดือนที่ผ่านไปเรื่อยๆนี้มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นด้วย มันเป็นโมเม้นของการสูญเสียคนสำคัญในชีวิตที่รักมาก ชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนทุกอย่างใหม่และยังไม่เข้าที่เข้าทาง ทำให้แวบนึงก็รู้สึกไม่ดีที่จะต้องไปเที่ยว แต่คือ...มันยังไงล่ะ วางแผนไว้แล้ว จะยกเลิกก็ไม่ใช่นะ
เพราะงั้นเที่ยวทริปนี้จึงเป็นทริปฟื้นฟูจิตใจไปด้วยในตัว (นับว่าดีทีเดียว พักสมองได้ดีมาก)
ดังนั้นสิ่งที่เตรียมไปนอกจากเสื้อผ้าของใช้จำเป็นแล้ว ก็มีแค่...




กล้องฟิล์ม Nikon FM10 คู่ใจ(ที่จิ๊กแม่มาอีกที) คือมีความรู้สึกว่ากล้องดิจิตอลมันง่ายไป กดชัตเตอร์ ถ่ายๆๆๆ ภาพมันดู...ไม่มีความหมายเลย เหมือนถ่ายส่งเดช ตอนนี้เลยคิดแต่จะใช้กล้องฟิล์ม ไว้เก็บภาพแบบช้าๆค่อยๆปรับแสงปรับโฟกัส ชิลๆ ไม่รีบ คิดทุกภาพว่าจะถ่ายยังไง ทุกชัตเตอร์ที่กดคือคิดแล้วคิดอีก เพื่อไม่เปลืองฟิล์ม เพื่อให้ทุกภาพมันมีความหมาย /ส่วนอื่นก็เอากล้องมือถือถ่ายไปค่ะ (...นี่ตูคิดอะไรเยอะไปหรือเปล่า...ใช่ เยอะไป ฮ่าาาาๆๆๆ)

อีกอย่างคือ หนังสือนิยาย Pines เล่มแรกของซีรี่ส์ Wayward Pines ซื้อดองไว้หลายเดือนแล้ว ไม่มีจังหวะจะอ่านซักที เลยหยิบมันมาอ่านบนรถไฟนี่แหละ ซึ่งเหมาะมาก (อย่าถามว่าสนุกมั้ย ยังอ่านไม่จบเลยเถอะตอนนี้ โดนขัดจังหวัง เผลอซื้อการ์ตูนมาเลยพับปิดไปบ้าง จัดบ้าน ต่อหุ่นยนต์ และอื่นๆ ฮ่าาา)



และแล้วก็มาถึงวันเดินทางวันแรก 09/10/2015
ฝนเทแต่เช้าเลยจ้า รถไฟออก 8.30 ไปก่อนเวลาสักหน่อยเลยติดสอยนั่งแท็กซี่ไปทำงานของแม่ไปลงหัวลำโพง เปียกปอนชื้นแฉะเข้าสถานีรถไฟไปท่ามกลางฝูงคน...คือเช้าขนาดนี้แต่คนยุบยับมาก เป็นสถานที่ที่ไม่เคยร้างผู้คนเลยจริงๆสินะ... โอเค เจอเพื่อนแล้ว เพื่อนหิว เพื่อนกินข้าวเช้า นั่งคุยรอเวลา 8โมงไปยืนเคารพธงชาติในโถงสถานีร่วมกับคนอื่น(จริงๆคือกำลังเดินไปชานชาลา)


ชานชาลาเปียกชื้น จากทั้งฝนและละอองน้ำที่
พนักงานกำลังล้างภายนอกรถไฟ
ภาพห่วยแตกระดับกากแดนมาก
เนื่องจากมือนึงถือกระเป๋าหิ้ว(เสื้อผ้า) หลังแบกเป้(ของใช้และคอม)
เดินตัวโยนไปมามองหาขบวนของตัวเอง มืออีกข้างก็พยายามจะถ่ายรูป
มันจึงออกมาได้...มัว เบลอ เช่นนี้
แต่นี่เป็นภาพเดียวที่มี ฮ่าาาา /น่าทุเรศใจยิ่งนัก
(จริงๆมีภาพชานชาลากลางดีๆนะ ยืนเล็งอยู่ตั้งนาน แต่มันอยู่ในกล้องฟิล์ม...ที่ยังไม่ได้ส่งล้างเลอะ)
*ตรงนี้อาจมาอัพเพิ่มเมื่อได้รูปนะ*

รูปชานชาลาจากกล้องฟิล์มมาแย๊วววว
คือมันขาดมุม เนื่องจากเป็นรูปแรกของม้วนฟิล์ม
ซึ่งนับเป็นรูปลองกด ดังนั้น...มันจึงเป็นเช่นนี้ ฮ่าๆๆ

เจอรถไฟของตัวเองแล้ว (ตามรูปก็ขบวนที่อยู่ทางขวา สีฟ้าๆนั่นแล)
ขบวนที่7 สายกรุงเทพ-เชียงใหม่
รูปไม่ต้องใหญ่มากเนอะ
มันก็ไม่ได้หวือหวาอะไร
ขึ้นมาวางกระเป๋า จัดแจงที่นั่งกันเรียบร้อย นี่เป็นรถด่วน มีแอร์ นั่งตลอดสาย(ก็ปรับนอนได้เอนได้นิดหน่อยแหละว่ะ) คับแคบตามสไตล์ แต่แอร์เย็นราวกับมีไว้ให้เพนกวินใช้บริการ ห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง น่าจะรู้กันดี เงางาม วิ๊บวั๊บ ลมโชยกลิ่นติดตรึงความทรงจำ คลายหนาวได้เล็กน้อยเวลานั่งนานๆ (ใครเคยขึ้นน่าจะรู้) ที่กล่าวมาทั้งหมดในส่วนนี้...กรุณาคิดเองตามสภาพว่าชมหรือไม่

คือแบบ นี่ประสบการณ์ใหม่จริงๆนะ ไม่เคยขึ้นรถไฟไทยเลยจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้24ปีเนี่ย บอกตรงๆว่าตื่นเต้น ฮ่าๆๆๆ
(เครื่องบินก็เคยแค่ครั้งเดียว ทริปนี้ขากลับจะเป็นครั้งที่สอง)

และแล้วววว 8.30 รถไฟก็ออกตัวววว
คือเชื่อว่า หลายคนน่าจะเห็นจนชินตากับภาพเมือง แต่ก็น่าจะมีบางคนที่เป็นเหมือนฉัน รถไฟไม่ใช่อะไรที่จู่ๆก็จะมานั่ง ถ้าไม่ไปเที่ยวหรือไปไหนสักแห่งด้วยรถไฟจริงๆ (เห็นเพื่อนบางคนก็ไปหัวหินด้วยรถไฟไรงี้) และจากมุมมองของฉันที่ไม่เคยนั่งรถไฟแล้ว
บรรยากาศข้างนอกนี่ ดูดีสุดๆไปเลย อย่างกับในหนังญี่ปุ่นหรือการ์ตูนญี่ปุ่นที่มันแบบว่ามีฉากริมทางรถไฟ มีตึกเก่าๆข้างหลังอะไรแบบนั้น (มโนไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่มั่นใจว่าของญี่ปุ่นดูมีระเบียบกว่านี้เยอะ) นี่พอถ่ายรูปออกมา มีฝนเกาะหน้าต่างนิดๆ (แต่งสีหน่อย) คือแบบมันใช้มากนะ ชอบโมเม้นนี้สุดๆ
น่าแปลกใจดีที่อยู่กรุงเทพมาทั้งชีวิต บ่นรถติดเวลารถไฟมาแทบทุกครั้ง บรรยากาศตึกรามบ้านช่องมันก็เดิมๆนี่แหละแบบที่เห็นเวลามองออกมาจากหน้าต่างรถปกติ แต่พอย้ายก้นมานั่งในรถไฟ ละมันเปลี่ยนฟิลได้เหมือนกันนะ

บนรถไฟเท่าที่เห็น ไม่มีคนอายุเท่ากันเลย คือแบบตั้งแต่หัวลำโพงจนถึงสถานีเชียงใหม่ ตลอดทางก็มีคนขึ้นลงไปเรื่อยนะ (มีคนที่นั่งยาวๆแบบเราสองคนแค่ 1-2คนไทย และ 2-4คนนักท่องเที่ยวต่างชาติ) ดูรวมๆแล้ว มีผู้สูงอายุ 3 คน วัยกลางคนหน่อยๆ(คงน่าจะสัก30-40ต้นๆ) ไม่งั้นก็เป็นเด็กวัยเรียน กับเด็กเล็กที่มาพร้อมกับพ่อแม่ลุงป้าน้าอา
เรียกง่ายๆว่าไม่มีคนวัยพวกเราอุตรินั่งรถไฟเป็นชั่วโมงๆ หรือถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือหนึ่งวันเต็ม แบบพวกเราหรอก ฮ่าาๆๆๆ

สิ่งนึงที่เห็นแล้วก็ก็เกิดฟิลที่เข้ากับรถไฟไทยเก่าๆบรรยากาศเดิมๆที่ไม่น่าจะเคยเปลี่ยนเลยเป็นเวลากว่า10ปีของรถไฟไทย(หรืออาจจะเกินกว่านั้น) คือลุงๆป้าๆที่นั่งหน้าเราไปประมาณ 3-4 แถว พวกแกคุยกันตลอดทางแบบไม่เหน็ดเหนื่อยเลยนะ คุยเรื่องวันวานลูกหลาน ญาติมิตร ใครป่วยใครตายใครแต่งงานใครมีลูกมีหลานเพิ่ม อะไรงี้กันไปเรื่อยยย (อีนี่ก็ฟังได้สักพักก็เริ่มเข้าสู่โลกส่วนตัวแหละ) กลุ่มนี้เขาเหมือนนัดไปไหนกันนะ มีสามคนแรกขึ้นที่หัวลำโพง อีกสองและสามคนมั้ง ขึ้นตรงสถานีกลางทางหน่อยๆแล้ว แถวขนานถนนวิภาวดีน่ะ (แล้วเขาก็ลงกันไปตอนไหนไม่รู้ไม่ได้ดู ฮ่าๆๆ)
ที่ชอบคือแบบ มีการส่งรูปถ่ายให้ดูกันด้วย ละรูปขาวดำสีซีเปียอ่ะ หัวข้อประมาณว่า
"นี่ๆ เธอจำคนนี้ได้มั้ย"
"นี่ๆ คนนี้ไงที่มีลูกทำงานอยู่นอก"
เป็นฟิลที่น่ารักดีนะ ชอบนะ แอบเผลอยิ้มนิดๆเลย

มาเข้าเรื่องการผจญภัยกันต่อ
(ซ้าย)ขนมปังไส้ถั่วกับกาแฟ
(กลาง)คือไม่มีอะไรระหว่างมื้ออ่านหนังสืออยู่วิวกับแสงสวยดีเลยถ่ายเล่น
(ขวา)ข้าวสวย-แกงเผ็ดไก่-ไข่พะโล้

บนรถไฟมีแจกอาหารเที่ยง1มื้อ ของว่างรองท้อง2มื้อ อย่าถามถึงความอร่อยของสองรูป(ซ้าย ขวา) ด้านบนนี่ เอาเป็นว่ากินได้ อิ่มดี ไม่อดตาย

แต่ไอ้ที่อร่อยของจริงน่ะ อยู่นี่!!

มันคือไรไม่รู้อ่ะ แป้งพาย ไส้ครีมหวานๆ หน้าซองเขียนขนมจีบยิ้ม แต่คือไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งใด มันอร่อยโคตรๆ อยากจิขอพี่เขาอีกแต่เกรงใจเลยกินเสร็จแบบเงียบๆแล้วนั่งอ่านหนังสือต่อไปอย่างสงบ

ระหว่างทางก็อ่านหนังสือบ้าง เล่นมือถือบ้าง ฟังเพลงเฉยๆนั่งชมวิวมองไปนอกหน้าต่างเฉยๆบ้าง แลดูเหมือนน่าเบื่อ แต่จริงๆไม่เบื่อเลยนะ มันเพลินดี เริ่มเนือยก็หลับ ตื่นมาก็วนลูบกิจกรรมเดิม เป็นการพักสมองที่ดี

วิวข้างทางดีๆปลอบโยนสมอง
อันนี้ก็วิวเดียวกับข้างบนนะ แค่ถ่ายต่อมานิดหน่อย นี่แต่งสีให้มันจัดแล้วสวยดี อย่างกับฉากในหนัง
ขึ้นเหนือมาได้พักใหญ่ (ใหญ่มากด้วย ตะวันจะลับฟ้าละ)
ฝนก็ตก
มโนมากไปมั้ยไม่รู้ รู้แต่ช็อตนี้แอบนึกถึงแฮร์รี่เจอผู้คุมวิญญาณ
มีหมอก มีฝน และหนาวเย็น
ฮ่าๆๆๆๆ
จริงๆระหว่างทาง ทุกๆสถานีรถไฟที่แวะ เราแชะภาพริมหน้าต่างที่เรานั่งมาด้วยนะ มีผู้คนบ้าง มีหมาบ้าง(ถ่ายมาหรือเปล่าหว่า) แต่ละสถานีก็จัดรูปแบบต่างกันออกไป แต่รูปพวกนี้น่ะ อยู่ในกล้องฟิล์มน่ะ คงอีกพักใหญ่กว่าจะมาลงได้ (เนื่องจากไม่ได้เอาฟิล์มไปล้างซะที ฮ่าๆๆ) ยังไงก็คงจะมาอัพทีหลังแหละนะ

และรูปจากชานชาลาต่างๆก็มา!
คืออยากจะบอกว่า จำไม่ได้ว่าถ่ายจากจังหวัดหรือชานชาลาอะไรบ้าง ฮ่าๆๆๆๆ




ชอบภาพนี้ ให้อารมณ์แบบเก่าๆ ทั้งสีทั้งสถานที่
คลาสสิกดี

พอข้างนอกมืดค่ำไม่เห็นอะไรเลยยกเว้นแสงไฟในเมืองเวลาผ่าน(เช่นลำปาง จำได้แค่นั้นเพราะเห็นรถม้าแว๊บๆ) หรือแสงไฟเวลาแวะสถานีรถไฟเล็กๆ (ที่บรรยากาศโคตรหลอน มีคนลงแค่คนเดียวไรแบบนั้น)

สรุปแล้วพวกเราเดินทางมาถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ2ทุ่มกว่าเกือบ3ทุ่ม รวมแล้วนั่งรากงอกอยู่บนรถไฟเป็นเวลา 13 ชั่วโมง คือแบบเปลืองเวลาชีวิตมาก หมดไปหนึ่งวันเต็มๆกับการเดินทาง แต่เอาจริงๆนะ มันรู้สึกดีสุดๆ สบายสมอง นั่งพัก นิ่งๆ ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องเล่นโซเชียลเพราะบางทีสัญญาณอินเตอร์เน็ตมันก็ไม่ได้ตามเราทันเวลาวิ่งบนป่าเขา โนเซอร์วิสด้วยซ้ำบางจังหวะ(เอ นี่ฉันใช้บริการโทรที่โฆษณาว่าโทรได้ทั่วไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเปล่านะ)
ซึ่งนับว่าสนองความอยากได้ดี เพื่อนอยากนั่งรถไฟ อ่ะจัดไป อีนี่อยากพักนั่งนิ่งๆเปลี่ยนบรรยากาศ นี่ไง สมใจอยาก

ต่อรถแดงเข้าพักโรงแรมกันสักหน่อย โรงแรมที่พักล็อบบี้อย่างสวย แต่โถงหน้าห้องอย่างหลอน ไม้สีเข้มเก่าๆแกะสลัก พรมสีแดง กลิ่นเก่าหน่อยๆของไม้ตีจมูกเบาๆ ไฟโลว์ไลท์สุดๆ มองไปสุดทางเดินคือหลอนสุด มีทางแยกข้างลิฟต์เป็นบันไดขั้นน้อยๆลงไปยังห้องพักบางส่วนด้วย (ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำต่างระดับทำไม หรือห้องฝั่งนั่นจะใหญ่กว่าก็ไม่รู้) พอวางกระเป๋าเสร็จความหิวก็เข้าเล่นงาน เลยตัดสินใจเดินออกจากโรงแรมไปยังถนนไนท์บาซากัน เจอร้านอาหารสไตล์ฝรั่ง เลยจัดกันไปคนละจานใหญ่ๆ เบอร์เกอร์เนื้อที่กินคือแบบอร่อยสุด น่าจะเพราะหิวจัดด้วย กินหมดเลย ฮ่าๆๆ (ของเพื่อนเป็นไวท์ซอสเบาๆ)


อิ่มอืดหนังพุงบวมก็แบกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเดินกลับโรงแรมกัน แล้วก็หลับเป็นตายกันในทันที ไม่มีอาการไม่ชินถิ่นใดๆทั้งสิ้น ฮ่าๆๆๆ

อยากจะบอกว่าหลังจากวันแรกนี่แล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยจริงๆ
(รูปบางรูปก็เริ่มไปสิงในกล้องฟิล์มละ มือถือเริ่มไม่มีบทบาท)

เช้าวันถัดมา(10/11/2015) ก็ตื่นลงไปหม่ำอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้กันตามปกติ เสร็จก็เดินออกไปเจอตุ๊กตุ๊กจอดอยู่เลยขึ้นซะเลย มุ่งหน้าไปสวนสัตว์เชียงใหม่ตามที่ซื้อตั๋วโปรโมชั่นกันไว้ก่อนจะเที่ยวไหนต่อหรือไรค่อยว่ากัน (ก็กะจะอยู่แค่ช่วงเช้าแหละ) พอลงหน้าประตูสวนสัตว์เชียงใหม่ พี่คนขับตุ๊กตุ๊กเขาก็แนะนำว่าถ้าเดินขึ้นเนินนี่ไปหน่อยประมาณ300เมตรก็จะถึงทางเข้าน้ำตกห้วยแก้ว (พี่เขาเห็นฉันหิ้วกล้องมาด้วยก็เลยแนะนำ เหมือนว่า "น้ำตกสวยนะไปถ่ายรูปสิ" อะไรทำนองนั้น) งานนี้เราสองคนเลยตกลงกันว่าอยู่สวนสัตว์จนพอใจก็จะไปน้ำตกกันต่อ

ไปด้วยตุ๊กตุ๊ก
(เจ้าคันที่ว่าจอดอยู่หน้าโรงแรม และแนะนำเรื่องน้ำตกนั่นแหละ)
ละก็กลับด้วยรถแดง
(จริงๆคือนี่ถ่ายขาไปน่ะแหละ ถ่ายจากบนตุ๊กตุ๊ก)
สำหรับในสวนสัตว์ ก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก จริงๆนะ ไม่มีเลย มันก็สวนสัตว์เชียงใหม่ตามปกติ ในเช้าวันเสาร์ที่คนยังไม่เยอะ มีทัวร์เด็กจากโรงเรียนกรุ๊ปนึง ครอบครัวเล็กๆเด็กสี่ห้าคนบ้าง มีฝรั่งประมาณสองครอบครัว หนุ่มสาวเป็นคู่อีกสองคู่ เป็นเช้าในสวนสัตว์ที่เหงาหงอย
(สองแถวบน) ปลาน้อยใหญ่ในอควาเรียม เจ้าตัวใหญ่นั่นหน้าตลกดี
(แถวสาม) ดาราประจำสวนสัตว์ ช่วงช่วง-หลินฮุ่ย...คือฉันมาเยี่ยมแกไกลมาก แต่แกหลับ
(แถวสี่) หมีโคอาล่าที่ตอนแรกหลับละก็ตื่นมากิน กับคุณอุรังอุตังเบื่อโลกที่เรียกแล้วก็มองนะ แต่ก็ทำท่างี้แหละ...
เราเข้าไปในอควาเรียมกันก่อน ใหญ่โตดี ปลาน้อยใหญ่ก็เยอะใช้ได้ มีงูมีกบมีสลาแมนเดอร์ให้เห็นหน่อยนึง มีอุโมงน้ำ เต่าทะเลยักษ์สามตัวคือแบบตัวอย่างใหญ่และน่ารักมาก ประมาณนี้
ส่วนนี้ของสวนสัตว์เหมือนจะเพิ่งเปิด กลิ่นยังใหม่ๆอยู่ และขอแนะนำใครก็ตามที่จะไป(นี่จะเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรในนั้นมาเลยยกเว้นปลาในตู้ดังรูปด้านบน)
กรุณาไปในรอบที่คนเยอะๆหน่อยก็ดีนะ
คือเรากับเพื่อนเข้าไป...น่าจะเรียกว่าสองคู่แรกมั้ง คือแบบ...มันไม่มีคนเลยตลอดทาง มืดก็มืด เงียบก็เงียบ กลิ่นก็แปลกๆชวนอึดอัดตลอดทาง ประเด็นคือเงียบมากมืดมาก มีสวนนึงที่เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ฉันอยากจะถามว่าทำแมงมุมทารันทูล่ายักษ์แปะไว้ข้างฝาทำไมคะ! คือตกใจ คือผวา ฉันนึกว่าฉันป๊ะกับแมงมุมอาราก็อกของแฮกริดที่ถูกสตาฟไว้ (คือเพื่อนไม่ตกใจแมงมุมนะ เพื่อนตกใจฉันที่ฉันตกใจแมงมุม ฮ่าๆๆ)
สรุปแล้วเราสองคนก็เดินชมอควาเรียมกันด้วยเวลาที่รวดเร็วมาก เดินดูผ่านๆ เจอบางตู้น่าสนใจก็หยุดดูหน่อย แล้วก็รีบเดินต่อ โดยไม่พูดอะไรกันเลยตลอดทาง ไอ้เราก็นึกว่าเรากลัวไปเองคนเดียวละเพื่อนเป็นคนเยือกเย็นไม่เกรงกลัวสิ่งใด เปล่าเลย ออกมาเจอบรรยากาศด้านนอกและแสงแดดต่างคนก็ต่างถอนหายใจ และหันมาพูดกันว่า "ข้างในแม่งน่ากลัวชิบหายเลยว่ะ"
...นี่ฉันเข้าอควาเรียมหรือบ้านผีสิงคะ ตอบ!

เสร็จจากอควาเรียมก็ไปเยี่ยมหมีแพนด้า เราวาดฝันว่าเราคงจะได้เห็นมันกำลังกิน กำลังขยับตัวทำอะไรสักอย่าง แต่ก็...อย่าหวังอะไรกับหมีผู้กินกับนอนเลย แรนด้อมมาเจอมันนอนเลยมั้ยละ หลับสบายกันเชียว ทั้งช่วงช่วงและหลินฮุ่ย พวกเรากะว่าไหนๆก็เข้ามาแล้ว ยืนรับแอร์เย็นๆกันไปก่อน แชะรูปเล็กน้อย ละค่อยกลับออกไป มีโมเม้นลุ้นกันทั้งโถงทางเดินเลยทีเดียว(มีเด็กนางนึงตะโกนเรียกแม่ "แม่ๆหมีขยับแล้ว!") เมื่อหลินฮุ่ยขยับ!! มันเดินตั้มเตี้ยมเหมือนจะลงมาจากหน้าผาของมัน แต่เปล่า มันไปทิ้งตัวลงที่ขอบผาและหลับต่อ(ตามรูปแถวสามด้านขวา) ฉันพยายามหาว่าเด็กนางนั้นเขาทำหน้ายังไงเมื่อเห็นมันนอนต่อแต่ไม่เจอ มีครอบครัวฝรั่งยืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆเหมือนกัน เหมือนว่าคุณพ่อแกพยายามจะถ่ายหมีขยับ แต่สุดท้ายมันนอน แม่ลูกเลยหัวเราะกันคิกคัก
ช่วงช่วงก็เหมือนกัน นอนบนแคร่ไม้ไผ่หันหน้าอยู่ดีๆ(ตามรูปแถวสามด้านซ้าย) จู่ๆมันก็ขยับ! พลิกตัวหันหลังให้...แหมะ น่ารักกันจริง

สุดท้ายพวกเราก็ออกมาจากดินแดนหมีแพนด้า แวะซื้อไอติมกันข้างหน้านิดนึง แล้วก็เห็นว่ากรงฝั่งตรงข้ามเป็นกรงสิงโตขาว​ (ถ้าสิงโตขาวไม่เรียกว่าสิงโตเผือกนะจ๊ะ เขาเรียกกัน White Lion เอกลักษณ์คือขนสีขาวทั้งตัว จมูกชมพู ตาสีฟ้าหรือสีเทาอ่อน) แล้วสิ่งนึงก็ทำฉันฉงน มีมนุษย์เด็กอยู่ในกรงสิงโต! เราสองคนข้ามถนนไปดู ปรากฎว่าเป็นเด็กเข้าไปกับพ่อที่เป็นคนดูแล และกำลังยืนเล่นอยู่กับฝูงลูกสิงโตขาว โคตรรรร น่ารักเลย (ถ่ายไม่ได้เลยด้วย กล้องเลนส์ธรรมดาไม่ซูม มือถือก็ไม่สามารถ ไกลเกิน) ดูความน่ารักจนพอใจ ก็เดินเลยไปกรงอื่น...ไม่เจออะไรเลย นอกจากสิงโตหนุ่มยืนคำรามอยู่ริมกรง(คำรามใส่กำแพงนะ คาดว่าคงเล่นกับเพื่อนที่อยู่ข้างใน)

นี่คือ คุณอุรังอุตัง ที่ทำท่าเบื่อโลก
ภาพจากไอโฟน กับภาพจากกล้องฟิล์มคนละฟิลลิ่งกันเลย
อันนี่ดูเพิ่มดีกรีความเหงาขึ้นอีกระดับ
จากนั้นก็...ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ แวะดูหมีโคอาล่าที่ส่วนมากก็นอน ไม่ก็ตื่นมากินแงบๆ แล้วก็ดูคุณอุรังอุตัง ท่าทางมันดูเบื่อโลกมาก มันอยู่ตัวเดียวในกรงด้วย น่าสงสารชะมัด พยายามคุยก็มองแล้วเมินใส่...โอเค ไปก็ได้ /แล้วก็เดินจากมาอย่างสงบ


ออกจากสวนสัตว์เชียงใหม่ ก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตกห้วยแก้วที่พี่ตุ๊กตุ๊กเขาว่า เห็นเขาบอก300เมตร ก็ตัดสินใจเดินกัน และปรากฎว่ามันเป็น300เมตรแบบขึ้นเขาจ้ะ ถึงปลายทางคือหอบแฮกเลยทีเดียว ดีว่ามันไม่ไกลมากและอากาศก็เหมือนจะไม่ร้อนไม่เย็น กำลังดี เลยโอเคอยู่ (มีบ่นเล็กน้อยและหาน้ำกันอย่างหิวกระหายสุดๆ) จากทางเข้าต้องเดินต่อเข้าไปอีกราวๆ200เมตรได้มั้ง ถึงจะเห็นน้ำตกห้วยแก้วที่...ออกจะหดๆนิดๆ เหมือนไม่ใช่หน้าน้ำ เราสองคนพยายามปีนขึ้นไปให้ไกลที่สุดเท่าที่รองเท้ากากๆจะสามารถ (คนนึงรองเท้าผ้าใบพื้นบางๆ อีกคนใส่แอ๊ดด้ายางสีเหลืองที่มันโฆษณาว่าไต่เขาได้...จ้ะ เกือบลื่นตกเขาเลย) เมื่อไม่สามารถไปต่อ รูปก็ถ่ายลำบากเพราะมีคนเยอะและมุมภาพไม่ค่อยเวิร์ค เลยถอยทัพกลับลงข้างล่างกัน เดินลงเขาผ่านทางเข้าสวนสัตว์ และเห็นว่าตรงหน้ามหาลัยเชียงใหม่ก็ดูจะไม่ไกลมาก เลยเดินลงกันเพื่อไปหาอะไรกิน (รวมๆแล้วที่เดินกันทั้งหมดน่าจะ กิโลกว่าๆเกือบสองกิโลได้)

และนี่คือน้ำตกกกกกกกกก...ห้ ว ย...แ ก้ ว...
ช่างเล็กเสียเหลือเกิน /น้ำตาตกในเลยทีเดียว

ด้วยความที่เห็นน้ำตกแล้วรู้สึกยอมใจ
เลยถ่ายดอกไม้ข้างทางมันซะเลย

เชื่อมั้ย ไม่เจออะไรที่ถูกใจเลย จนเดินผ่านหน้ามหาลัยมาราวๆสองป้ายรถเมล์(กรุงเทพ) ก็เจอร้านเล็กๆแต่งสวยฮิปสเตอร์กิ๊บเก๋ดีทีเดียว(ด้วยความหิว เหนื่อย และใกล้จะสลบกันอยู่แล้ว เลยไม่ได้ถ่ายรูป) จัดกันไปคนละจาน อิ่มหนำก็นั่งรถแดงกลับโรงแรมกัน (รถติดใช้ได้ทีเดียว ชมบรรยากาศเมืองไปเรื่อยสนุกดี) พอถึงโรงแรมก็ไม่ทำอะไร นอนจ้ะ เหนื่อยจ้ะ รอเวลาเย็นๆก็ออกไปเดินตลาดกลางคืนกัน
พิซซ่าแฮม-เนื้อ-ซาลามี่ / ซูปมะเขือเทศเข้มข้น / สลัดกุ้ง
หลักฐานแผลซุ่มซ่าม
นี่ถ่ายตอนวันรุ่งขึ้นน่ะนะ

ก่อนจะได้ไปเดินตลาดกันจริงๆ อิฉันล้มจับกบไปป๊าบนึงตรงฟุตบาทแถวโรงแรม เท้าพลิกแล้วขาอีกข้างก้าวลงฟุตบาทไป อีกข้างก็คุกเข่าป๊าบใส่ฟุตบาทพอดี...หื้มม เลือดซิบไปเดินตลาด เก๋ไก๋!!
เดินผ่านแต่ละร้าน อาหารอินเดีย อาหารจีน อาหารญี่ปุ่น...คือไม่อยู่ในอารมณ์กินอะไรรสจัดและเป็นข้าวๆ เลยจัดแป้งกันไปอีกมื้อ อาหารฝรั่งจ้ะ (นี่ฉันมาเชียงใหม่ทำไม ฮ่าๆๆ) ด้วยความเหนื่อยมาทั้งวัน (เพราะเดินขึ้นลงเขารอบนั้นแหละ) น้ำอัดลมกับเบียร์กันไปซะเลยยยยย (ฟินมาก)

อิ่มอร่อยนั่งเม้ามอยนานจนโต๊ะข้างๆเปลี่ยนคนนั่งประมาณสองชุด (ฮ่าาา) ก็ถึงเวลาที่ต้องคิดเงิน ออกจากร้าน และไปเดินตลาดกันต่อ ซึ่งเป็นทริปช็อปปิ้งละงานนี้ ได้กันไปตามสมควร หมดเงินกันไปพอควรทีเดียว

ตบท้ายสิ่งที่ฟินที่สุดของวัน เมื่อเพื่อนใช้ห้องน้ำเสร็จ ฉันก็ยึดห้องน้ำและเปิดน้ำอุ่นลงแช่ไปเต็มๆตัวเกือบชั่วโมง อ๊าาาาา มันสบายจริงๆนะ หายเมื่อยสุดๆ กิจกรรมผ่อนคลายสุดท้าย ดีงามมากมาย


11/10/2015 เช้าวันอาทิตย์เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย เนื่องจากกะวางตัวให้ว่างงงง เพื่อพิมพ์งานส่งแบบสบายๆไม่มีกังวล สถานที่พิมพ์งานดีๆ ซึ่งหลังกินข้าวเช้าของโรงแรมเรียบร้อยก็กลับขึ้นมากลิ้งบนห้อง ฉันนั่งทำงาน เพื่อนนอนอ่านหนังสือ พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์พวกเราก็ไปนั่งร้านกาแฟแสนโหลโลโก้สีเขียวที่เห็นได้ทุกทีไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน

คือมันเป็นเช้าวันอาทิตย์ที่ฝนตกด้วย (ตกหนักไปแล้วตอนกำลังกินข้าวเช้า) ฝนพรำเบาๆแบบเดินไม่เปียกแต่หนาวจับจิตสุดๆ ลมก็พัดแรงพอควร พวกเราเดินแบกกระเป๋าใหญ่โตฝาเช้าชื่นแฉะไปร้านกาแฟอุ่นๆ แล้วก็หมกตัวอยู่นั่นตั้งแต่เที่ยงที่เช็คเอ้าท์ ยันบ่ายเกือบเย็น กินกาแฟจนละลายแล้วละลายอีก จนพนักงานเดินมาชวนให้ไปทำกิจกรรมชิมกาแฟกับเขา (เพื่อเอาเครื่องดื่มฟรี ที่จริงๆเขาให้แก้วเดียว แต่เราต่อรองจนได้สองแก้ว เลยจัดชาเขียวไปคนละแก้ว) พนักงานน่ารักดีนะ คุยกันแบบเป็นกันเองสุดๆ ฉันยืนรอกาแฟแบบง่วงๆตอนแรก จู่ๆเขาก็ถามว่า คุณลูกค้าทานข้าวหรือยังครับ? ...ฉันที่กำลังมึนก็ได้แต่พยักหน้าและตอบค่ะๆ (มันคือมื้อเช้าแบบสายๆราวๆ 9-10โมง นี่แหละ ยังย่อยไม่หมด)

ถอนรากที่งอกใส่ร้านกาแฟเขาเรียบร้อย ก็โบกรถแดงตรงไปสนามบินกันโลด ไฟลท์พวกเราคือ1ทุ่ม แต่เราไปถึงกันราวๆ 4โมงเกือบ5โมง ก็เพื่อกินข้าวกันก่อน ลงเอยกันที่เบอร์เกอร์คิงอย่างไม่ต้องคิดอะไร เนื่องจากในเมืองตรงร้านสตาร์บัคนั่นแหละ ฝั่งตรงข้ามมันคือเบอร์เกอร์คิง เห็นละอยากกิน เลยตกลงกินกันที่สนามบินแบบไม่มองร้านอื่น (จริงๆก็เดินหานิดนึงว่าอะไรอยู่ตรงไหนและจะกินอะไรกันดี)

นั่งแช่รากงอกในร้านเบอร์เกอร์กันไปอีกสักรอบ แล้วก็ตัดสินใจเด้งตัวออกไปเช็คอินและซื้อของฝากกันตอนราวๆ6โมงนิดๆ(เอาแบบเวลาเหลือไม่กลัวตกเครื่องแน่ๆ) เดินผ่านเกทไปนั่งรอเรียกขึ้นเครื่อง(นานพอควรแต่ก็นั่งเล่นมือถือรอได้สบายๆ ไม่ถึงขั้นต้องหยิบหนังสือมาอ่าน)
ประสบการณ์นั่งเครื่องบินครั้งที่สองในชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้น! ตื่นเต้นเล็กน้อยแต่ไม่มากเท่ารถไฟตอนขามา ที่น่าขันยิ่งว่านั้นคือ นั่งรถไฟมา13ชั่วโมงโดยประมาณ นั่งเครื่องบินกลับ45นาทีถึงกรุงเทพ!! (นี่นักบินเป็นคนขับสาย8เก่าป่ะคะ ซิงพอดูเลย ฮ่าๆๆ) แอร์มีประกาศด้วยนะว่า "เดินทางถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนด10นาทีค่ะ" ...เยี่ยม เร็วดีแท้ ฟังเพลงยังไม่จบอัลบั้มเบย

และเป้าหมายที่ต้องการก็สำเร็จในขากลับนี่แล ดังที่ต้องย้อนกลับไปช่วงแรกๆที่กล่าวว่า
"อยากมีอารมณ์แบบหิ้วกระเป๋าเข้าเกท ขึ้นเครื่องบินบ้างอะไรบ้างแฮะ"
นี่ไง สมใจเลย

สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็สำเร็จตามที่พวกเราทั้งสองต้องการ
อยากนั่งรถไฟไทยนานๆ เช็ค! [/]
อยากพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ เช็ค! [/]
อยากมีโมเม้นแบกกระเป๋าขึ้นเครื่อง เดินทางไปไหนบ้าง เช็ค! [/]
ครบ!!!

นับว่าเป็นทริปสไตล์คนขี้เกียจ ที่ประสบความสำเร็จ กิจกรรมไม่เอา พักผ่อนเบาสมองกันอย่างเดียว
ใครคิดว่า สโลว์ไลฟ์ เป็นยังไงไม่รู้นะ แต่นี่แหละสโลว์ไลฟ์ของเรา :)

จบ ทริป: เด็กกรุงอุตริลอง "สโลว์ไลฟ์" จ้ะ
เซลฟี่ซีลูเอท ฟ้าสวยมาก /อยากให้เห็นฟ้าไม่ใช่คน

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Pixels (2015)

*สปอยแน่ๆ ตรงไหนบ้างเดี๋ยวมีเตือน*
Pixels (2015)
Directed by Chris Columbus
Cast: Adam Sandler, Kevin James, Michelle Monaghan, Peter Dinklage, Josh Gad, Matt Lintz, Brian Cox and Sean Bean with Dan Aykroyd as 1982 Championship MC

หนังดัดแปลงมาจาก หนังสั้นชื่อเดียวกันของผู้กำกับชาวฝรั่งเศส Patrick Jean เมื่อปี2010
ว่าด้วยเรื่องราวของเอเลี่ยนที่ได้รับสารผิดๆจากโลกมนุษย์และเข้าใจว่าพวกมันจะถูกมนุษย์โจมตีด้วยแพทเทิร์นของวิดีโอเกม เอเลี่ยนจึงส่งทหารมาบุกโลกในรูปแบบตู้เกมอาเขต(ที่ศัพท์จริงๆมันคือ Classic Arcade Games) หรือก็คือไอ้เกมที่มนุษย์ส่งไปนั่นแหละ กองทัพตัวละครเกม8บิท จึงแห่กันมากินตึกรามบ้านช่องให้กลายเป็นกล่อง8บิทเกลื่อนเมืองไปหมด
แต่เมื่อตอบโต้กลับมาในรูปแบบเกมที่มีแพทเทิร์น ผู้ที่จะรับมือกับพวกมันได้ก็มีเพียงเซียนเกมตู้สุดเก๋ายุค80เท่านั้นที่จะรู้ทันเกมของเอเลี่ยน และคนกลุ่มนั้นก็คือ แซม เบรนเนอร์ (อดัม แซนด์เลอร์) และ เดอะแก๊งสุดเนิร์ด ที่ต่างก็เคยร่วมชะตากรรมกันมาแล้วในการแข่งขันชิงแชมป์วิดีโอเกมมาก่อน
งานนี้แก๊งเกรียนเกมจะกู้โลกไว้ได้หรือไม่!!

ไปดูกันเอง ฮ่าาาาๆๆๆๆๆๆ (ได้อยู่แล้วแหละแหม)

คำเตือน: นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของคนที่ไม่ได้เป็นแฟนหนัง อดัม แซนด์เลอร์ แต่ก็ดูทุกเรื่องแบบมีชอบมีเกลียด ส่วนใหญ่ชอบเพราะหนังเฮียแกเบาสมองดี ไม่ต้องคิดเยอะ และบางเรื่องก็ซึ่งกินใจในระดับพ้องเพื่อนและครอบครัวดี / อีกอย่างคือเคยเป็นหนึ่งกลุ่มบ้าเกมพวกนี้ เล่นมาหมดแล้ว

เข้าเรื่องกันดีกว่า

ก่อนจะได้ดู ได้ยินคำวิจารณ์จากฝรั่งว่าแบบ หนังแย่ เอาเกมอาเขตมาใช้ได้ห่วยแตก คะแนนวิจารณ์ก็ย่ำแย่ต่ำเตี้ยเหลือเกิน
แต่คิดว่าน่าจะเพราะส่วนใหญ่คาดหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้เยอะนะ มันโฆษณาหน้าหนังแบบ แอ็คชั่น-ไซไฟ เกม8บิทบุกโลก ต้องสู้แบบที่เราเล่นเกมผ่านด่าน! อะไรแบบนั้น หรือไม่ก็คิดว่า อดัม แซนด์เลอร์ น่าจะเปลี่ยนแนวแล้วเวิร์ค ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้เวิร์คเท่าไหร่ มันก็หนังแนวเดิมแกนั่นแหละ แค่มีแนวคิดต่างจากเดิมหน่อยนึง
จริงๆก็คาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรเยอะแยะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำใจตั้งแต่เห็นว่าเป็นหนังของ อดัม แซนด์เลอร์ แล้ว เลยลดระดับลงมาในเชิงเปรียบเทียบกับเฉพาะในหมู่หนังตลกอารมณ์ดี ที่พยายามเอาแนวอื่นมาผสมให้มันน่าสนใจ

อันนี้เราว่า เบน สติลเลอร์ ทำได้ดีกว่า สองคนนี้หนังมาแนวเดียวกันเลย แต่เบนเหนือชั้นกว่าเยอะ ตลกฟืดไม่เยอะเท่าอดัมด้วย บางเรื่องของเฮียอดัมแบบ...มุกนี้เลิกเล่นเถอะนะ อื้ม...

เพราะงั้น แนะนำนิดนึง อย่าไปคาดหวังอะไร ดูๆสนุกๆ หัวเราะมุกตลก แอ็คชั่นพองาม แล้วก็พักหายใจดูมันคุยกัน จีบกัน ตลกใส่กัน นิดหน่อย แล้วค่อยสู้ต่อ ตามนั้นเลยแหละ จ้ะ

คอหนังบ้าพลัง แนะนำให้ไปดูแบบ The Man from U.N.C.L.E. / ปรสิต 2 / Exeter(อีหนังผี ที่ชื่อไทยว่า อย่าให้นรกสิง อ่ะ) หรือแบบ Hitman: Agent 47 โรงข้างๆไรงี้ อาจจะถูกใจกว่า

ยังไงก็เถอะ กลับมาที่ตัวหนัง (อย่างที่เตือนไว้ข้างต้นเลยนะ)
เราว่า Pixels เป็นหนังที่ดูได้ ดูดี ทุกคนเข้าใจ ยิ่งถ้าเคยเล่นเกมเหล่านี้มาก่อนจะรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ ก็น่าจะคล้ายๆกับที่ได้ดู Wreck-It Ralph (2012) ที่สร้างให้พวกตัวละครพวกนี้มันมีชีวิตในโลกของมัน และมีจิตใจนึกคิดเช่นเดียวกับเรานั่นแหละ แต่สังเกตมั้ยว่า คิวเบิร์ต(อีตัวส้มๆมีงวงกระโดดดึ๋งๆ) มักเป็นมิตรตลอด ทั้งสองเรื่องเลย เรื่องนี้ข้ามขั้นระดับเป็นคู่ของตัวเอกเลยนะโว้ย! (อย่างงค่ะ ไปดูนะ แล้วจะเก๊ตว่าฉันหมายถึงอะไร) ในขณะที่เรื่องนี้แพกแมนเป็นตัวร้าย แต่ Wreck-It Ralph แพกแมน เป็นไฮโซนะคะคุณ ฮ่าๆๆๆๆ

ก็ไม่รู้นะว่าคนที่คุ้นเคยกับเกมพวกนี้จะรู้สึกเหมือนเรามั้ย แต่เรารู้สึกแบบนั้น อาจจะเพราะอย่างนึงคือเราก็เล่นเกมพวกนี้บ่อยอยู่(ไม่ทันตู้เกมอาเขตหรอก เล่นตอนมันรวมเป็นเกมตลับแล้วไรแบบนั้น...นี่ก็บอกอายุมิใช่น้อยเลย...) ซึ่งเอาจริงๆเราก็มีความคิดที่แบบ จะเป็นยังไงถ้าเราเป็นคนถือปืนแล้วไล่ยิงตะขาบชนเห็ด เซนติพีค หรือแบบไล่ยิ่ง กาลาก้า (อันนี้เป็นเกมโปรดเลย กับอีกอันนึง สเปซ อินเวเดอร์ส อันนี้สนุกมากกก มันส์เวอร์ ตัวเกมออกมาพร้อมๆกับ กาแล็คเซี่ยน ซึ่งเป็นภาคแรกของ กาลาก้า เลยนะ แต่เราว่า สเปซ อินเวเดอร์ส สนุกกว่าเยอะ)
ตรงนี้เราพอเข้าใจสิ่งที่หนังจะสื่อ(ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันสื่อมั้ย) การเอาตัวละครมาสู้กับเกมจริงๆอย่างกับฝันเกรียนตู้เกมอาเขตเป็นจริง(หรอ? ฮ่าๆๆ) คือดีงามอยู่นะ ท่าทางของตัวละครมันดูให้ความรู้สึกแบบ สนุกอ่ะ ได้ไล่ยิงไอ้ตัวพวกนี้ อันนี้ขอชมว่าหนังทำได้ดี (ปรบมือค่ะ ปรบมือ!)
โดยเฉพาะเวลาสิ่งของที่โดนกินโดนยิงละกลายเป็นกล่อง8บิท เราว่าเจ๋งดีนะ สำหรับหนังระดับนี้ << ซึ่งถ้าจะชมเรื่องวิธีทำลายล้างจนกลายเป็น8บิท น่าจะต้องไปชมคนทำหนังสั้นด้วย

อีกสิ่งนึงที่เห็นและรู้สึกดีพร้อมๆกับขัดใจคือ (อันนี้มีสปอยละนะ)
การถ่ายมุมเสยใส่ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ คือช้อนตัวพี่แกจนดูใหญ่ยักษ์มีอำนาจสุดฤทธิ์ ยิ่งใหญ่อลังการมาก ทั้งที่พี่แกตัวแค่เอวของนักแสดงคนอื่นๆ ซึ่งเราว่าดีตรงที่ทำให้เขาดูราวกับไซส์เท่าคนอื่นดี แต่อีกแง่นึงเราว่ามันดูแบบเฉพาะเจาะจงเกินไป (สปอยละนะ>>) แต่ก็อาจจะเพราะการวางตัวละครไว้ให้อีโก้สูงงงงมาก พอโดนจับได้ว่าโกง มุมภาพเหมือนจะแปลกไป ขนาดลูกนางเอกที่เป็นเด็กผอมแห้งยังดูน่าเคารพกว่าคนขี้โกงทำนองนั้น ไม่แน่ว่าอันนี้เราอาจจะคิดไปเอง แต่เรารู้สึกงี้นะตอนที่ดู
ก็ดูจะเป็นผลดีต่อตัวละครดี ไม่นึกว่าจะมีความซับซ่อนในงานทำนองนี้ของเฮียอดัม(ที่จงใจจะซับซ่อนเปล่าก็ไม่ทราบ)

อ้อ แล้วเมื่อคราวๆวันก่อนมั้ง เห็นมีข่าวบ่นว่าหนังซัมเมอร์ปีนี้ไม่มีซีนโรแมนติก หรือไดนามิกระหว่างตัวละครเลย เรื่องนี้มีนะจ๊ะ พระนางมุ้งมิ้งกันดีจริงๆ แต่ก็ตามประสา อดัม แซนด์เลอร์ แหละ กัดกันไปกัดกันมา กว่าจะรักกันต้องโชว์ฟอร์มฮีโร่ให้ประทับใจ หยอดคำหวานกึ่งตลกแบบหนุ่มหัวไข่อารมณ์ดี (แฟนๆน่าจะรู้ว่าเฮียอดัมแกเป็น พระเอกหัวไข่ ฮ่าๆๆๆ)

มิเชล โมนาแกน เรื่องนี้น่ารัก นางผอมลงเยอะเลย แต่เก๋ดี ดูเหมาะกับบทบาท
ใครจะนึกว่า เควิน เจมส์ จะเป็นประธานาธิบดีได้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คือก็โอเคนะ ดูเท่ดี บทนี้พี่แกหล่อ
ส่วน จอร์ช แกด คือขโมยซีนบ่อยนะ บ่อยมาก บทเด่นสุดๆ เกือบจะเด่นกว่าตัวเอกแล้ว ไม่แปลกใจที่จะได้บทตัวละครสุดหน้าด้านประจำหนังเฮียอดัม (หนังเก่าๆก่อนหน้านี้ บทหน้าด้านเหลือใครเกินส่วนใหญ่มักจะเป็น ร็อบ ชไนเดอร์ ไม่ก็ สตีฟ บูสเซมี่)
อื่นๆก็เฉยๆ ดาราไม่ได้เซอร์ไพรส์เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามี (ไม่มีก็ไม่ใช่หนังอดัมเนอะ)

สรุป!!!
หนังสนุกดีในระดับดูเพื่อความบันเทิง เนื้อเรื่องลื่นๆไปเรื่อยๆ ไม่ได้หักมุมหวือหวาอะไร พอเดาได้ แต่ส่วนใหญ่ขำจนลืมว่าต้องเดาอะไร ฮ่าๆๆๆ
นั่นเท่ากับว่ามุกตลกเรื่องนี้ใช้ได้ทีเดียว มีสาระ จิกกัดขำๆคันๆ ยังไม่ทิ้งลายอเมริกันฮีโร่(ออฟ เดอะ เวิลด์ เลยทีเดียว)
งานภาพจัดว่าโอเคนะ เพลงเพราะดี พวกเพลงประกอบเก่าๆเข้ายุค80 อย่างกับเข้าร้านตู้เกมอาเขตแล้วเปิดเพลงไปพลางๆ (ไม่ได้รู้หรอก พระเอกมันพูด ฮ่าๆๆ)

รวมๆก็...
8/10
ละกัน อยู่ในระดับที่ค่อนข้างชอบ
ให้เยอะเพราะหนังแก้เครียดดี แต่ไม่เต็มและไม่9 เพราะไม่พีคขนาดนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Dark Places (2015)

*สปอยแรงๆ*
Dark Places (2015)
Directed by Gilles Paquet-Brenner
Cast: Charlize Theron, Nicholas Hoult, Christina Hendricks, Corey Stoll, Tye Sheridan and Chloe Grace Moretz

นิยายของ Gillian Flynn ผู้แต่ง Gone Girl (เรื่องนี้นางเขียนบทด้วย)

คดีสะเทือนขวัญฆ่ายกครอบครัวเมื่อ25ปีก่อนยังคงหลอกหลอน Libby Day พยานเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในคืนนั้น และก็เป็นเธอนั่นแหละที่ให้การว่าพี่ชายของเธอ Ben Day คือฆาตกรผู้ฆ่าแม่และพี่น้องคนอื่น ทว่าเมื่อเธอได้ไปเข้าร่วมกลุ่มนักสืบอาสา The Kill Club ที่กำลังรื้อคดีนี้กันอีกครั้ง Libby กลับพบข้อสงสัยบางอย่างที่อาจเปลี่ยนเรื่องราวในอดีตไปโดยสิ้นเชิง

เล่าเรื่องเยอะก็จะไม่สนุก ไม่เล่าอะไรเลยก็จะงงกันเข้าไปใหญ่ ยิ่งตอนแรกยิ่งงงเลย ทำไมอีนี่ต้องอยากกลับไปรื้อคดีที่มันไม่อยากจำ อ๋อ นางจะเอาเงิน ฮ่าๆๆๆ

เดี๋ยวๆ...ไม่เกี่ยวละ

เข้าเรื่องที่จะบ่นดีกว่า
จริงๆชอบเรื่องนี้นะ ฉันว่าเนื้อหามันดูเดาง่ายกว่า Gone Girl ไม่เครียดเท่าไหร่
แต่ก็อย่างว่าแหละ เดาง่ายเกินไปก็กลายเป็นจุดด้อยของนิยายหรือหนังแนวๆนี้ เทียบชั้นกับ Gone Girl ลำบากทีเดียว ถ้าอยากจะสนุกกับเรื่องราว ไปอ่านนิยายดีกว่าดูหนังนะเรื่องนี้(พูดเหมือนอ่านแล้ว ยัง! ...แต่เดี๋ยวจะหามาอ่าน) เห็นชัดเลยว่าฝีมือ Gilles Paquet-Brenner สู้ David Fincher ไม่ได้จริงๆ คนละชั้นสุดๆ

เม้ามอย: พอดีวันก่อนไปเจอคลิปรวมผลงาน Fincher วิธีเล่าเรื่อง วิธีใช้มุมภาพ สไตล์การถ่ายทอดเรื่องราวภาพซีนพูดคุยแค่ซีนเดียว คือแบบ ทรงพลังอลังการมากกก (ตัวอย่างที่เขายกมาคือ Se7en, Girl with Dragon Tattoo, Social Network, Panic Room, Zodiac และ Benjamin Button ...งานเด่นๆงามๆทั้งนั้นเลย)

สรุปง่ายๆก็คือ Dark Places ฉบับหนัง สู้ Gone Girl ไม่ได้ทั้งความซับซ้อนของเรื่อง ความร้ายของตัวการหลัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาษาภาพยนตร์ คนละเรื่องกันเลยยยยยยยยยยย

แต่ก็อีกแหละ ถ้าให้ Fincher มากำกับ Dark Places ...คงไม่น่าจะดีนะ คิดว่าคงจะเครียดเกินไป Dark Places มันออกจะมีโมเม้นมุ้งมิ้งระหว่างพี่น้องเล็กน้อย ประเด็นที่เป็นจุดพีคก็เอามาเล่นได้ไม่เยอะเท่าอีกเรื่อง

ดังนั้นถ้าดูแบบไม่เปรียบเทียบงานก่อนหน้าอย่าง Gone Girl (มันแย่ตรงที่มีเรื่องก่อนหน้ามาให้เปรียบนี่แหละ)
Dark Places จัดว่าดีนะ โอเคทีเดียว ชอบ Charlize Theron บทนี้ นางเล่นเบาไปหน่อยไม่เหมือนงานก่อนๆ(เทียบอีกละ) แต่ก็โอเค เหมาะกับบุคลิกLibbyดี นางไม่ใช่พวกโวยวายเว่อวัง ดูจะเป็นทอมด้วยซ้ำ แต่หนังก็ไม่ได้พูดถึงรสนิยมทางเพศของนางขนาดนั้น ซึ่งดี โฟกัสแค่เรื่องคดีก็ดูจะลำบากละ

อีกนางที่ต้องชมคือหนู Chloe Grace Moretz นางเล่นดีนะเรื่องนี้ สวยร้ายโรคจิตนิดๆ แต่มีความเป็นมนุษย์(ที่เห็นแก่ตัว) มากเกินปกติมันเลยดูน่าตบเป็นพิเศษ (เอ๊ะ?)
Nicholas Hoult เรื่องนี้ไม่เด่นมาก แต่โผล่มาทีไรก็สู้กับ Charlize ได้สู่สีอยู่ แต่เห็นแล้วตลกๆอยู่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่เจอกันใน Mad Max: Fury Road ละบทมันคนละเรื่องเลยน่ะ เลยแลดูแปลกๆ แต่ก็โอเค๊ (เสียงสูงไปมั้ย)

(ต่อจากนี้ อาจเผลอสปอยโดยไม่รู้ตัว ถ้าอ่านเจอขออภัย =/\=)

เอาละ มาถึงช่วง: ประโยคเด็ด คัดมาแล้ว!
"You don't know shit about what happened that night."

คือเป็นประโยคที่ทั้งนางเอก พี่ชาย และพ่อ มันพูด (คำที่ใช้ต่างกันเล็กน้อยตามสถานการณ์ มีเติม F. word บ้าง) แต่ที่ยกมาคือซีนที่นางเอกพูดตอนเจอกับ The Kill Club แล้วโดนบีบจากคนในคลับ ละนางเลยหันไปด่า แกไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกะคืนนั้น!! (แปลห่วยแตกมาก) คือ ก็ถูกของนาง ไม่มีใครรู้อะไรเลยเกี่ยวกับคืนนั้น ละคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น? จริงๆนางก็ไม่รู้ไง ฮ่าๆๆๆ
Libby ทำตัวเหมือนจะรู้ทุกอย่างดี สุดท้ายแล้วนางก็ไม่รู้ นี่ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าตอนให้การคือนางอยู่ในอาการช็อค หรือว่าโดนใครบังคับให้พูดกล่าวหาพี่ชายตัวเอง เพราะท้ายที่สุด เหมือนพี่มันจะถูกตัดสินจากสังคมภายนอกมากกว่า จากบุคลิก ท่าทางเป็นตัวปัญหา มีหลักฐานว่าบูชาซาตาน อาจติดยาด้วย มีข่าวลือลวนลามเด็กอีก สรุปคือพี่มันโดนใส่ร้ายจากสังคมจนนางเอกให้การแบบนั้นออกไป หรือนางเอกมันช็อคและรวบรวมข้อมูลที่พี่มันโดนป้ายสีจนให้การว่าพี่เป็นคนทำ?
สืบไปสืบมา ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นจริงๆ ยกเว้นพี่ชายนาง และพยานปากสำคัญอีกรายนึงที่ไม่ใช่ Libby ...อันแน่ อันนี้ไปดูกันเองนะ ฮ่าาๆๆๆ 

คือสรุปแล้ว ถ้าฉันเป็นใครสักคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆนางตอนจบนะ ฉันนี่แหละจะตะโกนใส่หน้านาง
"YOU DON'T KNOW SHIT ABOUT WHAT HAPPENED THAT NIGHT!!!"
(...ถ้าแกจะตะโกนตัวหนาขนาดนี้...)
ความน่ารักของพี่มันคือ ยังไงพี่ก็เป็นพี่ Libby คือครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ ยังไงก็ต้องรักกันไว้ ไม่ว่าสิ่งดีหรือสิ่งร้ายจะเกิดขึ้นก็ตาม

สุดท้าย!
เนื้อเรื่องสนุกดี นักแสดงแจ่ม
บทเริดอยู่ คำพูดซ่อนเงื่อนตามสไตล์คนแต่ง ชอบตรงนี้ (คนแต่งมาจัดการเองขนาดนี้แล้วนี่นะ)
ติดตรงสไตล์หนังมันทริลเลอร์บ้านๆเกินไป ไม่ลุ้นไม่มันส์ (แกต้องการอะไรจากหนังละ) 

ก็ดูแบบไม่คาดหวังอะไรเยอะนะ
8/10
จัดว่าชอบ ถ้าคาดหวังมากระดับต้องการความพีคของหนัง
คะแนนอาจจะดรอปลงไปอีก2แต้ม 

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: It Follows (2014)


*สปอยนะจ๊ะที่รัก*
It Follows (2014)
Directed by David Robert Mitchell
Cast: Maika Monroe, Keir Gilchrist, Lili Sepe, Olivia Luccardi, Daniel Zovatto and Jake Weary

เรื่องราวของ เจย์ วัยรุ่นสาวผู้กำลังอยู่ในพะวงรักกับแฟนหนุ่มมาดแมน และคืนที่เธอตัดสินใจมอบความบริสุทธิ์ให้เขานั่น เธอกลับต้องตื่นมาพบตัวเองถูกผูกติดกับเก้าอี้ในตึกร้างสุดสยอง
แฟนหนุ่มได้บอกกับเธอว่ามีบางอย่างกำลังตามเขา บางอย่างที่จะปล่อยให้เข้าถึงตัวไม่ได้ บางอย่างนั้นจะปรากฎตัวเป็นใครก็ได้แม้แต่คนที่คุณรัก และตอนนี้เขากำลังจะถ่ายทอดมันให้เธอ!

สิ่งเดียวที่ทำได้คือส่งมันต่อให้คนอื่น ก่อนที่มันจะเข้าถึงตัว เธอ เธอ เธอ~
...เอิ่ม...
นั่นแหละนะ ประมาณ10นาทีแรกของเรื่อง(อาจจะเกินนิดๆ) แต่ก็ตามที่ตัวอย่างมันบอกเลยแหละนะ

ซึ่ง!!!!! ดีนะ ดีมากกก ตัวอย่างบอกไม่เยอะแค่กฎกติการนิดหน่อย ละก็ไปลุ้นกันว่านางจะทำยังไงต่อ
แล้วหนังก็เล่าไอ้ "จะทำยังไงต่อ" ได้ดี มีวิธีแก้ปัญหาแบบโง่ๆเหมือนหนังสยองขวัญทั่วไปตามปกติ พร้อมกับวิธีฉลาดที่...ไม่ได้ผล แหงสิ หนังสยองขวัญแนวนี้ ผีชนะนะจ๊ะ...เอ๊ะเดี๋ยวก่อน! นี่ไม่ได้สปอยนะๆ มันเป็นอะไรที่เดาง่ายมาก (แถไปเรื่อย)

แต่มันดีงามจริงๆนะ หนังดีๆ ชอบๆ
อารมณ์อย่างกับดูหนังสยองขวัญยุคแบบ70-80 หรือไม่ก็ต้นๆ90 อารมณ์นิ่งๆไม่ทำอะไรให้น่าตื่นตกใจ คือแบบสยองขวัญด้วยความสงสัยใคร่รู้ และให้เห็นพลังของมันบ้างพอหอมปากหอมคอ ไม่ใช่โหมให้ตกใจตึงตังเป็นผีเล่นซ่อนแอบแฮ่ๆ ซึ่งเอาจริงๆไอ้พวกนั้นไม่มีความน่ากลัวเลยนอกจากตกใจ
It Follows คือดีงามตรงอารมณ์นิ่งๆของมันนี่แหละ ถ่ายมุมกว้างงงงง ให้เราคอยมองรอบๆ เพราะยังไงเราก็รู้อยู่แล้วว่า It มันจะเดินพุ่งตรงมาหาตัวเอก หรือจริงๆก็คือเดินตรงเข้าหากล้อง เขาหาตัวเรานั่นเอง
(ตรงนี้เด็ดนะ ดูจบละเกิดความระแวงนิดๆเลยทีเดียว คอยมองรอบๆตัว ใครเดินพุ่งใส่ตูหรือเปล่า ฮ่าๆๆ)

แล้วมันก็ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญดาดเดื่อนที่จะเดาสุ่มๆด้วย ขณะดูมันก็มีโมเม้นที่เดาไม่ได้เหมือนกัน (เยอะด้วยจริงๆแล้ว) แถมยังมีแง่คิดให้สงสัยให้วิเคราะห์กันไปต่างๆนาๆสำหรับความสำคัญของ It ที่ต่างก็ว่าเป็นสัญญะทางเพศ จิตใต้สำนึกมนุษย์ หลอนประสาทแบบหมู่ เรื่องลี้ลับ ภูตผี วิญญาณร้าย บลาบลาแอนด์บลา (ชักจะเยอะ)
แต่ไม่ว่า It จะคืออะไร เราว่ามันก็ไม่ได้มีแนวคิดหนีไปไหนไกลนอกจากเรื่อง เพศ หรอก
สุดท้ายมันก็คือ ความหื่นกามสันดานดิบของมนุษย์ ที่ส่งต่อมาอย่างกับจนหมายลูกโซ่ เพื่อผลักดันให้สาวน้อยวัยใส เที่ยวไปมีเซ็กซ์กับหนุ่มคนอื่นด้วยเหตุผลอันมีสาระ น้่นคือการกำจัดบางอย่างที่ไล่ตามนางออกไป (ส่งมอบให้คนอื่น แล้วพอคนอื่นตายกลับมาหานางก็ไปส่งต่อให้คนอื่น แล้วก็เวียนวายอยู่อย่างนี้แล)

นี่ก็เป็นอย่างนึงที่ไม่แฟร์คือแนวคิดหญิงชาย (อีกแล้ว)
พอผู้ชายโดน It ตาม พวกเขาก็แค่เที่ยวไปหาผู้หญิงวันไนท์สแตน ที่ไหนก็ได้แล้วก็จบ ...หรืออาจจะไม่จบถ้าสาวพวกนั้นดันตายแล้ว It ก็วนกลับมาที่ตัวผู้ชาย
ขณะเดียวกัน ฝ่ายหญิง...มันก็ไม่ได้จะเที่ยวไปนอนกับใครก็ได้ป่ะว่ะ แล้วหนังก็ไม่ทำให้นางเอกมันมีลักษณะแบบ เที่ยวไปนอนกับใครแล้วจับเขามัดเพื่อจะบอกแบบที่นางโดนมาด้วย

(ฉายไฟแดง: สปอยยย) แต่ท้ายที่สุดก็เพราะนางเอกนี่แหละ ที่หยุดวงจรจดหมายลูกโซ่ได้ ด้วยการไม่สนใจมัน แต่ต้องมีคนค่อยอยู่เคียงข้างเป็นแนวร่วม (เพื่อความปลอดภัย ช่วยกันดูงี้?)

เอาเถอะ คิดแล้วปวดหัวเนอะ ฮ่าๆๆ
เอาเป็นว่า เป็นหนังสยองขวัญที่ดี อาจไม่ถูกใจคอหนังแนวนี้ทุกคน แต่เราว่าอันนี้คือดีงามในระดับของมัน ดีกว่าเล่นให้ตกใจตึงตัง
เล่าเรื่องดี บทดี ภาพดีเหมาะกับเรื่องและจังหวะก็ถือว่าดี มีโมเม้นที่ต้องตะโกนในใจคอยบอกให้นางเอกแม่งหันดูข้างหลังเดี๋ยวนี้!! (เนื่องจากเสียงดังไม่ได้ และแม่งลุ้นเป็นบ้า)
นักแสดงเล่นดี โดยเฉพาะนางเอกเลยแหละ หน้าใหม่ด้วย ไม่เคยเห็นนางมาก่อน

รวมๆแล้วสำหรับหนังแนวนี้
8/10
นะจ๊ะที่รัก (มาแปลก)

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: The Age of Adaline (2015)

*สปอยมั้ย? อาจจะเผลอนะ*
The Age of Adaline (2015)
Directed by Lee Toland Krieger
Cast: Blake Lively, Michiel Huisman, Harrison Ford and Ellen Burstyn

เรื่องราวของ Adaline Bowman หญิงสาวผู้เกิดในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่20 (นางเกิดปี1908) และเติบโตอย่างสวยงามตามที่หญิงสาวแสนสวยคนนึงควรใช้ชีวิตบนโลกนี้ กระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเธอในคืนอันหนาวเหน็บ หิมะตกในซานฟรานซิสโกถือเป็นปฏิหาริย์ เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ความมหัศจรรย์ในคืนนั้นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ร่างกายเธอหยุดเติบโต การพัฒนาการตามธรรมชาติหยุดชะงัก และเธอก็ไม่มีวันแก่ไปตามกาลเวลาอีกตลอดไป
ปฏิหาริย์ครั้งนี้แลกมาด้วยความโดดเดี่ยว Adaline ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆ เปลี่ยนตัวตนทุกๆ10ปี พยายามทำตัวล่องหนและไม่สุงสิงกับใคร ทว่าโชคชะตาก็พาลให้เธอมาพบกับ Ellis หนุ่มมาดเข้มที่เพียงสบตาทั้งคู่ก็ตกหลุมรักกันซะแล้ว เขาคือคนที่ทำให้เธอหยุดวิ่งหนี และพร้อมจะเผชิญกับอะไรก็ตามไปพร้อมกับเขา

เล่าซะยืดยาว ต้นเรื่องล้วนๆ 2-3บรรทัดสุดท้ายขมวดใกล้จบให้ตื่นเต้น ฮ่าๆๆๆ

จริงๆหนังไม่ได้ตื่นเต้นหรอก นี่มันหนังรักโรแมนติกนะ ดราม่าฝุด
แต่คือแบบ สนุกกกกกก ชอบบบบบบบบบบบบบ ดึงให้ดูได้ตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่เผลอเล่นมือถือหรือเล่นคอม หรือละไปเข้าห้องน้ำ ความหิวขณะนั่งดูก็ทำให้อีนี่พอสไว้แล้ววิ่งไปกินไม่ได้ (เว่อร์ป๊าย)
ความจริงแล้ว อีนี่ชอบแนวหนังหวานนะ ดูมาหมดแทบทุกเรื่องที่เขาพูดถึงและไม่พูดถึงกันละ
(เม้ามอย หลายคนชอบมองแปลกๆด้วยแววตาราวกับเราเป็นตัวประหลาด เวลาบอกว่า ชอบดูหนังหวานแหววกุ๊กกิ๊ก ฟิลกู๊ด สยองขวัญเลือดสาด และดราม่า ...คนละมูดกันเลย ฮ่าๆๆๆ)

ภาพสวย พรอตงาม ความเป็นอมตะสู้กับความสูญเสีย ไม่ดึงให้เราติดกับอดีตมากนักและโฟกัสที่ปัจจุบันของตัวละคร ซึ่งดี ไม่สับสน
นี่เป็นประเด็นที่ชอบอยู่แล้วด้วยมั้ง ชอบคิดเล่นๆว่าถ้าคนที่เรารู้จักแก่ตายไปละเรายังอยู่ ง่ายๆก็คือถ้าเราเกิดเป็นอมตะขึ้นมา มันจะมีประโยชน์อะไรต้องอยู่ต่ออย่างโดดเดี่ยว? คอยดูโลกหมุนวนไปวันๆโดยที่เราไม่สูญสลาย?
ซึ่งหนังเรื่องนี้...เกือบจะตอบโจทย์ละ เกือบละ ...จริงๆคือไม่ได้ตอบโจทย์เลย ฮ่าๆๆๆๆ
แต่อย่างที่บอก นี่มันหนังรัก จบแฮปปี้ มีทางออกแก่ทุกฝ่าย ...ดีงาม ยิ้มค้าง :)
ในคำชม ก็มีข้อแย่อยู่เหมือนกัน คือมันเดาง่ายไปหน่อย ง่ายยยยยไป ง่ายจนแบบ...คิดๆอยู่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และหวังว่าหนังน่าจะทวิสได้ดีกว่านี้ แต่...เอิ่มโอเค ตามที่คิดเป๊ะเลย ...จ้ะ
ร่ำร้องจะดูด้วยความหวังที่จะได้เห็นบทสรุปที่ต่างไปจากที่คิด สุดท้ายก็...ไม่ แต่ก็โอเค หนังสนุกๆ เล่าเรื่อยๆดูเพลินๆ

อีกอย่างที่เพอร์เฟคมากคือนักแสดง
มีหลายซีนที่ใช้คำพูดอธิบายไม่ได้ และต้องแสดงอารมณ์แบบจัดเต็ม เหมือนหนังดราม่าทั่วไป แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังรักเสียมากกว่า ความแสดงอารมณ์แบบจัดเต็มของมันจึงเบาบางกว่าที่คุ้นเคยกันในหนังดราม่าเยอะ รวมถึงเพลงถึงภาพที่ไม่กดดันเราด้วย
ตัว Blake Lively เด่นจริง แสดงดีมาก งามฝุด เสียอย่างตรงที่ภาพลักษณ์นางคลุมเครือไปหน่อย บางครั้งก็รู้สึกโดดๆ รู้สึกไม่อิน แต่น้อยมากนะ ส่วนใหญ่แล้วคือดี ยิ่งซีนเจอกับลุง Harrison Ford คือเด็ด ลุงแกก็แสดงเยี่ยมยอดตามเคย
ตลก Ellen Burstyn เล่นบทลูกที่แก่กว่าพ่อแม่อีกแล้ว ถ้าจำกันได้ เธอคือ เมิร์ฟ ตอนแก่ใน Interstellar ไง! (เห็นปุ๊บแทบหลุดขำ)

จากที่เห็นรีวิวและการให้คะแนนรวมๆหลายสำนักหลายเว็บ คนไม่ค่อยชอบกันนะ
นี่เดาเอาเองเลยว่า น่าจะกรณีเดียวกับ The Tourist (2010) ที่ป๋าเดปป์แสดงคู่กับขุนแม่โจลี่
คือ ทั้งสองเรื่องมันเป็นหนังรักโรแมนติกชัดๆ แต่ดันชูโรงว่าเป็นหนังแอ็คชั่น-ทริลเลอร์(The Tourist) กับหนังแฟนซีกาลเวลา(The Age of Adaline) คนดูเลยคาดหวังไปคนละแนว พอผิดคาดก็ผิดหวังกันไป พร้อมโปรยคำด่ากันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ Adaline คือโดนด่าเบากว่าThe Touristมาก อาจจะเพราะประเภทหนังที่ผสมแล้วไม่โดดเกินไป แถมยังคุมโทนอยู่อีกต่างหาก
แต่คือไม่ว่ามันจะผสมแนว หรือโดนด่า ความโรแมนติกของทั้งสองเรื่องคือฉันชอบ ฮ่าๆๆๆๆ

โอเค โดยรวม
8/10
หนังสวย เพลงเพราะ พรอตดี เดาง่ายไปหน่อย นักแสดงดีงามทุกคนจริงๆ

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Found. (2012)

**พยายามไม่สปอย...นะ คิดว่าจะไม่เผลอ ฮ่าๆๆ**
Found. (2012)
Directed by Scott Schirmer
Cast: Gavin Brown, Ethan Philbeck, Phyllis Munro and Louie Lawless

หนังสร้างจากหนังสือในชื่อเดียวกันของ Todd Rigney เรื่องราวของ Marty เด็กเงียบๆผู้ตกเป็นเหยื่อของเด็กเกเรในโรงเรียน รสนิยมการดูหนังสยองขวัญกลายเป็นเหมือนที่หลบภัยของเขาเวลาเจอวันแย่ๆ แต่แล้วชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาลเหมือนในหนังที่เขาดู Marty ค้นพบความลับที่ซ่อนไว้ของคนทั้งบ้าน รวมถึงความลับของพี่ชายเขา Steve

ช่วง: ประโยคเด็ด คัดมาแล้ว
"My life is really is turning into a horror movie. And you know how they end." - Marty

จริงๆมีประโยคเด็ดกว่านี้แต่ถ้าเอามาคือ คุณไม่ต้องดูหนังหรอก มันเฉลยตอนจบเต็มๆเลย ฮ่าๆๆๆ

 นี่เป็นหนังสยองขวัญนะ สยองจิตใจเลยทีเดียว แต่ไม่ระทึก มันไม่ตื่นเต้นขนาดนั้น ออกแนวดราม่าหน่อยๆด้วยซ้ำ แต่ดราม่าแบบ Coming-of-Age อ่ะ เด็กๆวัยซนวัยต่อต้าน
และเตือนก่อนว่าดาร์คทีเดียว ดูแล้วหดหู่อยู่พักใหญ่ (ต้องรีบหาเพลงโลกสวยมาฟังโดยไว)

ชอบตรงความสยองมันมาแบบเงียบๆในบรรยากาศ ไม่กระโตกกระตากโวยวายจนน่ารำคาญ เด็ดสุดคือหนังทำให้เรารู้สึกขนลุก หนาวสั่น(ความจริงคือแอร์เย็น ฮ่าๆๆ) และอึดอัด แบบ...อยากลุกหนีอ่ะ แต่ทำไม่ได้หนังสนุก ฮ่าาๆๆๆ
สนุกจริงๆนะ มันดูเรื่อยๆ อยากรู้อยากเห็นไปกับเด็กว่าพี่ชายมันจะทำอะไร อยากเห็นวิธีฆ่าคนของพี่ชายงี้(ซาดิสละอันนี้) อยากรู้ว่าพี่มันจะทำยังไงเมื่อน้องรู้ อยากรู้บทสรุปของการมีพี่เป็นฆาตกรโรคจิตของมัน
(สปอยอะเลิ๊ดดด เล็กๆพอประมาณ อ่านไปเถอะไม่ได้ช่วยให้เสียอารมณ์เท่าไหร่)
สุดท้ายหนังก็จบแบบ...หนังสยองขวัญเก๋ๆ ไม่มีตำรวจ ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีคำตอบ ตายคือตาย รอดคือรอด ไม่ต้องหาบทสรุป นอนจมกองเลือดอยู่แบบนั้นแหละ ชีวิตมันจะเป็นยังไงก็ไปคิดกันเอาเองละกัน
พีคสุดคือฉากฆาตกรรมสุดท้าย ไม่เห็นเลยนะว่ามันทำอะไร ให้ดูแต่หน้าเด็กแบบเต็มเฟรม ละก็ตัดสลับกับช่องประตูมืดๆ ทั้งหมดปกคลุมไปด้วยเสียงกรีดร้อง เสียงโวยวาย เสียงกระอักเลือด และความเงียบ............................................................................................................. (เงียบยาวๆเลยจริงๆ)

เก๋ตรงนี้~ ชอบๆ มันให้ฟิลเหมือนดูหนังสยองขวัญโบราณ หรือหนังคัลท์ยุค50-90อะไรแบบนั้น เตือนความจำตัวเองตลอดเวลาเลยว่า นี่ตูกำลังดูหนังปี2012นะคะ ทันสมัยหน่อย
เอาจริงๆในหนังออกจะย้อนยุคหน่อยๆด้วยนะ ยังเช่าวิดิโอเทปกันอยู่เลยเหอะ

นี่คือแค่มุมของหนังสยองขวัญ ดีงามมาก มาเรียบๆแต่เรียกความหวั่นผวาได้ดี

*คำเตือน: นี่เป็นความคิดส่วนตัวล้วนๆ และบ่นแบบ...บางทีก็ไม่รู้ว่าบ่นอะไร ฮ่าๆๆๆๆ*
มาดูความดราม่ากันดีกว่า
รอบตัวMartyนี่ มันน่าาาา พาให้เด็กใจแตกจริงๆ ตอนแรกนึกอยู่ว่ามันจะมีบทสรุปเหมือนพี่ชาย แต่นึกได้ว่าคงไม่มั้ง ไม่งั้นมันจะเป็นตัวเอกได้ไง(เปลี่ยนความคิดแบบง่อยๆ ฮ่าๆๆ)
คือมันเจอปัญหา ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน แม้แต่โบสถ์ก็ยังเจอ(ในเรื่องไม่เชิงเป็นโบสถ์หรอก เป็นที่ชุมนุมฟังเทศน์ไรงี้มากกว่า) แถมยังชอบหนังสยองขวัญอีก
แววความเปลี่ยนแปลงในตัวเด็ก12ขวบคนนี้เริ่มมาละ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้
แม้จะชื่นชมพี่และเริ่มมีความคิดต่อต้านหัวรุนแรง แต่Martyก็ยังเป็นเด็ก เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่งที่พี่ชายเสนอ แต่ก็ไม่มีอำนาจและกำลังพอที่จะหยุดการกระทำของพี่ชาย

เมื่อแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งเดียวที่Martyทำได้คือ สงสัย ได้แต่คาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
อย่างที่พวกเราทุกคนกำลังทำกันทุกวันนี้นั่นแหละ ได้แต่เดาว่าวันข้างหน้าจะเป็นไง(เกี่ยวไรว่ะ?)
เหมือนไม่เกี่ยว แต่คิดให้เกี่ยวก็ใช่ ฮ่าๆๆๆ
เด็กจะไม่สงสัยในวันข้างหน้าไง เด็กจะคิดแค่ว่าถ้าพวกเขาทำสิ่งนี้ แล้วมันจะถูกหรือผิด? ผลที่ตามมาคือดีหรือไม่ดี อย่างถ้าต่อยเด็กเกเรกลับแล้วชีวิตมันจะดีขึ้นจริงหรอ? จะเจอปัญหาอะไรหลังจากนี้ละ? จะโดนทำโทษมั้ย? แล้วทำแล้วมันจะหยุดรังแกฉันมั้ย? นี่คือปัญหาหลักที่Martyพยายามคิดมาตลอดครึ่งเรื่องแรก
แต่เมื่อMartyตัดสินใจก้าวผ่านความคิดแบบเด็กๆ และตัดสินใจต่อยคนที่รังแกเขากลับ สิ่งเดียวที่Martyตั้งใจหลังจากนี้ไปคือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคือผู้ชนะ (อันนี้เริ่มเป็นความคิดที่น่ากลัวละ)
กระทั่งจุดเปลี่ยนมาถึงในคืนนั้น ที่พี่ชายมันเริ่มอาละวาดนั่นแหละ ความคิดการเอาชนะก็หดกลับไปและเหลือแต่เด็กตัวน้อยๆตามเดิม ตรงนี้โหด(คือจุดพีคที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ และจะไม่เล่าเดี๋ยวหมดสนุก)
พอผ่านคืนนั้นมา นั่นแหละ ที่Marty เริ่มคิดแบบ การสงสัยคาดเดา ที่แย่คือ...มันไม่มีคำตอบ

หนังดี งาม ภาพสวยแบบสื่อความได้ชัดเจน สัญญะง่ายๆ เห็นปุ๊บถึงขั้นร้องอ๋อ
มีจุดพลิกผันให้อึ้งทึ่งบ้าง แต่ไม่มีสรุปให้ เชิญคิดเอาเอง เอาที่ชอบ
บทดีงาม การแสดงดีงามระดับที่จัดว่าเหมาะมากสำหรับหนังแบบนี้
โดยเฉพาะ Gavin Brown เด็กที่แสดงเป็น Marty น้องอนาคตไกลแน่ กับหนังอินดี้น้องดังแน่ (หนังใหญ่ของให้คิดอีกที ยังไม่น่าจะได้บทดีๆในเร็วๆนี้)

บ่นมาก็เยอะ สำหรับความสยอง
10/10
...นะจ๊ะ จบเลย (ใครจะหักคะแนนตรงไหนก็แล้วแต่ละกัน ฉันจะให้แบบนี้ ฺฮ่าๆๆๆ)

เม้ามอยของแถม

หนังสยองขวัญที่ Marty อยากดูและหาในร้านเช่าไม่ได้ แต่ดันไปเจอในห้องพี่ชายคือเรื่อง Headless ซึ่งเป็นแรงบรรดาใจในการฆ่าคนของ Steve ผู้เป็นพี่
ตอนนี้ Headless เป็นหนังจริงๆแล้วนะเออ ฉายในอเมริกาไปเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2015 นี่เอง
ใช้นักแสดงอย่าง Shane Beasley เล่นเป็นฆาตกรหน้ากากกะโหลก คนเดิมกับที่อยู่ใน Found. นี่แหละ
แอบไปอ่านรีวิวมา น่าดูเหมือนกัน เดี๋ยวจะจัดทีหลัง

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: A Good Marriage (2014)

*อาจเผลอสปอย*
Stephen King's A Good Marriage (2014)
Directed by Peter Askin
Cast: Joan Allen, Anthony LaPaglia and Stepehn Lang

ชีวิตแต่งงาน27ปีอันแสนสงบสุขของ บ๊อบ และ ดาร์ซี่ กำลังถึงจุดจบหรือไม่? เมื่อดาร์ซี่พบว่าสามีของเธออาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ข่มขืนและฆ่าหญิงสาวอย่างโหดเหี้ยม
ความหวาดระแวงเริ่มกลายเป็นฝันร้าย วิธีเดียวที่จะรับมือกับเรื่องน่าสะพรึงนี้ได้คือคุยกับบ๊อบให้รู้เรื่อง และได้แต่ขอให้เขาสัญญากับเธอว่าเรื่องเลวร้ายนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก...

ไม่มีอะไรน่าสนใจขนาดว่า เฮ้ยต้องดูนะ ต้องดู๊!!!
แต่อยากแนะนำสำหรับแฟนคลับเฮีย Stephen King(ซึ่งโพสเตอร์บางอันก็พาดชื่อเฮียแกใหญ่กว่าชื่อหนังอีก ฮ่าาๆๆ) และคอหนังทริลเลอร์ทั้งหลาย...ที่เน้นว่าทริลเล๊อออ ทริลเลอร์ จริงๆนะ ไม่มีความสยองขวัญหรือดราม่าเข้ามาปะปนประมาณนั้น ควรดูๆ

หนังไม่น่าจะเรียกว่า สนุก แต่เรียกว่า ดูได้เรื่อยๆ แก้เบื่อแก้เซ็งได้ดี
จังหวะลุ้นมีให้รู้สึกบ้างพอประมาณ ไม่เครียดและไม่หนักเกินไป ระหว่างจังหวะลุ้นๆก็มีเรื่องราวให้ตาม
ก็ดึงให้คนดูสนใจได้ทั้งเรื่องแหละง่ายๆ
โดยส่วนตัว ชอบงานเฮียคิงอยู่แล้ว และคิดว่าอันนี้คือแจ่ม มันไม่น่ากลัว มันไม่ชวนตกใจ แต่มันชวนอึ้งอยู่เหมือนกัน จากแม่บ้านสวยๆรักลูกรักสามี กลายเป็นคนเลือดเย็นภายในพริบตา แล้วก็ทำให้คิดได้ถึงความสามารถของคนธรรมดาที่ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ชีวิตวุ่นวาย
แต่ก็อีกแหละ ชีวิตจริงใครจะทำแบบนี้ได้ง่ายๆล่ะ =..=

ช่วงแนะนำเพิ่มเติมอีกเรื่อง (ช่วงบ้าไรว่ะ -*-)
A Good Marriage น่าจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของหนังแนวชีวิตแต่งงานแสนสงบที่จู่ๆก็มีเรื่องหนักหนามาให้แก้ไข แต่ด้วยสไตล์ของหนังเลยเรียบง่าย เรื่อยเปื่อย และนิ่งงงง สนิทแบบเยือกเย็น
แต่ล่าสุดกับแนวๆนี้ก็เพิ่งดู Home Sweet Hell(2015) ไป
หนังแนวเดียวกันกับที่กำลังพูดถึง แต่คนละประเภทเลยค่าาา
Home Sweet Hell ผลงานกำกับของ Anthony Burns นำแสดงโดย Katherine Heigl และ Patrick Wilson เป็นดราม่าตลกร้าย ที่ไม่มีการฆาตกรรมมาเป็นประเด็นปัญหา แต่เป็นประเด็นชู้สาวและการแบล็กเมล
ซึ่งภรรยาแสนสวยสุดเพอร์เฟคก็เป็นคนแก้ปัญหา(เหมือน A Good Marriage นี่แหละ) แต่นางโหดและโรคจิตของนางทำให้หนังดูมีสีสันขึ้นเยอะ
ใครชอบแนวฆ่าโหดตัวละครโรคจิตแต่ติดตลก ก็...นี่เลย Home Sweet Hell นะจ้ะ
ไม่ได้เขียนบ่นเรื่องนี้เพราะตอนดูจบรีบกลับบ้าน ละก็ลืม ฮ่าๆๆๆๆ เอาจริงหนังเรื่องนี้ดีเกือบหมดนะ ยกเว้นที่มาของตัวละครที่ขาดความน่าเชื่อถือ ประเด็นความโรคจิตที่ไม่เผยเต็มที่และปล่อยให้เราคิดไปเองว่ามันเป็นอะไร แถมยังจบแบบ...แย่อ่ะ สรุปคือทั้งเรื่องแกปูความสามารถภรรยาแสนสวยคนนี้มาทำไมมมม (หงุดหงิดขั้นสุด ให้คะแนนตรงนี้เลยก็ได้ว่า 5/10 สำหรับ Home Sweet Hell)

โอเคกลับมาที่ A Good Marriage
งานภาพดีงามในระดับนึง เพลงประกอบจัดว่าดี (โดยเฉพาะเพลงตอนจบ ชอบมากกก)
สำหรับนักแสดง Joan Allen คือดีงามมาก นางยังแจ่มอยู่เลย ฉันจำป้าแกได้จาก Face/Off(1997) และเรื่องนี้นางก็เล่นได้...สยองดี น่ากลัวกว่าสามีที่เป็นฆาตกรเสียอีก บ่งบอกได้ชัดเจนว่าอย่างไปแหย่มกับชีวิตแสนสงบของป้าแกเด็ดขาด ขนาดสามียังไม่เว้น
ส่วนบทสามี Anthony LaPaglia ยอมรับว่าไม่รู้จัก ฮ่าๆๆๆ แต่ลุงแกเท่ดีนะ เหมาะกับบทฆาตกรโรคจิตรูปหล่อล้อลวงสาวสวยมากเบย...คือ...ก็มีเสน่ห์แบบคนแก่น่ะนะ (ถ้าคอซีรี่ส์สืบสวนอาจจะเคยดูผลงานลุงแกใน Without a Trace ในบท Jack Malone /เห็นแว๊บๆว่ามีไปโผล่ในCSIเวกัสปี2007ด้วย //ใครจะจำได้เล่าวุ้ย)

ส่วนเรื่องบทไม่ต้องพูดถึง เพราะเจ้าของนิยายแกเขียนเองงงง
หนังสร้างจากเรื่องสั้นในนิยาย Full Dark, No Stars เมื่อปี2010 ชื่อตอน A Good Marriage นี่แหละ เป็นแนว Suspense หรือก็น่าจะสืบสวนนั่นแหละนะ ซึ่งแนวนี้ของเฮียคิงก็สนุกนะ ไม่แพ้แนวสยองขวัญเลย
เผื่อใครที่สนใจ(ซึ่งเดี๋ยวอีนี่คงหาอ่าน)
Full Dark, No Stars(2010) มีอีก3ตอนคือ...
1922 - อันนี้แนวสยองขวัญ
Big Driver - สืบสวน และถูกสร้างเป็นหนังทีวีไปแล้วโดยค่าย Lifetime
Fair Extension - แนวสยองปนตลกร้าย สไตล์เฮียคิง...ก็ไม่น่าจะเรียกว่าตลกน่ะนะ เฮ่อๆ

สำหรับทริลเลอร์เรียบง่ายทรงพลังเรื่องนี้ นี้ นี้ นี้ ~
7/10
เรื่อยๆดี เพลินๆ ไม่พีค ไม่ว๊าก
คะแนนเกินครึ่งคือเทให้ชื่อเฮียคิงไปแล้ว ฮ่าๆๆๆ

ปิดท้าย กับ ช่วงแนะนำเพลงประกอบหนังเด็ดๆ
Tombstone Every Mile เดิมเป็นเพลงคันทรี่ ของ Dick Curless ปี 1965
และนี่เป็นเวอร์ชั่นใหม่สำหรับประกอบ A Good Marriage โดยเฉพาะ ร้องโดย Jaymay
โดยส่วนตัว ชอบมากนะ เพราะสุด เหมาะกับการปิดฉากเรื่องโคตรๆ

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Kill Me Three Times (2014)

*อาจเผลอหลุดสปอย*
Kill Me Three Time (2014)
Directed by Kriv Stenders
Cast: Alice Brage, Teresa Palmer, Luke Hemsworth and Simon Pegg

นักฆ่ารับจ้างอาชีพ Charlie Wolfe กลายเป็นพยานการฆาตกรรมถึง 3หน ...หนแรกคือเป้าหมายที่เขาต้องจัดการ แต่มีคนชิงตัดหน้าและเขาก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น ส่วนหนต่อๆมาเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความแค้นและการแบล็กเมล

ถ้าจะละเอียดกว่านี้ก็ทั้งเรื่องแล้วแหละนะ
ถือเป็นหนังตลกร้ายสัญชาติออสเตรเลียที่แนวใช่ได้ ถ้าจะให้เปรียบตอนนี้ก็นึกได้แต่แนวแบบ Quentin Tarantino สมัย Pulp Fiction หรือ Reservoir Dogs แต่ของเฮียTarantinoแกเด็ดดวงกว่าหลายขุม
แต่ Kill Me Three Time อันนี้เหมือนพยายามจะเล่นความเก๋ไก๋ในเรื่องลำดับเวลา เหตุการณ์ ความซับซ้อน และการฆ่าแบบเห็นเลือดเห็นเนื้อสะใจคอหนังโหด แต่ไร้ซึ่งศิลปะและออกแนวสะใจอย่างเดียวจริงๆ

ก็เห็นรีวิวหลายเว็บนะ ที่บอกผิดหวัง แย่มาก ไรงี้
น่าจะเพราะดาราที่มาใหญ่ก็เยอะ และตัวอย่างหนังที่ดูน่าจะดีกว่านี้ แต่พอมาดูเต็มๆเรื่องความเนือยมันยังมีอยู่เยอะเกินจะเป็นหนังตลกร้ายที่น่าดึงดู ...จริงๆน่าจะเรียกได้ว่าที่เห็นในตัวอย่างคือทั้งหมดของหนังแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ
เรียกง่ายๆว่าเสียดายของนั่นเอง ดาราดี ภาพสวย แต่ดันไม่สุด สนุกพอรับได้

ที่สำคัญ ถ้าไม่มี Simon Pegg คือจบเห่มาก เฮียเป็นตัวชูโรงของเรื่องเลยนะ คีย์สำคัญเลย แถมยังแสดงได้กวนประสาทแบบสุดๆ(ก็ไม่สุดเท่าหนังของเฮียแกเองแต่ก็ถือว่าโอเคที่สุดในหนังเรื่องนี้แล้วแหละ)
บทนักฆ่าแกเหมือนเจมส์บอนด์เลยนะ มาอย่างเท่ ฆ่าไม่รอ ทักษะนักฆ่าแบบเหนือชั้น แต่ดันเสียท่าเพราะความโลภและประมาทแบบง่ายๆ

พูดถึงตัวละคร เป็นหนังที่หาความดีในตัวมนุษย์ไม่เจอจริงๆ คนทำมาหากินสุจริต ยังเปลี่ยนเพราะเงินเลยแก๊
เห็นได้ชัดจากตอนที่ Dylan (แสดงโดย Luke Hemsworth ...อ่านไม่ผิดหรอก พี่ชายคนโตของหนุ่มออสซี่ตาฟ้าตระกูล Hemsworth นั่นแหละ) ฆ่าคนแล้วไม่รู้สึกสำนึกผิดเลย ครั้งแรกอาจจะเพราะโกรธแค้น แต่ครั้งที่สองเพราะเงินล้วนๆ
ไหนจะ Nathan(แสดงโดย Sullivan Stapleton พระเอก 300: Rise of an Empire นั่นเอง) หมอฟันเห่ยๆ ที่ดูจะทำอะไรไม่เป็น สุดท้ายก็โลภพอกัน
แบบนี้คงไม่ต้องถามถึงคาแรกเตอร์ตัวอื่นนะ นิสัยไม่ต่างกันเท่าไหร่

เม้าม้อย: ดาราสองคนที่กล่าวมาแสดงได้แข็งพอควร ไม่เด็ดเหมือนคนอื่นซึ่งยศใหญ่กว่าแน่นอน

ประเด็นคือมันไม่มีที่มาที่ไปในความโลภ หรือความแค้นอะไรเลย
คนที่ดูมีเหตุผลที่สุดในการกระทำทุกสิ่งก็คือ Alice เมียเจ้าพ่อที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่อง พาลให้คนนั้นคนนี้ฆ่ากันให้ทั่วไปหมด รายนี้รับบทโดย Alice Brage จาก I Am Legend และ Elysium ที่ก็ถือว่าแจ่มนะ แสดงดีทีเดียว
มาถึงสาวๆแล้ว จะไม่พูดถึงคนนี้คงไม่ได้ Teresa Palmer สาวสวยหัวทองตาฟ้าาา
นางเอก Warm Bodies กับ The Sorcerer's Apprentice
คนนี้ชอบโดยส่วนตัว นางเล่นได้ร้ายดี ตายโหดมาก (สปอยยยยย!!!!) << คือจริงๆคนตายเกือบหมดเรื่องเลยเฮ้ย ดูชื่อเรื่องด้วย =..=

หลักๆเลย ชอบนะ สนุกดี ตลกร้ายโหดๆ
ภาพสวย จัดโทนสีได้แจ่ม พรีเซ็นคาแรกเตอร์ของ Simon Pegg เท่ดี
บทก็...งั้นๆนะ ซับซ้อนดี ล้ำลึกดี แต่ตื้นไปหน่อยสำหรับหนังแนวนี้

เพราะงั้นเอาไป
7/10 นะคะยู
โทษฐานที่ปล่อยความเนือยมาเยอะมาก สำหรับหนังแบบนี้

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Cake (2014)

*สปอย สป๊อย สปอย*
Cake (2014)
Directed by Daniel Barnz
Cast: Jennifer Aniston, Adriana Barraza, Sam Worthington and Anna Kendrick

เรื่องราวของ Claire Bennett เธอประสบอุบัติเหตุรถชนและสูญเสียลูกชายตัวน้อยในเหตุการณ์นั้น ความเจ็บปวดกัดกินเธอทั้งภายในและภายนอก ร่างกายที่ไม่ฟื้นจากอุบัติเหตุทำให้การใช้ชีวิตยากลำบากและต้องมีคนคอยดูแล คนนั่นคือ Silvana ผู้อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ทั้งยังเข้าใจเธอแม้ว่านายจ้างของตนจะมีนิสัยไม่น่าคบเอาเสียเลย

ตลอดเรื่องไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากโชว์ให้เราเห็นว่าคนที่เจ็บปวดแสนสาหัสขนาดนี้จะข้ามอุปสรรคไปได้อย่างไร
...ปัญหาก็คือ อุปสรรคคืออะไร? ลืมเหตุการณ์ไม่ได้? ความสูญเสีย? ตามหาสิ่งที่ขาด? ความรัก? การต่อสู้กับความรู้สึกอย่างฆ่าตัวตาย? หรือความจริงที่ว่าเธอไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปยังไง...

Claire ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าคนรอบข้างเธอจะเป็นยังไง เธอมีหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ หรือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
อันนี้เห็นได้ชัดเจนเลยตอนนางไปรับเด็กใจแตกกลับมาบ้าน โดยไม่สนใจเลยว่านางจะขโมยของหรือเปล่า สิ่งที่นางต้องการคือให้สาวน้อยคนนี้ทำเค้กให้สักปอนด์ (เพื่อเอาไปให้ลูกชายของอีกบ้านเนื่องในวันเกิดเสียด้วย)
รวมถึงการไปตามราวี Roy(แสดงโดยSam Worthington) สามีของ Nina(แสดงโดย Anna Kendrick) ไม่ใช่เพื่อจะสวมรอยแทนภรรยาที่ฆ่าตัวตาย(ตอนแรกคิดแบบนั้น) แต่ดูนางจะต้องการเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจทำนองนั้น เรียกง่ายๆก็ เพื่อนตาย ก็ไปหาสามีของเพื่อนแหละว่ะ ...แม้หนังไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าNinaเป็นเพื่อนนางขนาดนั้น คือเปิดเรื่องมานางก็ตายแล้ว แต่ดูก็รู้ว่านางเป็นคนคนเดียวที่ Claire รู้สึกแคร์หลังจากการสูญเสียในชีวิต
ทั้งที่จริงๆแล้วเพื่อนใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น Silvana แม่บ้านของนาง
Silvana ดูจะเข้าใจความเจ็บปวดของ Claire และค่อยดูแลห่างๆตามแต่ที่หน้าที่ของเธอจะทำได้ แม้นายจ้างเธอจะอารมณ์ร้าย ขี้โมโห และมีนิสัยหลอกใช้คนรอบข้างเพื่อให้ตัวเองสบายใจ ถึงอย่างนั้น Silvana ก็ไม่เคยคิดจะทิ้งเธอไปไหนแม้ Claire จะทำเธอหัวเสียอยู่บ่อยๆ

อย่างนึงที่ชอบมากคือความหมายของ Life ในเรื่องนี้
ไม่มีอะไรยั้งยืน ไม่มีอะไรถาวร ไม่มี Happily ever after ไม่มียาวิเศษหรือคนพิเศษที่จะเยียวยาแผลในอดีตให้หายขาด บาดแผลเป็นจะอยู่กับเราไปตลอด จะเดินหน้าต่อได้ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวดแล้วก้าวต่อไป ไม่ใช่พยายามลืมหรือทำให้แผลหาย มันไม่ได้ผล ที่สำคัญคือการมีคนที่คอยช่วยเก็บเศษซากแตกสลายของเรา เพื่อให้เราเราต้องประกอบเศษซากพังๆของตัวเองให้ได้ สำคัญที่สุดคือคนที่คอยช่วยเก็บซากแตกๆของเราปะติดปะต่อชีวิตเข้ากันใหม่ด้วยตัวเอง

ช่วงบทสนทนาโดนใจ (ช่วงใหม่ จะโผล่มาถ้ามี และขอไม่แปล เดี๋ยวไม่อิน)
Silvana: "They are friends when I was younger. You know? Now they are not friends. Because of money."
Claire: "That's fucked up."
Silvana: "That's life."
ใช่ That's life ราวกับคำว่า ปลงซะ ของเราแหละนะ มัวแต่ยึดติดก็ไม่ต้องไปไหนกันพอดี มันพังไปแล้วก็ปล่อยมันไว้ข้างหลัง

...เอาเถอะนะ(ฉันบ่นอะไรมาได้ตั้งยาว) หนังดราม่าชีวิตเศร้า ดูแล้วเครียดกลั้นหายใจเป็นฉากๆ แต่สนุกใช้ได้ทีเดียว น่าเหลือเชื่อที่มันทำให้ขำได้ด้วย ขำแบบทำร้ายชีวิตอ่ะ ตรงนี้อาจจะต้องยกนิ้วให้คนเขียนบท และการแสดงของ Jennifer Aniston (นางชิง Golden Globe กับ Screen Actors Guild สำหรับเรื่องนี้ด้วยนะ) ประชดประชันหน้าตายเนี่ยต้องยกให้นาง แต่บทจะเศร้า เจ็บปวด สติแตก นี่ฮือฮาใช้ได้เลย แต่ละซีนนี่ ถ้าไม่กลั้นหายใจ ก็เกร็งมือซะจนปวดนิ้วทีเดียว มันเครียดนะ แล้วก็พาลให้เจ็บปวดไปด้วย
ถ้าคนมีประสบการณ์ของการสูญเสียดูแล้วน่าจะเข้าใจ หรือคนที่ไม่เคยประสบอะไรทำนองนั้นก็เข้าถึงอารมณ์ได้ไม่ยาก เพราะนางแสดงออกมาให้เห็นแบบชัดเจนแจ่มแจ้งเลยทีเดียว

นอกนั้นนักแสดงคนอื่นก็ดีไม่แพ้นางหรอก
Adriana Barraza คือดีงาม เห็นนางใน Drag Me to Hell แล้วรู้สึกอยากสาปส่งคนไล่ผีหลอกลวง ฮ่าาๆๆ แต่เรื่องนี้เล่นดีๆ น่ารักทีเดียว
ขำขันตรง William H. Macy มาโผล่เพื่อให้นางเอกเตะต่อยนี่แหละ โถ่ๆลุงเอ๊ยย
มี Mamie Gummer ลูกสาวคนโตของป้า Meryl Streep ด้วยนะ ใครจะตามเก็บงานสาวๆพี่น้อง Gummerก็นี่เลยยย แต่คือนางโผล่มาซีนเดียวนะขอเตือน ฮ่าๆๆๆ
(ใจจริงชอบ Grace มากกว่า อันนี้แนะนำ The Homesman นะจ้ะ)

หนังดีๆ ภาพสวยสื่อความหมาย แต่ไม่ได้ส๊วยสวยระดับดูแล้วประทับใจ
บทคือดีงามไม่ต้องพูดถึง
เพลง...ก็เฉยๆนะ ไม่เด่นอะไร

สำหรับดราม่าสะเทือนหัวใจบีบอากาศออกจากปอดสักเรื่อง...
8/10
ไม่พีค แต่ตราตรึงอารมณ์ เทคะแนนให้เจ๊ อนิสตัน ด้วยส่วนนึง
ในความคิดเราบททำนองนี้นี่คู่แข่งคนสำคัญของ Julianne Moore ใน Still Alice เลยนะ (เรื่องนั้นพีคกว่าน่ะสิปัญหา)

ข้อสังเกตน่าติดตาม ที่รู้ก็ดีไม่รู้ก็ไม่เสียหาย
Cake น่าจะเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวของบทบาทสาวแกร่งที่น่าจับตามองเหมือนกัน
ปี2014ที่ผ่านมา ดูเหมือนความโดดเด่นจะตกเป็นของสาวๆ เรียกได้ว่าปีทองเลย ไม่ใช่แค่กับหนังตลาดใหญ่อย่าง Lucy, Divergent หรือ Hunger Games เท่านั้นหรอก พวกหนังรางวัลปีนี้ล้วนเต็มไปด้วยสาวๆ
ทั้ง Still Alice, Wild, Big Eyes และ Two Days, One Night รวมถึงหนังที่สาวๆสุดแกร่งเป็นตัวรองอย่าง Boyhood กับ The Imitation Game ก็มีบทบาทคล้ายกันทุกเรื่อง
แถม Cake ยังเป็นงานสร้างของบริษัท Echo Films ที่ Jennifer เป็นเจ้าของเองด้วย (สร้างเองเล่นเองนะจ้ะ อีหลอบเดียวกับ Reese Witherspoon ในเรื่อง Wild นั่นแหละ)
เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

จริงๆทุกปีมันก็มีหลุดมาให้เห็นประปลายนะ แต่นี่คือเยอะมาก
ก็ตามเก็บกันต่อไป~

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: The Cobbler (2014)

*สปอยเน้นๆ*
The Cobbler (2014)
Directed by Thomas McCarthy
Cast: Adam Sandler, Steve Buscemi, Ellen Barkin, Dan Stevens, Method Man and Dustin Hoffman

Max Simdin ช่างซ่อมรองเท้ามือเก๋าในนิวยอร์ก ชีวิตแสนน่าเบื่อและเรื่อยเปื่อยไปในแต่ละวันต้องเปลี่ยนไป เมื่อเขาพบว่าเครื่องเย็บรองเท้ารุ่นดึกที่พ่อทิ้งไว้ดันมีเวทมนต์! เมื่อเขาใส่รองเท้าที่เย็บโดยเครื่องนี้ เขาจะแปลงร่างกายเป็นเจ้าของรองเท้า เขาสามารถเป็นใครก็ได้และไปไหนก็ได้โดยไม่มีใครสงสัย
การสวมรอยเป็นคนอื่นและออกไปใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จึงเริ่มขึ้น

แค่เห็นหนัง Adam Sandler ก็เกือบจะไม่หยิบมาดูแล้วนะ หลังๆหนังเฮียแกไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ (ใครเป็นแฟนหนังเฮียก็ขออภัยนะคะ)

แต่เรื่องนี้เฮียแกไม่ได้สร้างน่ะสิ แถมคาแร็กเตอร์ยังไม่งี่เง่าด้วย เออนะ ลองดูซะหน่อย

แล้วก็ไม่ผิดหวัง หนังน่ารักทีเดียว เพ้อฝันเซอร์เรียลนิดๆ Heroicหน่อยๆ เน้นหนักความสัมพันธ์ครอบครัวทำนอง พ่อ-ลูก ...แถมยังให้อารมณ์เมืองนิวยอร์กได้อบอุ่นดี เกือบบบบ จะเหมือนอารมณ์ในหนัง Manhattan (1979, Woody Allen) ละ อีกนิ๊ดดด เดียว คือมันไม่ใช่หนังโรแมนติกน่ะ เลยไม่ได้ให้บรรยากาศชวนฝันของมหานครใหญ่ขนาดนั้น
แต่มันดูอบอุ่นแบบคนอยู่อาศัยมาเป็นชั่วอายุคนประมาณนึง ความขลังแบบแปลกๆของร้านทำรองเท้า หรือร้านตัดผมข้างๆ ดูอย่างกะย้อนไปหนังยุค70-80 ที่ไม่ได้เป็นขาวดำ(และเสื้อผ้าสมัยใหม่หน่อย) อย่างไรก็ดี มันนิวย๊อกกก นิวยอร์ก แบบสุดๆ (ที่พูดเนี่ยไม่รู้หรอกนะว่าบรรยากาศนิวยอร์กเป็นไง เทียบกับหนังเรื่องอื่นๆเอาน่ะ)

ซึ่งคิดๆดูแล้ว ไม่รู้จะหาได้ยังไงมุมสงบเรียบง่ายในเมืองใหญ่ขนาดนี้ (มันมีจริงๆมะ? อันนี้ไม่รู้) ขนาดกรุงเทพ...รู้นะว่าเทียบกันไม่ได้ แต่แค่นี้ยังหาความสงบลำบากเลย ชีวิตนิ่งๆ ในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลเนี่ยนะ? ชวนฝันได้อีก~

หนังเกือบจะเรียกว่าเงียบ เพลงประกอบไม่เด่น แต่มีส่วนให้ความเพลิดเพลินในแต่ละซีนแบบไม่รู้ตัว ทำนองเหมือนหนังตลกที่ใส่เพลงประกอบมาให้เห็นถึงความวุ่นวายที่ตัวละครกำลังทำ อะไรแบบนั้น
ภาพถือว่าสวยนะจะว่าไปแล้ว สวยแบบเมืองๆ ซีนสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนร่าง ก็ไม่หวือหวาด้วยเทคนิคประหลาดๆแต่เล่นมุมกล้องเอา เรียบง่ายดี
บทคือดีงาม เล่าเรื่องเร็วไม่ยืดเยื้อ พาเราไหลลื่นไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ แต่ไม่ทิ้งให้เคว้งจนเกินไปว่านี่เรื่องมันจะไปทางไหนเนี่ยย อะไรทำนองนั้น และการเดาเรื่องคือทำได้ยากมาก กว่าจะพอเดาได้คืออีก10วิหนังจะเฉลยแล้ว ฉากซึ้งระหว่างพ่อลูก/สามีภรรยาคือดี ตลกบ้างพอขำขัน อมยิ้มเบาๆ

เรื่องการแสดงไม่ต้องพูดถึง ระดับไหนกันแล้วล่ะคนพวกนี้ ยิ่งแต่ละซีนที่ Dustin Hoffman ออกมาคือขนลุกนะ ลุงแกยังเจ๋งอยู่จริงๆ ยิ่งรับบทเป็นพ่อผู้ดูแลลูกอยู่ห่างๆคือดีงามมากกก
สำหรับ Adam Sandler เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้น่าหงุดหงิด คาแร็กเตอร์เหมาะกับเฮียแกดี แทบจะเรียกว่าชอบบทนี้เลยแหละ

แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ที่น่าประหลาดใจคือทิศทางจบของหนังน่ะสิ
 (เอาละ สปอยละนะ เน้นๆเลยตรงนี้)
มันให้อารมณ์ดีๆเหมือนเดิมนะ ยังคงอบอุ่นแบบเมืองๆ จบน่ารักด้วยซ้ำ
แต่จากหนังเวทมนต์รองเท้าวิเศษ ความสัมพันธ์ครอบครัว มันกลายเป็นฮีโร่ย่านชุมชนไปได้!
คือมันเป็นผลพลอยได้ของการสวมรองเท้าแล้วเปลี่ยนหน้าไง แกจะเป็นใครก็ได้ทำอะไรก็ได้ถูกมั้ย
จะปล้นคนรวยเลวๆเพื่อเอามาให้คนที่ถูกกระทำ(เอานาฬิกาเรือนแพงระยับของสามีไปให้ภรรยาที่โดนซ้อม เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่)
การคลี่คลายปัญหาชุมชน เพื่อช่วยคนที่ไม่มีทางสู้(คนแก่โดนมาเฟียธุรกิจไล่ที่)
หรือจะเพื่อเอาใจสาว(สาวทำงานเพื่อสังคม คอยปกป้องคนแก่ที่โดนไล่ที่)

รองเท้าได้กลายเป็นหน้ากากซุปเปอร์ฮีโร่ไปแล้วจ้า ...เออนะ เข้าท่าดี
ที่น่าขันยิ่งกว่านั้นคือการปิดเรื่องราวทั้งหมดแบบ...เรื่องนี้มันมีเบื้องหลังเบื้องลึกมากกว่าแค่ รองเท้าวิเศษที่ตกทอดรุ่นสู่รุ่น มันมาเป็นชุมชนคอมมูนิตี้เลยนะแก ไม่ได้มีแค่ครอบครัวนี้ที่ทำได้ไรแบบนั้น

แฟนซี เซอร์เรียล ฝุดๆ ไปเล๊ย
7/10 ละกันนะ
อย่างที่เห็นบ่อยๆ บ่นชอบๆๆ ชมๆๆ (ซึ่งการให้คะแนนไร้ซึ่งมาตราฐานสากลโดยสิ้นเชิง)
แต่ไม่พีคอ่ะค่ะ แถมลงท้ายเปลี่ยนแนวหนังด้วย(แม้จะแปลกดีแต่มันขัดมูดน่ะ)

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Song One (2014)

*ไม่สปอยเท่าไหร่หรอก*
Song One (2014)
Directed By: Kate Barker-Froyland
Cast: Anne Hathaway, Johnny Flynn, Mary Steenburgen and Ben Rosenfield

เรื่องเริ่มที่ เฮนรี่ น้องชายของ แฟรนนี่ ถูกรถชนและอยู่ในอาการโคม่า แฟรนนี่ต้องเดินทางกลับนิวยอร์กเพื่ออยู่เคียงข้างน้องชายที่ขาดการติดต่อมานาน การกลับมาครั้งนี้ทำให้เธอได้เรียนรู้เรื่องราวของเขาผ่านเสียงดนตรีที่เฮนรี่รัก
และทุกอย่างก็พาให้เธอได้พบกับ เจมส์ ศิลปินอินดี้ผู้เป็นแรงบันดาลใจของเฮนรี่

เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อน ดูง่าย เรื่อยๆ แอบง่วงนิดๆ แต่ก็ชอบนะ น่ารักดี เป็นหนังเพลงสไตล์อินดี้ที่โอเคเลย ตอนแรกนึกว่าจะถึงขั้นดูไม่ไหวซะอีก โดยส่วนตัวชอบมากกว่า Begin Again อีกน่ะ
เหมาะแก่การดูเรื่อยยย เปื่อยยย ไม่คิดอะไรจริงๆ

แต่ด้วยความง่ายของมันนี่แหละที่ทำให้น่าเสียดาย มันดูหลวมๆยังไงชอบกล เหมือนนั่งดูตัวละครจากเอ็มวีที่ไม่มีพื้นเพอะไรให้เข้าใจ มันเจอกันมันรักกันมันแยกจากกัน(อ้าวสปอย!) เหมือนเรื่องจะดำเนินอยู่เฉพาะช่วงเวลาที่เฮนรี่หลับไป แล้วพอมันตื่นทุกอย่างก็จบ ความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวกับไอดอลก็น่าจะจบด้วยนะ ไม่น่าจะลงเอยกันได้ดี (ฉันเลือกที่จะคิดว่ามันแยกกันไปดำเนินชีวิต ต่างคนต่างไป)
และการพบกันของหนุ่มสาวคู่นี้ นอกจากจะดูเป็นการเยียวยาช่วงเวลาทุกข์ยากกับผู้หญิงแล้ว
มันยังเหมือน แฟรนนี่กับเจมส์จะเป็นแค่ "เรื่องราว" ในเพลงของเฮนรี่ ซึ่งกำลัง "ฝัน" ให้เราเห็น หรืออะไรประมาณนั้น อย่างกับความคิดในหัวของพวกนักแต่งเพลงประมาณนั้นอ่ะ (ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นไง แต่ดูแล้วมันคิดแบบนี้)

พอมันตื่นเราก็ตื่น
ตื่นจากฝันที่มีเพลงฟุ้งๆ เสียงบรรยากาศนิวยอร์ก ฉากนิวยอร์กมืดๆความสวยงามของแสงไฟยามค่ำของมหานครใหญ่
เพื่อกลับไปใช้ชีวิตช่วงกลางวัน ที่ไม่มีเพลง เสียงบรรยากาศไม่ได้น่ารื่นรมย์ แสงสียามค่ำคืนก็ไม่ได้สวยงามขนาดนั้น แน่นอนว่าไม่มีฝันไหนที่เราจะแฮปปี้เอนดิ้งเสมอไปถูกมั้ย? งั้นจบแบบนั้นก็สมบูรณ์ดีแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เห็นด้วยกับการจบแบบนี้นะ เข้าท่าทีเดียว

...ฉันบ่นอะไร ฮ่าๆๆๆ

น่าสงสารสำหรับ Song One ที่ไม่ดังซะงั้น ไปดูรายได้ของหนังแล้วต้องร้อง "โถ่ๆ" ดังๆ ฮ่าๆๆ
หนังทุนสร้าง6ล้านเหรียญ แต่เก็บรายได้ไป2หมื่นเหรียญเองงงงง TTwTT /เสียใจแทนจีจี

เรื่องการแสดงของดาราในหนังไม่ต้องพูดถึง เยี่ยมยอดทุกคน
ภาพสวยแบบฟุ้งๆ เบลอๆ มืดๆ มีโบเก้เยอะๆ(ดวงไฟเบลอที่แบล็กกราวน์น่ะ)
บทดีงามในระดับนึง นั่นรวมถึงเนื้อเพลงที่กินใจกับเนื้อเรื่องได้ดี เหมาะกับความเป็นหนังเพลง โดยเฉพาะเพลงแนวนี้

จากทั้งมวลที่บ่นมา ถึงจะชอบ
แต่ก็ให้ได้แค่...
6/10
เนื่องจากหนังทำให้ง่วง 6ที่ให้นี่คือเทให้เพลงและเจ๊แอนล้วนๆ (ลำเอียงโคตรๆฮ่าๆๆ)

แถมเพลงโปรดในหนังซะหน่อย
"In April"
Song One, Original Motion Picture Soundtrack
music by Jenny Lewis & Johnathan Rice
performed by Johnny Flynn


วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Birdman (2014)

*สปอยหนักมาก*
Birdman: Or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014)
Directed by Alejandro González Iñárritu
Cast: Michael Keaton, Emma Stone, Zach Galifianakis, Edward Norton and Naomi Watts

เรื่องราวของ Riggan นักแสดงตกอับผู้เคยโด่งดังจากบทบาทซูเปอร์ฮีโร่อย่าง Birdman ที่กำลังพยายามกอบกู้ชื่อเสียงตัวเองอีกครั้งจากการแสดงละครบรอดเวย์ที่เขาดัดแปลงบทและลงมือแสดงเอง แต่การจะกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องต่อกรกับอุปสรรครอบตัวและความเครียดที่กำลังกัดกินจิตใจ

ขำขันเฮฮากันนะจ๊ะ นี่มันหนังตลก จริ๊งจริงงงง
ตลกร้ายแบบที่ขำไม่ออกกันเลยทีเดียว ติดแฟนซีจนเซอร์เรียลแบบอ้าปากค้างอีกต่างหาก
ฉากพีคๆที่จิกกัดพวกหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่คือเยอะซะจนนึกว่าเป็นการCameosของเหล่าฮีโร่ เหมือนที่ลุง Stan Lee แกชอบทำในหนังจักรวาลมาร์เวลทำนองนั้น (แต่มาแค่ชื่องี้) ยิ่งซีนที่มีสไปดี้กับบัมเบอร์บีมานี่คือแบบ...หื้ออออ อะไรน่ะ อะไร๊ ฮ่าๆๆๆ

ต้องชมทุกองค์ประกอบจริงๆ บทดีงามเหนือจะบรรยาย แต่ก็ไม่ยากลำบากในการแยกความจริงออกจากความเซอร์เรียลของมัน เพียงแต่มันเล่นกับความคิดเรานิดนึงว่า เราจะเชื่อสิ่งที่เห็นมั้ย? จะเลือกเชื่อว่าRigganมีพลังพิเศษ? ที่ความจริงมันก็แค่คิดไปเอง?
เพราะยังไงเราคือคนดูที่อยู่ในหัวของRigganนะอย่าลืม เราได้ยินความคิดมัน เราได้เห็นความแฟนซีของมัน เราตายและตื่นพร้อมๆกับRigganเลย
จะว่าไปก็ไม่ต่างกับหนังฮีโร่ทุกวันนี้นะ ตกต่ำและร่วงหล่นได้อย่างมนุษย์ แต่ก็โด่งดังและโบยบินได้มากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ

นักแสดงคือเลิศเลออลังการซีนอารมณ์แต่ละคนนี้เจ็บๆคันๆทั้งนั้น โดยเฉพาะตัวยืนหลังๆอย่าง...
Michael Keaton สมกับการเป็นผู้ท้าชิงรางวัล แม้จะไม่ได้ออสก้าแต่แน่ใจว่าได้ใจทุกคนแน่ๆ ดาราดีๆบทดีๆหลายคนเยอะแยะไปที่พลาดรางวัลใหญ่แต่กลายเป็นขวัญใจคนดู แม้เฮียจะอายุปูนนี้แล้วก็เถอะ (เศร้าแป๊บ)
ส่วนคนอื่นๆอย่าง Emma Stone / Edward Norton / Naomi Watts ไม่ต้องพูดถึงเลย ดีงามแน่นอน ชอบซีนของ Emma กับ Edward นะ เป็นมุมมุ้งมิ้งที่หาแทบจะไม่ได้ในหนังเรื่องนี้
แม้แต่ Zach Galifianakis ก็เจ๋งไม่แพ้ตัวยืนคนอื่นเลย ปกติเกลียดมันมากนะโดยเฉพาะใน Hangover กับ Due Date เนี่ย อย่างไม่ชอบ แต่ในเรื่องนี้ Zach คือแบบ...คนละเรื่องงงงเลยยยย
ดีๆ ชมๆ *ยืนขึ้นปรบมือ*

นอกเหนือทุกสิ่งแล้ว เทคนิคLong-Take คือแบบ...ชวนหลงไหลนะ มันลื่นไหล เคลื่อนไหวแบบไม่น่าเบื่อ พอถึงจังหวะที่จะเบือนหน้าหนีก็มีคนเข้ามารับช่วงต่อเพื่อพาไปยังประเด็นใหม่ที่เกิดขึ้นในโรงละคร
ที่น่าสนใจคือเรื่องของเวลาในหนังเรื่องนี้ไม่มีความสำคัญเลย ทุกอย่างดำเนินไปเสมือนเข็มวินาทีที่เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ว่าเช้าหรือค่ำ / แสดงจริงหรือซ้อม / รอบพรีวิวหรือรอบเปิดแสดง หนังก็พาเราเข้าไปอยู่ในช่วงเวลานั้นๆไปเสียแล้ว

ส่วนตัวแล้ว
ชอบซีนปะทะอารมณ์ของ Riggan กับ Sam มากกกกกก
ชอบการปิดฉากของ Riggan แบบสุดๆ การยืนปรบมือไม่เคยน่าขนลุกอะไรเท่านี้มาก่อน

จัดไปเลย จัดไปปปปปป
12/10
ไม่ผิดหรอก ให้เกินลิมิตเลยทีเดียว(ชอบเลข12น่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ)

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ดูแล้วบ่น: Hector and the Search for Happiness (2014)

*สปอยหนักมาก*
Hector and the Search for Happiness (2014)
Directed by Peter Chelsom
Cast: Simon Pegg, Rosamund Pike, Stellan Skarsgard, Jean Reno, Toni Collette and Christopher Plummer

หนังสร้างจากนิยายในชื่อเดียวกันของ François Lelord นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่เป็นจิตแพทย์ตัวจริง

เรื่องราวของ เฮคเตอร์ จิตแพทย์นิสัยแปลกที่ชีวิตดำเนินไปแบบเรื่อยเปื่อยแสนน่าเบื่อไร้รสชาติ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดูจะมีความสุขคือแฟนสาวคนสวย คลาร่า แต่มันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงที่เขาค้นหา แถมคนไข้เขาแต่ละคนยังไม่ได้ช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจของเขาเรื่องความสุขได้สักคน
ท้ายที่สุดเฮคเตอร์ก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋าและออกเดินทาง โดยอ้างว่าจะไปหาข้อมูลทำวิจัย เพื่อหาว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร สิ่งใดที่ทำให้ผู้คนมีความสุขบ้าง เผื่อว่าเขาจะกลับมาช่วยรักษาคนไข้ของเขาได้ หรือบางทีอาจช่วยเติมเต็มความสงสัยในตัวเขาเอง

สองวันมานี้เป็นอะไรนะ เปิดแต่หนังหาความสุขในชีวิต ที่แสดงนำโดยนักแสดงตลกแต่หนังดันไม่ได้ตลกอย่างผลงานเรื่องอื่นๆของพวกเขา
Simon Pegg เรื่องนี้ห่างไกลจากพวก Shaun of the Dead หรือ Hot Fuzz แบบลิบลับ ยังติดตลกอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่จะน่ารักมุ้งมิ้งเสียมากกว่า แถมยังมีโมเม้นเครียดจัดที่แสดงได้ดีไม่แพ้บทตลกเลยทีเดียว
แถม Simon กับ Rosamund Pike ยังเคมีเข้ากันแบบน่ารักสุดๆไปเลย!
สองคนนี้เคยเจอกันมาแล้วใน The World's End (2013) หนึ่งในหนังตลกแบบเซตของเฮียแกน่ะเอง
ขำขันเบาๆกับการเอา Jean Reno มาเล่นเป็นมาเฟียค้ายา อันนี้จัดว่าเป็นมุขที่ฮานะ แลดูอยู่ผิดที่ผิดทางในหนังแนวนี้ แต่ก็ออกมาน่ารักทีเดียว

ใครชอบหนังแนวๆท่องโลกหาความสุข หาความหมายของชีวิต เรื่องนี้น่าจะดีทีเดียว
มันไม่แอดเวนเจอร์มาก แต่บทพูดแต่ละไลน์คือดีเลิศ เป็นการจำกัดความคำว่า ความสุข ในบริบทต่างๆ ของผู้คนมากหน้าหลายตา ตั้งแต่ชาวบ้านในแอฟริกา คุณตัว นักธุรกิจ พ่อค้ายา คนป่วย ไปจนถึงคุณแม่ลูกสาม
แน่นอนว่าภาพสวย เล่าเรื่องเก๋ไก๋ ที่สำคัญคือโน้ตของเฮคเตอร์วาดสวยมาก เพลงเพราะอีกต่างหาก ครบเครื่องหนังแนวนี้เลยทีเดียว
ซีนแฮปปี้ก็สดใส ซีนดราม่าก็เล่นเอาซะเกือบน้ำตาร่วง(แต่ไม่ร่วงนะ ยังๆ)

ไม่อยากเปรียบเทียบกับ The Secret Life of Walter Mitty (2013) หรอกนะ แต่หนังคือแนวๆนั้นเลย
ส่วนตัวคิดว่า บุคลิกตัวละครดีกว่า ดูเรียลกว่า และที่สำคัญ Simon Pegg ทำได้ดีกว่า Ben Stiller (เน้นว่าความคิดส่วนตัว ใครสาวกเฮียเบนก็ขออภัย) แต่ Walter Mitty ยังติดอยู่อย่างนึงตรงมันแฟนซีไปนิด ตัวเอกดูบื้อๆไปหน่อย ในขณะที่เรื่องนี้ตัวละครคือดีงามสมจริงเรียลไลฟ์สุดๆ

เฮคเตอร์ใช้วิธีถามคนที่เขาพบเจอไปเรื่อยๆว่า
คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความสุขมั้ย? อะไรคือความสุขของคุณ?
และทั้งหมดคือ นิยามความสุขที่เฮคเตอร์จดไว้ในโน้ตเล่มน้อยๆมี23ข้อ
(ในหนังสือ หนังไม่ได้หยิบมาหมดหรอก เท่าที่เห็นก็ประมาณ10กว่าข้อ แต่มันทำทั้ง23ข้อให้อยู่ในเรื่องหมดแล้วแหละ)

Hector’s list of happiness << เอ้า ตามลิงค์นี้ไปเล๊ย

แต่ละข้อก็แล้วแต่เลยว่าใครจะสนใจทำตาม ที่แน่ๆถ้าทำได้หมดทุกข้อคงพูดได้ว่า
"ฉันคือคนที่มีความสุข" น่าสนใจนะว่า แต่ละคนก็มีนิยามความสุขไม่เหมือนกัน
แต่รวมๆหลักแล้วๆ ประโยคสุดท้ายที่เฮคเตอร์พูดกับพระแก่ๆว่า
"We all have an obligation to be happy." คือทั้ง23ข้อรวมกัน (ไม่อยากแปลกลัวผิดความหมาย)

เป็นเราเลือกคิดแค่ครึ่งนึงของลิสทั้งหมดนั้นก็น่าจะมีความสุขแล้ว
ไม่ต้องเดินทางไปรอบโลกก็น่าจะหาเจอนะ :)

สำหรับหนังที่จะกลายเป็นหนังในดวงใจขนาดนี้...
เอาไปเถอะ 10/10
บทดี แท็กไลน์เจ๋งๆกินใจเยอะมาก ภาพสวย เพลงเพราะ ซีนอารมณ์ดีงาม
เป็นหนังที่ดูแล้วได้อะไรในชีวิตมากกว่าที่คิดทีเดียว